ภาค 4 กวาดล้างหมื่นลี้ บทที่ 337 ความหวัง

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ณ ที่ราบหิมะแดนเหนือ มีทะเลสาบน้ำแข็งมหึมาตั้งอยู่บนแผ่นดินใหญ่ บนพื้นผิวทะเลสาบมีน้ำแข็งจับตัวกันเป็นแพยาวทั้งหมด ทว่าใต้น้ำแข็งยังคงส่องแสงสะท้อนวาบวับอยู่รำไร

ทั้งหมดดูเหมือนว่าสงบเงียบอย่างมาก หากแต่ใจกลางทะเลสาบน้ำแข็ง กลับมีคนจำนวนไม่น้อยยืนอยู่บนผิวน้ำแข็ง

ชายหนุ่มหนึ่งในนั้นสวมอาภรณ์ของศิษย์สืบทอดสายหลักตำหนักอัสนีสวรรค์ไว้ สีหน้าท่าทางสงบนิ่ง แฝงเอาไว้ด้วยแววอึมครึม เป็นหลินโจว ‘คุณชายฟ้าคำรน’ นั่นเอง

ถึงแม้ว่าหลินเทียนเฟิง บิดาของเขาจะสิ้นชีพไปแล้ว ทว่าความสามารถและศักยภาพที่หลินโจวแสดงออกมา ก็เพียงพอให้ทั้งตำหนักอัสนีสวรรค์ให้ความสำคัญแล้ว การจากไปของผู้เป็นบิดาจึงไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อฐานะของเขาในตำหนักอัสนีสวรรค์

หลินโจวมองดูเบื้องหน้า บนผิวน้ำถูกขุดเป็นโพรงแล้ว เผยให้เห็นน้ำทะเลสาบอันเย็นเฉียบเรืองแสงสีเขียว

ชั่วครู่ มีเงาคนผุดขึ้นมาจากใต้น้ำ กระโดดออกมาจากผิวน้ำขึ้นมาบนชั้นน้ำแข็ง

คนผู้นี้มีไอร้อนระอุลอยขึ้นทั่วสรรพางค์กาย เพื่อขับไล่ความเย็นยะเหยือกออกไป

ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่คนนี้หันหน้ากลับไปมองหลินโจว “ที่แห่งนี้มีความแปลกประหลาดจริงๆ แต่หาร่องรอยจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำแข็งในตำนานไม่พบ”

“หากคิดจะเปิดที่นี่ ไม่แน่ว่าอาจจะต้องใช้ของวิเศษบางอย่าง หรือวิธีพิเศษบางอย่าง”

เขาเอ่ยถามเสียงทุ้ม “หลินโจว ในเมื่อเจ้าได้รับข่าวมา รู้หรือว่าในนั้นแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร?”

หลินโจวมองดูทะเลสาบน้ำแข็งใต้เท้าเงียบๆ

ในความทรงจำของเขา การที่ร่องรอยจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำแข็งปรากฏขึ้นมาบนโลก เดิมทีน่าจะเป็นศิษย์เขากว่างเฉิงนามว่าเยี่ยจิ่งผู้นั้นเป็นคนขุดค้น

หากแต่เท่าที่เขารู้ตอนนี้ เยี่ยจิ่งคนนั้นตายไปก่อนหน้านี้นานแล้ว รายละเอียดเหตุการณ์เป็นเรื่องที่อยู่ภายในสำนักเขากว่างเฉิง เขามีฐานะเป็นศิษย์ตำหนักอัสนีสวรรค์ ยากอย่างยิ่งที่จะล่วงรู้เหตุการณ์โดยละเอียด

ทว่าเค้าลางต่างๆ นานาก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เกินกว่าครึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับเยี่ยนจ้าวเกอ

เมื่อนึกถึงชื่อนี้ขึ้นมา ประกายตาของหลินโจวก็ทอประกายวับวาบเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับคืนสู่ปกติอย่างรวดเร็ว หากแต่แววตาทวีความเย็นเยียบยิ่งขึ้น

ไม่เหมือนเช่นห้องสุสานของการุณยบุรุษในตอนนั้น หลินโจวรู้ภายหลังว่าภายในนั้นผ่านการวางกับดักเอาไว้ก่อนแล้ว

สำหรับร่องรอยของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์น้ำแข็ง หลินโจวแค่เพียงเคยได้ยินข่าวสาร รู้ตำแหน่งสถานที่ ที่เหลือนอกจากนั้นทำได้เพียงปรับเปลี่ยนตามโอกาส หลังจากถึงสถานที่แล้ว

เขาเปิดปากกล่าว น้ำเสียงแหบพร่าอยู่บ้างเล็กน้อย “มีเค้าแสดงให้เห็นชัดเจนว่าสือเถี่ย ผู้อาวุโสสูงสุดสำนักเขากว่างเฉิงที่ปัจจุบันได้สิ้นชีพไปแล้ว เคยรีบมุ่งหน้ามายังพื้นที่แถบทะเลเหนือกับที่ราบหิมะแดนเหนือแห่งนี้ เมื่อปีสองปีก่อน สำนักเขากว่างเฉิงเองก็กำลังจับตามองร่องรอยจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์น้ำแข็งทางฝั่งนี้เช่นกัน”

“บางที่พวกเขาอาจจะมีเบาะแสส่วนหนึ่งอยู่ในมือ”

หลินโจวย่ำเท้าบนผิวน้ำแข็ง “สภาพแวดล้อมพิเศษของที่ราบหิมะแดนเหนือ มีสภาพอากาศอันแปลกประหลาดเคลื่อนที่อยู่เสมอ ทำให้ร่องรอยที่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำแข็งทิ้งเอาไว้ที่นี่ เคลื่อนย้ายไปชีพจรดินและปราณวิญญาณ ราวกับปลาแหวกว่ายอยู่ในแม่น้ำใต้ดินอย่างไรอย่างนั้น”

“มีเพียงแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้ร ที่จะอยู่ในสภาวะสงบนิ่งชั่วคราว สะดวกต่อการกำหนดตำแหน่งค้นหา พื้นที่ที่หยุดนิ่งหนนี้ ก็อยู่ใต้เท้าพวกเรานี่เอง”

เขาเอ่ยอีกว่า “คนของสำนักเขากว่างเฉิงรอมาใกล้จะสองปีแล้ว แล้วก็กำลังรอเวลานี้เช่นกัน พวกเขาจะต้องมาค้นหาเป็นแน่แท้”

ชายวัยกลางคนผู้นั้นมุ่นคิ้ว “สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้มงกุฎแห่งจันทราไปแล้ว จึงมีโอกาสได้ผ่อนลมหายใจอีกครั้ง ตอนนี้นอกจากหอคลื่นโหมแล้ว ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งห้าตกอยู่ในสภาวะคุมเชิงกันอีกครั้ง ไม่ว่าผู้ใดต่างก็จะไม่ผ่อนสบายง่ายๆ ไม่ว่าจะสำนักเราหรือสำนักเขากว่างเฉิง เป็นไปได้ว่าจะงส่งคนไม่กี่คนมาก็เท่านั้น”

หลินโจวกล่าวเสียงเบา “ถึงอย่างไรสำนักเราก็มีอำนาจครองดินแดนทางเหนือมาหลายปี ในด้านชายแดนติดกันยังมีข้อได้เปรียบอยู่บ้าง น่าเสียดายที่สภาพแวดล้อมที่นี่ไม่เหมาะแก่การซุ่มโจมตี ไม่เช่นนั้นก็สามารถรออยู่เฉยๆ ให้สำนักเขากว่างเฉิงส่งคนมา แล้วค่อยแย่งของจากมือพวกเขามา ก็จะเปิดที่นี่ได้แล้ว”

ชายวัยกลางคนดึงสีหน้าพลางกล่าวว่า “ข้าค้นหาอย่างระมัดระวังไปแล้ว หวังว่าพวกเขาจะมาจริงๆ อย่างที่เจ้าว่าก็แล้วกัน”

เยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่ยืนอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ ลูกหนึ่ง พลางทอดสายตามองไกลออกไป

“มาถึงได้เพียงแค่ตรงนี้ ไม่อาจเข้าไปใกล้กว่านี้ได้แล้ว พื้นที่นี้ การจะปกปิดร่องรอยการเคลื่อนไหวก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากอยู่เหมือนกัน นอกเสียจากว่ามีพลังฝึกปรือสูงเหนืออีกฝ่ายอย่างมาก” เยี่ยนจ้าวเกอใช้มือนวดขมับ ขณะมองไปข้างหน้าก็รำพึงรำพันกับตนเอง “ท่าทางเช่นนี้ของอีกฝ่าย ดูเหมือนว่ากำลังระแวดระวังภัย”

อาหู่กล่าวหน้านิ่วคิ้วขมวด “คุณชาย สภาพแวดล้อมแย่เกินไปแล้ว หากอยากจะคลำหาทางแอบไปลอบสังหาร ก็นับว่าเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง จุดสำคัญคืออีกฝ่ายมีจำนวนคนไม่น้อยเลย ระยะห่างระหว่างกันก็ยังค่อนข้างไกลอีก เพียงแค่พอมองเห็นเท่านั้น หากร่วมมือกันสามารถทำได้ หากไม่สามารถจัดการได้ทั้งหมดในคราวเดียวล่ะก็ ขืนส่งเสียงดังออกไป ใครจะรู้ว่าตำหนักอัสนีสวรรค์ที่อยู่ที่นี่มียอดฝีมือระดับสูงอยู่หรือไม่”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “ไม่น่าจะมีมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณ ก่อนที่พวกเราจะมาหนนี้ บรรยากาศระหว่างหลายๆ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง ทุกคนต่างอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าเบนความสนใจ”

“มหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณน่ะหรือ อาจจะมี หากแต่ระยะต้น กลาง หรือท้าย ก็ไม่อาจพูดได้”

ชายหนุ่มลูบคาง “สำนักเรากับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็แล้วไป แต่ตำหนักอัสนีสวรรค์ถูกสำนักเขาไร้พรมแดนกับเมืองทะเลมรกตขนาบอยู่ตรงกลาง แต่ละวันไม่อาจผ่อนคลายลงได้”

อาหู่ทำหน้าย่น “คุณชาย ไม่ใช่ว่าข่าวที่พวกเรามุ่งขึ้นเหนือรั่วไหลออกไป ตำหนักอัสนีสวรรค์ก็เลยมาสกัดสังหารท่านที่นี่โดยเฉพาะหรือ?”

“มีความเป็นไปได้ไม่มากนัก” เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางของตนเอง “อืม ถึงแม้จะไม่อาจยืนยันได้ แต่ก็ไม่อาจนับว่าเหนือคาดเกินไปนัก…ตำหนักอัสนีสวรรค์มีหนึ่งคนที่เป็นไปได้ว่าจะรู้เรื่องร่องรอยจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำแข็ง”

ครึ่งประโยคท้าย เสียงของเยี่ยนจ้าวเกอมีเพียงตนเองเท่านั้นที่ได้ยิน อาหู่จึงหันหน้าไปมองเขาด้วยความสงสัย

เยี่ยนจ้าวเกอเอื้อนเอ่ย “คนของตำหนักอัสนีสวรรค์ เกินกว่าครึ่งมุ่งหน้ามาเพื่อร่องรอยจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำแข็ง”

เขาทอดสายตามองไกลออกไปอีกครั้ง “ระยะห่างพื้นที่โดยคร่าวๆ ยังห่างออกไปอีกไกลอยู่นี่ จะวางรัศมีระแวดระวังภัยอะไรกว้างใหญ่ปานนี้เล่า…”

อาหู่เกาศีรษะ “คุณชายขอรับ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขามุ่งหน้ามาเพื่อร่องรอยของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำแข็ง? ถ้าหากอีกฝ่ายมาเพราะร่องรอยของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำแข็งจริงๆ ซ้ำยังรู้ตำแหน่งสถานที่อีก เช่นนั้นตอนนี้พวกเขาไม่ใช่ว่ามาถึงก่อนได้ไปก่อนแล้วหรือ?”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม ทว่าไม่ตอบ เพียงหยิบเครื่องหยกออกมาชิ้นหนึ่ง

แม้ว่ารูปลักษณ์ของเครื่องหยกนั้นจะยอดเยี่ยม แต่ภายในนั้นไม่มีพลังชีวิตอะไรอยู่แล้ว เหลือประกายวาบวับละมุนละไม ทว่าไม่มีรัศมีแสงปรากฏ

ชายหนุ่มใช้ฝ่ามือรองเครื่องหยกเอาไว้ แล้วเอ่ยว่า “พวกมันต้องการของสิ่งนี้ ทว่าพลังชีวิตภายในถูกข้าดูดเก็บออกมาทั้งหมดแล้ว การที่จะเปิดเขตหวงห้ามที่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำแข็งทิ้งเอาไว้ จำเป็นต้องอาศัยปราณจิตราของข้า ถ้าหากไม่มีข้า เช่นนั้นก็ทำได้เพียงทำลายจากด้านนอกอย่างช้าๆ เท่านั้น”

อาหู่ถูฝ่ามือ “เช่นนั้นแล้วคุณชาย ตอนนี้พวกเรา…”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม “ไม่รีบ พวกเราอยู่ในเขตพื้นที่นี้ก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน ทำให้พวกเราทำเรื่องอื่นได้สะดวก”

ครั้นกล่าวจบ เขาก็หันหลังกลับลงจากเนินเขาที่มีหิมะและน้ำแข็งปกคลุม พาอาหู่เดินอ้อมพื้นที่แถบนี้ไปไกล มุ่งหน้าไปที่อื่น

เขามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกตลอดทาง เดินๆ หยุดๆ ชะงักฝีเท้าลงเป็นระลอก เพื่อสัมผัสทิศทางการไหลเวียนของพลังปราณโดยรอบฟ้าดินใกล้ๆ ที่ขยายออกไปอย่างเงียบเชียบ

พวกเขาเดินเช่นนี้อยู่หลายวัน ในที่สุดเยี่ยนจ้าวเกอก็หยุดฝีเท้าลงโดยสิ้นเชิง ยืนอย่างมั่นคงอยู่บนทุ่งหิมะ

หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอก้มหน้าลงมองหิมะใต้ฝ่าเท้าอยู่เนิ่นนาน ก็ออกแรงกระทืบเท้าทั้งสองข้างไปบนดินเยือกแข็งราวกับเหล็กกล้าก็ไม่ปาน ออกแรงมหาศาลจนมันแหลกละเอียด

หิมะและดินเป็นชั้นๆ แยกออกเป็นแนวยาว ก่อนที่ร่างของเยี่ยนจ้าวเกอจะจมลงไปด้านล่าง

ครู่ใหญ่ผ่านไป เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกได้เพียงว่าแรงต้านใต้ฝ่าเท้าพลันผ่อนเบาลง ดินโคลนเริ่มเปลี่ยนเป็นอ่อนนุ่ม

ผ่านไปอีกพักหนึ่ง เขากระโดดกลับขึ้นมาบนทุ่งหิมะอีกครั้ง ครั้นมองลงไปเบื้องล่าง ก็แลเห็นว่าภายในรอยแยกพื้นดินที่แหลกละเอียดมีไอน้ำและไอร้อนพวยพุ่งออกมาด้านนอกอย่างคาดไม่ถึง

“คุณชาย นี่คือ…” อาหู่มองเข้าไปอย่างถี่ถ้วน เขาเห็นว่าภายในแผ่นดินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง ปรากฏบ่อน้ำพุร้อนออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ

ซึ่งสีสันของบ่อน้ำพุนี้ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นสีฟ้า

เยี่ยนจ้าวเกอกอดอก ครรลองสายตาเพ่งมองบ่อน้ำพุร้อนสีฟ้าที่อยู่ด้านล่างเช่นเดียวกัน แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “นี่คือความหวังของจวินเอ๋อร์กับพี่สะใภ้อวี่เจิน”

………………..