คุณพ่อหลินผิดหวังเสียเต็มประดา ตอนแรกก็แค้นคุณแม่หลินอยู่บ้าง เพราะเมื่อตอนต้นปีคุณพ่อหลินเคยมีเมียน้อย ผู้หญิงคนนั้นเองก็ตั้งครรภ์เช่นกัน หลังจากตรวจแล้วว่าเป็นเด็กชาย แต่ตอนนั้นเขายังรู้สึกผิดต่อคุณแม่หลินอยู่ แม้เขาจะอยากได้ลูกชายมากก็ตาม แต่เขายังรู้สึกผูกพันกับคุณแม่หลินมากเหมือนกัน จึงกลับบ้านมาสารภาพทุกอย่างกับคุณแม่หลินอย่างตรงไปตรงมา
คุณแม่หลินแสดงออกอย่างใจกว้าง มิหนำซ้ำเธอยังบอกด้วยว่าเธอเห็นด้วยที่จะให้เด็กคนนั้นคลอดออกมา แต่พอคลอดแล้วเธอจะเลี้ยงดูเด็กคนนี้เอง และจะปฏิบัติต่อเด็กคนนี้เหมือนลูกแท้ๆ ของตน
แต่ยังไม่ทันกี่วันดี เมียน้อยของเขาก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ปางตาย ส่วนเด็กคนนั้นไม่รอดอยู่แล้ว ต่อมาพอเขาได้ตรวจสอบเรื่องนี้ พบว่าอุบัติเหตุทางรถยนต์ครั้งนี้เป็นฝีมือคนทำ และคนที่บงการอยู่เบื้องหลังก็คือคุณแม่หลินนั่นเอง เพราะเรื่องนี้เองทำให้ระหว่างคุณแม่หลินกับคุณพ่อหลินไม่ได้รักใคร่กลมเกลียวกันขนาดนั้น ทั้งสองคนมักจะมีปากเสียงไปจนถึงก่อสงครามเย็นระหว่างกันบ่อยๆ จนหลายปีมานี้เหมือนว่าคุณพ่อหลินจะมีผู้หญิงคนใหม่อีกแล้ว หากแต่คุณแม่หลินกลับไม่ได้เป็นอย่างคุณแม่หลินในตอนนั้นอีก
ฮั่วฉินเยี่ยนแบกเวินหลานฉีเดินไปอย่างมั่นคง “อาเยี่ยน คุณเหนื่อยไหม” เวินหลานฉีเอ่ยถามเสียงเบา
“ไม่เหนื่อย คุณผอมเสียขนาดนี้ ต่อให้ผมแบกคุณไปวิ่งมาราธอนก็ไม่มีปัญหาหรอก” ฮั่วฉินเยี่ยนพูดอย่างมั่นใจ
มือทั้งสองของเวินหลานฉีกระชับคอของฮั่วฉินเยี่ยน ทั้งยังจุ๊บใบหูของเขาเบาๆ “อาเยี่ยน คุณรักฉันไหม”
“ก็ต้องรักคุณอยู่แล้วสิ ทำไมอยู่ๆ ถึงถามคำถามโง่ๆ แบบนี้ล่ะ” ฮั่วฉินเยี่ยนยกยิ้มมุมปาก
ยัยบื้อคนนี้ยังเหมือนเมื่อก่อนเลยนะ อย่าเห็นว่าตอนนี้เธอเป็นประธานบริษัทอะไรพรรค์นั้น แต่จริงๆ แล้วความคิดยังใสซื่อเหมือนเมื่อก่อนอยู่ดี
“ไม่มีอะไรหรอก แค่ถามไปงั้นๆ แหละ” เวินหลานฉีซุกซบหน้าลงไปบนเสื้อผ้าของฮั่วฉินเยี่ยน จมูกอบอวลไปด้วยกลิ่นกายของฮั่วฉินเยี่ยน จนเธอรู้สึกสบายใจยิ่งนัก
ตลอดทางฮั่วฉินเยี่ยนแบกเธอเดินไปยังยอดเขาโดยไม่แวะพักเลย ทันทีที่ถึงยอดเขาก็เลือกพื้นที่ราบเรียบแห่งหนึ่งเพื่อกางเต็นท์ ส่วนเวินหลานฉีตอนแรกก็อยากจะช่วยด้วยเหมือนกัน ทว่ากลับถูกฮั่วฉินเยี่ยนไล่ไปอีกทางหนึ่ง
“คุณเคยใช้ชีวิตแบบนี้ไหมล่ะ อย่ามากวนตรงนี้เลย ไปเล่นอีกทางนู้น” เวินหลานฉีถูกฮั่วฉินเยี่ยนเมินเฉยเช่นนี้ เธอจึงได้แต่ไปเก็บของที่นำมาด้วยอีกทางหนึ่ง ทว่าของที่นำมาทั้งหลายจัดมาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่แล้ว แทบไม่ต้องให้เธอสอดมือเข้าไปยุ่งเลยอย่างสิ้นเชิง เธอจึงรู้สึกว่าตนเองโดนเมินเฉยอีกครั้ง
การกระทำของฮั่วฉินเยี่ยนเป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานเขาก็กางเต็นท์เสร็จ เขาบอกให้เวินหลานฉีอยู่ที่เดิม ส่วนเขาเดินวนไปรอบๆ เพื่อเก็บพวกกิ่งไม้ต่างๆ มาสักเล็กน้อยเพื่อนำมาจุดไฟ
หากแต่เวินหลานฉีไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยสักนิด แม้เธอจะทำงานบ้านเป็นอยู่บ้าง ทำกับข้าวกับปลาก็พออร่อย แต่พวกทักษะการดำรงชีวิตในป่าเธอกลับไม่รู้อะไรเลย อย่างการก่อไฟด้วยกิ่งไม้อะไรพวกนี้เธอก็ทำไม่เป็น หนำซ้ำเธอยังคิดว่าบรรดาของที่ฮั่วฉินเยี่ยนเอามาด้วย คงจะเป็นพวกอาหารสำเร็จรูปที่เปิดปุ๊บก็กินได้เลย หากแต่ไม่นึกเลยว่าฮั่วฉินเยี่ยนจะเอาพวกอาหารดิบมา แล้วอย่างนี้จะทำอย่างไรล่ะ แถมยังไม่มีหม้ออีกต่างหาก เวินหลานฉีคิดอย่างกลุ้มใจ
ผ่านไปเนิ่นนานกว่าฮั่วฉินเยี่ยนจะกลับมา ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดคล้อยลงบ้างแล้ว คาดไม่ถึงว่าฮั่วฉินเยี่ยนจะกลับมาพร้อมกับไก่ป่าตัวหนึ่ง นั่นทำให้เวินหลานฉีตื่นตะลึงจริงๆ!
“คุณทำได้ยังไง!”
“มันเป็นเรื่องของดวงทั้งนั้น” ฮั่วฉินเยี่ยนเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน ว่าตนเองจะจับไก่ป่าได้ ด้วยไก่ป่านั้นยากนักจะจับเป็นได้ ของพรรค์นี้ไม่เพียงแค่ว่องไวเท่านั้น ขณะเดียวกันพวกไก่ป่าโตเต็มที่ยังมีทักษะการโจมตีอีกด้วย แต่ตอนฮั่วฉินเยี่ยนพบไก่ป่าตัวนี้ เขาเพียงแค่หยิบหินก้อนหนึ่งปาไปเท่านั้นเอง โดยเขาไม่นึกว่าจะโดนด้วยซ้ำ แต่ใครจะไปรู้ว่าหินก้อนนั้นพอโยนไปแล้ว ยังโดนเข้าไปเต็มๆ ด้วย ไก่ป่าตัวนี้จึงมึนไป ถือว่าฮั่วฉินเยี่ยนดวงดี และถือว่าไก่ป่าตัวนั้นดวงซวยเอง ต้องมาตกอยู่ในเงื้อมมือของฮั่วฉินเยี่ยน
“แต่ว่านี่มันกินยังไงล่ะ” เวินหลานฉีเอ่ยถามพลางมองไก่ที่มีแต่ขนตัวนี้ฟื้นคืนสติแล้ว หรือว่าต้องแทะมันทั้งเป็นแบบนี้งั้นเหรอ โอ้แม่เจ้า! ช่างโหดร้ายทารุณเกินไปแล้วจริงๆ! ตอนนี้เวินหลานฉีไร้ท่าทีรอบคอบและกวดขันยามอยู่ต่อหน้าคนอื่นอย่างในเวลาปกติอย่างสิ้นเชิง เธอแสดงออกอย่างกับเด็กสาวตัวน้อยอย่างไรอย่างนั้น วินาทีนี้จินตนาการของเธอเองก็ถูกปลดปล่อยไปด้วย ไม่ว่าอะไรก็ผ่อนคลายเป็นพิเศษ
ฮั่วฉินเยี่ยนหามีดพับพกพาเจอจากกระเป๋าสัมภาระ ไก่ป่าตัวใหญ่ตัวนั้นเองก็คงสัมผัสได้ถึงอันตรายในเวลานี้เช่นกัน จึงเริ่มพยายามดีดดิ้นให้หลุดจากพันธนาการอย่างสุดชีวิต เวินหลานฉีร้องตะโกนอย่างกับเด็กน้อยอยู่อีกฝั่งหนึ่ง “อาเยี่ยน มันวิ่งไปทางนั้นแล้ว เฮ้ย ทางนั้น!” “ถูกมัดอยู่แบบนี้แล้ว ทำไมยังดิ้นไปดิ้นมาได้แบบนี้อีกเนี่ย!”
ฮั่วฉินเยี่ยนจับไก่ป่าตัวนั้นไปยังริมแม่น้ำ และจัดการไก่ป่าตัวนั้นอย่างรวดเร็วฉับไวทันที เมื่อหันกลับมามองอีกที ก็เห็นเวินหลานฉีจ้องตนจนตาเป็นประกายวิบวับ
“อาเยี่ยน คุณเก่งมากเลยอะ ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นคุณเป็นแบบนี้มาก่อนเลย!” เวินหลานฉีพูดกับฮั่วฉินเยี่ยนอย่างคารวะเลื่อมใสยิ่งนัก
แม้ฮั่วฉินเยี่ยนจะได้ประโยชน์จากความเลื่อมใสของเวินหลานฉี แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ความจริงเรื่องแบบนี้น่ะง่ายมาก แต่ที่เวินหลานฉีไม่รู้ คือเขาเคยเข้าฝึกทหารมาก่อน ทักษะด้านต่างๆ ของเขาเก่งกาจเชี่ยวชาญมาก ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลฮั่วขาดเขาไม่ได้เขาคงจะไปเป็นทหารนั่นแหละ
ฮั่วฉินเยี่ยนจัดการทำความสะอาดไก่ทั้งตัว ควักเครื่องในออกมา จากนั้นก็ยัดวัตถุดิบที่เอามากลับเข้าไปแทนที่ ส่วนภายนอกก็ทาน้ำมันเคลือบชั้นหนึ่ง แล้วใช้ใบบัวที่หามาได้ห่อเอาไว้
หลังจากนั้นก็หยิบไฟแช็กออกมา จุดกับพวกกิ่งไม้ที่เก็บกลับมากองๆ ไว้จนเกิดเปลวไฟ แล้วนำไก่ป่าซึ่งห่อเอาไว้ดีแล้ว ฝังลงไปในกองไฟ จากนั้นก็มองไปทางเวินหลานฉี พร้อมพูดว่า “โอเคแล้ว อีกสักพักก็กินได้แล้วล่ะ”
เวินหลานฉีจ้องมองฮั่วฉินเยี่ยนด้วยดวงตาเป็นประกายในทุกขั้นทุกตอน เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่าฮั่วฉินเยี่ยนผู้ดูเป็นคนสูงส่ง มักจะเป็นผู้สืบทอดของสกุลฮั่วผู้สง่างามและแสนเย็นชาต่อหน้าผู้คน และในวันปกติฮั่วฉินเยี่ยนผู้ไม่แตะต้องห้องครัวเลยจะมีด้านแบบนี้เหมือนกัน ถือเป็นความรู้ใหม่ที่มีต่อฮั่วฉินเยี่ยนสำหรับเธอไปเลย ราวกับว่าชายหนุ่มผู้ยโสโอหังคนนั้นที่แท้ก็เข้าหาได้เหมือนกัน
ฮั่วฉินเยี่ยนมองตาเป็นประกายของเวินหลานฉี ในใจรู้สึกอ่อนยวบ แม่สาวน้อยของเขามองเขาแบบนี้ในเวลานี้ เขาอยากจะจูบเธอเหลือเกิน แน่นอนว่าในเมื่อเขาคิดเช่นนี้แล้ว เขาก็ลงมือทำตามใจคิดทันที
เขาเอนกายประทับจูบลงบนริมฝีปากนิ่มของเวินหลานฉี จูบนั้นปัดผ่านหัวใจของเวินหลานฉีเบาๆ ราวกับขนนก ทำให้เธอเป็นดั่งเด็กสาวตัวน้อยๆ เต็มไปด้วยความกระดากอาย
ทว่าเมื่อเห็นเวินหลานฉีขวยเขิน ฮั่วฉินเยี่ยนก็เพียงรู้สึกตื่นเต้น เขาโอบเวินหลานฉีนั่งลงบนตักของเขา นัยน์ตาจดจ้องเวินหลานฉีอย่างล้ำลึก โดยไม่ละสายตาไปไหนเลย จากนั้นก็จูบเธออย่างแช่มช้า
พวกเขาทั้งสองจูบกันประหนึ่งหนุ่มสาวที่รักกันจนโงหัวไม่ขึ้น นี่มันมีความสุขมากอย่างไม่ต้องสงสัยเลย และทำให้เวินหลานฉีนึกถึงเหตุการณ์ตอนพวกเขาจูบกันครั้งแรก
ตอนนั้นเธออายุสิบเจ็ดปี ส่วนฮั่วฉินเยี่ยนสิบเก้าปี พวกเขาเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน เวินหลานฉีอยู่ม.4 และฮั่วฉินเยี่ยนอยู่ม.6
ฮั่วฉินเยี่ยนเป็นจุดรวมสายตาของผู้คนมาแต่ไหนแต่ไร และแน่นอน มีเด็กสาวมากมายหลงรักเขาเช่นกัน
ตอนนั้นแม้เวินหลานฉีจะรู้ว่าตัวเองชอบฮั่วฉินเยี่ยน หากแต่ก็ไม่เคยสารภาพออกไป เธอได้แต่เดินตามหลังฮั่วฉินเยี่ยนต้อยๆ เป็นหนอนตามก้น ในขณะที่เธอโตขึ้นทุกวันๆ และเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน แต่เธอไม่สังเกตเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย วันเวลาที่เธอขลุกอยู่กับแก๊งฮั่วฉินเยี่ยนนั้นดีมาก อุปนิสัยของเธอใสซื่อไร้เดียงสา นอกจากความรู้สึกที่มีต่อฮั่วฉินเยี่ยนแล้ว เรื่องอื่นเธอก็ไม่กระมิดกระเมี้ยนเลย จนได้รับความชมชอบจากแก๊งฮั่วฉินเยี่ยน แต่เป็นเพียงมิตรภาพระหว่างเพื่อน และอาจจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ
ฮั่วฉินเยี่ยนมีเพื่อนคนหนึ่งชื่ออามั่น เขาเป็นเด็กผู้ชายเงียบๆ ตอนแรกเขาไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษอะไรกับเวินหลานฉี แต่มีครั้งหนึ่งตอนพวกเขาเล่นบอลกันอยู่นั้น อามั่นโดนชนจนล้มแขนถลอก ตอนนั้นเวินหลานฉีหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ช่วยเขาปิดปากแผลนั้นไว้
ตอนนั้นเวินหลานฉีก้มหน้าก้มตาอยู่ ขนตาของเธอร่วงลงเบาๆ ราวกับปีกของผีเสื้อที่กำลังโบยบินฉวัดเฉวียนเบาๆ และท้ายที่สุดก็ตกลงในใจของอามั่น นับแต่นั้นมาอามั่นก็เริ่มสนใจเวินหลานฉี
เขารู้สึกว่าเวินหลานฉีดีงามมาก จนอยากจะเฝ้ารักษาไว้ในใจ และเขาเองก็ดูออกว่าเวินหลานฉีชอบฮั่วฉินเยี่ยน อย่างไรเสียคงไม่มีเด็กผู้หญิงคนไหน เดินตามหลังผู้ชายคนหนึ่งได้ตลอดทั้งวันหรอก แม้เขาจะท้อใจอยู่บ้าง แต่ในใจเขายังคงกอดเก็บความหวังนั้นไว้อยู่ดี
เขาคิดว่าฮั่วฉินเยี่ยนไม่ได้ชอบเวินหลานฉีหรอก ไม่อย่างนั้นทำไมฮั่วฉินเยี่ยนถึงไม่เคยยอมรับ ว่าเวินหลานฉีเป็นแฟนสาวของตนเองเลยล่ะ ทุกครั้งเวลามีคนถามฮั่วฉินเยี่ยน ว่าเวินหลานฉีเป็นแฟนเขาหรือเปล่า ฮั่วฉินเยี่ยนมักจะไม่ตอบ และเขาก็จะเห็นสีหน้าหงอยๆ ของเวินหลานฉี แม้เธอจะพยายามปกปิดอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่เพราะเขาชอบเธอ จะไม่รู้ได้อย่างไรกันล่ะ อีกอย่างเขาก็ดีใจอยู่บ้างที่ฮั่วฉินเยี่ยนไม่ยอมรับ
ในที่สุดวันนี้อามั่นก็รวบรวมกำลังใจ เตรียมจะสารภาพรักกับเวินหลานฉีเสียที
เขานัดเวินหลานฉีมาเจอกันที่สนามบาสเกตบอลของโรงเรียน ซ้ำยังบอกว่าอยากเจอแค่เธอคนเดียวอีกด้วย ขอแค่เธอมาคนเดียวก็พอแล้ว
และเวินหลานฉีก็ไปตามนัดจริงๆ ทว่าก่อนไปฮั่วฉินเยี่ยนถามเธอว่าจะไปทำอะไร เธอจึงตอบไปอย่างไม่ปิดบังเลยสักนิด ว่าอามั่นนัดเธอไปเจอที่สนามบาสเกตบอล ฮั่วฉินเยี่ยนเงียบไปครู่หนึ่ง หากแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่มองตาเธอด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา เวินหลานฉีรู้สึกอึดอัดใจ แต่ยังคงเก็บไว้ในใจเหมือนกัน แล้วไปสนามบาสเกตบอลตามนัดอย่างมีความสุข
อามั่นเผชิญหน้ากับเวินหลานฉี และแล้วในที่สุดอามั่นก็บอกความในใจของตัวเองออกไป เวินหลานฉีรู้สึกตะลึงเป็นอย่างมาก คาดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนชอบเธอ หากแต่อามั่นกลับบอกว่า ถ้าเธอไม่เอาแต่ตามติดฮั่วฉินเยี่ยนวันทั้งวัน คงจะมีคนชอบเธอมากกว่านี้ด้วยซ้ำ
แล้วสุดท้ายเธอตอบอามั่นไปว่าอย่างไรแล้วนะ เธอบอกว่าต่อให้คนทั้งโลกชอบเธอ แล้วจะมีประโยชน์อะไรเหรอ เธอรักแค่ฮั่วฉินเยี่ยนเพียงคนเดียวเท่านั้น
ความจริงอามั่นคิดว่าพอตัวเองได้พูดออกมาแล้ว ในใจเขาก็คลายเครียดลงไปไม่น้อย ถึงแม้จะโดนปฏิเสธ แต่อย่างน้อยก็ไม่เสียที จึงยิ้มพลางอวยพรให้เวินหลานฉีครอบครองฮั่วฉินเยี่ยนได้ในเร็ววัน สุดท้ายทั้งสองคนก็กอดกันครู่หนึ่ง โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าฮั่วฉินเยี่ยนยืนอยู่ที่ประตู และเห็นทุกอย่างกับตาหมดแล้ว
อามั่นเดินออกไปก่อน จนเหลือเวินหลานฉียืนเหม่ออยู่ที่สนามบาสเกตบอลอยู่คนเดียว
ขนาดฮั่วฉินเยี่ยนเดินมาเธอยังไม่ทันสังเกตเลย จนกระทั่งหน้าของฮั่วฉินเยี่ยนปรากฏชัดตรงหน้าของเธอ เธอจึงตกใจสะดุ้งสุดตัว
“คุณ…ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้” เวินหลานฉีมองฮั่วฉินเยี่ยนอย่างงงงวย
ฮั่วฉินเยี่ยนจับจ้องเด็กสาวตรงหน้าคนนี้โดยไม่ละสายตา เธอยังคงความเยาว์วัย บริสุทธิ์และไร้เดียงสา หากแต่เธอคล้ายกับดอกไม้ค่อยๆ แย้มบาน ซึ่งเพียงแค่ผลิบานก็งามล่มเมืองแล้ว หลายคนต่างถามเขาว่าแท้จริงแล้วเขาชอบเธอหรือเปล่า ทว่าเขาก็ไม่เคยให้คำตอบมาก่อน ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ความในใจน้อยๆ ของเธอ แต่เขาเพียงแค่ไม่พูดออกมาเท่านั้น อีกอย่างเขาใกล้จะเรียนจบแล้ว หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ต้องไปเรียนต่างประเทศด้วย มิหนำซ้ำไปคราวนี้คงไปหลายปีเลยทีเดียว