เธอยังเด็กขนาดนี้จะรอเขากลับมาได้เหรอ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบเวินหลานฉี เธอหน้าตาน่ารักเสียขนาดนั้น ทำไมเขาจะไม่ชอบล่ะ เขาไม่เคยยอมให้เด็กสาวคนไหนตามติดข้างกายเขามาก่อน เธอตามติดข้างกายเขาก็เหมือนจะยอมรับโดยนัยอยู่แล้ว แต่เธอกลับไม่เข้าใจ แล้วคนบางคนไม่มีตาดูหรือไง ถึงพยายามเอาชนะเธอให้ได้ เขารู้ความในใจของอามั่นดี เพราะครั้งหนึ่งตอนไม่ได้ตั้งใจ เขาเห็นอามั่นเอาแต่หยิบผ้าเช็ดหน้าที่เวินหลานฉีเอามาปิดแผลให้ขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา เขาเลยเข้าใจดีว่าเด็กหญิงของเขาโตขึ้นแล้ว แล้วเริ่มมีคนมาชอบเธอบ้างแล้วเช่นกัน
ในใจเขาไม่สบายใจยิ่งนัก แต่ก็ไม่สามารถแสดงออกมาได้ เขาจงใจถามเวินหลานฉีว่าตอนบ่ายจะไปไหนแล้วค่อยตามเธอมา ทว่าเขาไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าเธอหรอก และเขาก็ได้ยินประโยคนั้นของเธอ ‘ทั้งโลกนี้ฉันชอบแค่เขาคนนั้นเพียงคนเดียว’
ฮั่วฉินเยี่ยนเข้าใจได้ในทันที แล้วเขายังมัวสับสนอะไรอยู่อีกเหรอ อามั่นรวบรวมกำลังใจมาสารภาพรักขนาดนี้แล้ว ทำไมตัวเองถึงทำไม่ได้บ้างล่ะ
“ฉีฉี คุณชอบผมไหม” แม้ฮั่วฉินเยี่ยนจะรู้ว่าเวินหลานฉีชอบตนเอง แต่เวินหลานฉีก็ไม่เคยพูดมาก่อน ในใจเขาจึงยังตื่นเต้นอยู่บ้าง หากแต่สีหน้ายังคงสงบนิ่งอยู่
เวินหลานฉีนึกไม่ถึงเลยว่าฮั่วฉินเยี่ยนจะถามเธอด้วยประโยคนี้ เธอตกใจจนเซ่อ มองฮั่วฉินเยี่ยนด้วยสายตาลังเลอยู่หน่อยๆ ความจริงเธอไม่กล้าพูดออกมา เพราะถ้าเธอยังไม่ทำลายหน้าต่างบานนี้ เธอก็ยังได้เป็นเพื่อนและตามติดข้างกายเขาอยู่เหมือนเดิม แต่ถ้าพูดออกไปแล้ว ถ้าฮั่วฉินเยี่ยนไม่ได้มีความในใจเหมือนกับเธอ อย่างนั้นต่อไปถ้าเธอเจอหน้าฮั่วฉินเยี่ยนคงรู้สึกทำตัวไม่ถูก เธอควรทำอย่างไรดีนะ สุดท้ายแล้วจะต้องพูดออกไปไหมนะ
“ผมต้องไปเรียนต่อที่อเมริกา ฉีฉีไม่มีคำพูดที่อยากจะพูดกับผมเหรอ” ฮั่วฉินเยี่ยนมองตาเวินหลานฉีแล้วพูด
“ฉัน…” ในใจเวินหลานฉีขัดแย้งกันอย่างหนัก คำพูดติดอยู่ที่ปาก เธออยากจะพูดออกมาทว่ากลับยังลังเลอยู่ดี เพียงแค่ได้ยินฮั่วฉินเยี่ยนบอกว่าจะไปเรียนต่อที่อเมริกา เธอเกิดความสับสนพาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“ฉีฉี ความจริงผมชอบคุณ” ฮั่วฉินเยี่ยนพูดขึ้น เขาเห็นความลังเลของเวินหลานฉี จึงชิงพูดออกมาก่อน จากนั้นเขาก็หยิบกล่องเล็กประณีตงดงามออกมาจากถุง และคุกเข่ายื่นไปตรงหน้าเวินหลานฉี ให้เธอเปิดออก
“นี่คือสร้อยคอคริสตัลที่ผมให้คุณ ผมอยากมอบมันให้คุณ ถ้าคุณชอบผมเหมือนกัน คุณก็เก็บมันไว้เถอะ” คริสตัลขาวบริสุทธิ์นั้นกระทบกับแสงแดดที่สาดส่องลงมาจนระยิบระยับแวววาว ใจของเวินหลานฉีเต้นตึกตักอย่างรวดเร็ว เธอไม่นึกเลยว่าที่แท้ฮั่วฉินเยี่ยนเองก็ชอบเธอเหมือนกัน เธอคิดว่าทุกอย่างนี้ไม่ใช่ความจริงเอาเสียเลย เธออดหยิกตัวเองไปทีไม่ได้ เจ็บจริง ดูท่าจะไม่ใช่ความฝันสินะ
เจ้าชายในดวงใจของเธออยู่ตรงหน้าของเธอแล้วในตอนนี้ และเขากำลังถามว่าเธอชอบเขาไหม ใจเธอแทบจะโบยบินออกมาเสียเดี๋ยวนั้น เธอจึงยื่นมือไปรับสร้อยคอในมือของฮั่วฉินเยี่ยนมาอย่างช้าๆ
“สวยจริงๆ ฉันชอบมาก!” ทันทีที่ฮั่วฉินเยี่ยนเห็นเวินหลานฉีรับสร้อยในมือเขาไป เขาก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา เขาลุกขึ้นนั่งข้างเวินหลานฉี “ฉีฉี คุณชอบผม” ครั้งนี้เขาเอ่ยพูดอย่างมั่นใจ เวินหลานฉีโดนคำพูดของเขาจู่โจม จนใบหน้าของเธอแดงฉาน จริงๆ แล้วฮั่วฉินเยี่ยนดีใจแทบตาย แต่ทำเป็นปากแข็งสินะ!
“มา ผมช่วยคุณใส่นะ” ฮั่วฮินเยี่ยนหยิบสร้อยขึ้นมา และบรรจงสวมลงบนคอเธอเบาๆ คริสตัลสีขาวแฝงความเย็นเล็กน้อย ทะลุผ่านผิวของเธอไปถึงในใจของเธอ เธอรู้สึกดีใจมาก ที่แท้ฮั่วฉินเยี่ยนก็ชอบเธอเหมือนกัน ความสับสนก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าเธอโง่งมไปเองหรอกเหรอ! เวินหลานฉีคิดอย่างหงุดหงิดเล็กหน่อย
“คุณจะไปอเมริกาเหรอ” แม้ในใจเวินหลานฉีจะชื่นมื่นขนาดไหน หากแต่เธอก็นึกขึ้นได้ว่าฮั่วฉินเยี่ยนจะไปอเมริกาแล้ว จึงรู้สึกใจหายอยู่บ้าง
“อืม ไม่อยากให้ผมไปเหรอ” ฮั่วฉินเยี่ยนถาม เขายื่นมือมากักเวินหลานฉีไว้ในอ้อมกอดของเขา ตัวของเธอเล็กกะทัดรัด โครงกระดูกนั้นเล็กมากทีเดียว เขามองร่างไม่อ้วน แต่ความจริงก็มีน้ำมีนวลอยู่เหมือนกัน ร่างนุ่มนิ่มถูกโอบไว้ในอ้อมกอดเขา ช่างสบายยิ่งนัก
“ไม่ใช่นะ คุณไปเถอะ ฉันจะรอคุณกลับมา!” เวินหลานฉีพูด เธอรู้ดีถึงภาระอันหนักอึ้งของฮั่วฉินเยี่ยน เขาเป็นถึงผู้สืบทอดของสกุลฮั่วเชียวนะ ไปเรียนต่อต่างประเทศถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย แม้เธอจะตัดใจไม่ลง แต่ก็ขัดขวางเขาไม่ได้เด็ดขาด
“เด็กดี!” ฮั่วฉินเยี่ยนลูบหัวเธอ “เมื่อกี้อามั่นพูดอะไรกับคุณเหรอ” ฮั่วฉินเยี่ยนเอ่ยถาม
“เปล่า ไม่ได้พูดอะไร!” เวินหลานฉีตอบทันควัน เธอคงบอกเรื่องของอามั่นกับฮั่วฉินเยี่ยนตอนนี้ไม่ได้ พวกเขาเพิ่งจะอยู่ด้วยกันเอง ก็เรื่องนี้มันทำให้เสียบรรยากาศเกินไปน่ะสิ
“คุณไม่บอกผมก็รู้หรอกน่า! อีกอย่างผมยังได้ยินประโยคว่า ‘รักผมที่สุดในโลก!’ นั้นของคุณด้วย” ฮั่วฉินเยี่ยนพูดกลั้วหัวเราะ
“นี่คุณแอบฟังเราคุยกันเหรอ!” ตอนเวินหลานฉีพูดประโยคพวกนั้นกับอามั่น เธอไม่ได้รู้สึกกระดากอายอะไรหรอก แต่พอต้องเผชิญหน้ากับฮั่วฉินเยี่ยนแล้ว เธอกลับรู้สึกกระดากอายเหลือเกิน เธอเขินจนอดหน้าแดงก่ำไม่ไหว
“นี่คุณรักผมขนาดนี้เลยเหรอ นึกไม่ถึงเลยนะเนี่ย!” ฮั่วฉินเยี่ยนหยอกล้อ
“เปล่าเสียหน่อยนะ คุณฟังผิดไปต่างหาก ฉันไม่ได้พูดประโยคนั้นสักหน่อยนะ คุณอย่ามั่นไปหน่อยเลย! อืม…” ฮั่วฉินเยี่ยนประกบจูบเวินหลานฉีซึ่งกำลังเอ็ดตะโรอยู่
นั่นถือเป็นจูบแรกของทั้งสองคน จูบที่แฝงด้วยความไร้เดียงสาอ่อนประสบการณ์ หากแต่หวานล้ำและสวยงามเหลือเกิน!
ชั่วพริบตาก็ผ่านไปแล้วสิบปี จูบของเวินหลานฉีกับฮั่วฉินเยี่ยนในตอนนี้ยังคงหวานซึ้งดีงามเหมือนอย่างในตอนนั้น
เวินหลานฉีนั่งอยู่บนตักของฮั่วฉินเยี่ยน ทั้งสองคนจูบกันจนไม่อยากพรากจากกันไปไหน มิหนำซ้ำไม่รู้เลยว่ามือของฮั่วฉินเยี่ยนล้วงเข้ามาในเสื้อของเวินหลานฉีตอนไหน มือของเขาปัดป่ายไปตามร่างกายของเธอ มือหนาประกบลงบนอกอวบอิ่มของเธอ แล้วบีบขยำเบาๆ
เวินหลานฉีสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายฮั่วฉินเยี่ยนได้อย่างเห็นได้ชัด เธอนึกอยากดิ้นรนขัดขืน ทว่าไม่นึกเลยว่าฮั่วฉินเยี่ยนจะล็อกตัวเธอแน่นกว่าเดิม และจู่โจมเธอด้วยความปรารถนาอยากครอบครอง เวินหลานฉีพยายามดิ้นรน หากแต่ก็ถูกฮั่วฉินเยี่ยนเล้าโลม จนได้แต่ส่งเสียงครางอื้ออึง
แนบชิดสนิทกัน แต่ฮั่วฉินเยี่ยนก็ยังไม่พอใจ นี่เป็นเพียงหยอกเย้าเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น อาหารมื้อใหญ่มันถัดจากนี้ต่างหาก!
…..
ณ บาร์นั่งดริ๊งแห่งเมือง W ชายชุดดำคนหนึ่งนั่งอยู่ในมุมมืดสลัว ชายคนนั้นสวมเสื้อสีดำ สวมผ้าปิดปากสีดำบนใบหน้า แถมยังสวมหมวกแก๊ปสีดำอีกต่างหาก ดูอึมครึมไปทั้งตัว
ที่นี่คือบาร์เคาน์เตอร์ที่ทำให้นึกถึงประโยคหนึ่ง เสียงต้อนรับหญิงสาวแต่งตัวจัดจ้านคนหนึ่งเดินเข้ามา เธอมาพร้อมกลิ่นอายดูมีประสบการณ์โชกโชน ทำเอาชายหนุ่มในบาร์หลายคนถึงกับนั่งไม่ติด หากแต่สาวเจ้ากลับไม่สนใจไยดีพวกเขาโดยสิ้นเชิง เธอเพียงมุ่งตรงไปยังโต๊ะมุมตัวนั้น และนั่งลงตรงหน้าชายชุดดำคนนั้น
เธอจุดบุหรี่มวนหนึ่งขึ้นสูบอย่างช่ำชอง เห็นได้ชัดว่าไม่สะทกสะท้านและสงบนิ่ง เธอกลืนเมฆคายหมอก [1] อยู่สักพัก จนในที่สุดชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามก็เอ่ยพูดกับเธอด้วยทนไม่ไหว “ให้ผมสักมวนสิ!” เสียงของเขาราวกับเสียงกระดาษสักแผ่นฉีกขาด ไม่รื่นหูไม่น่าฟังเอาเสียเลย
“เหอะ!” หญิงสาวแค่นหึเสียงเย็น แต่ยังคงโยนบุหรี่ไปให้ชายหนุ่มมวนหนึ่ง
“ไม่น่าขอร้องคุณเลย อาการติดยาของคุณควบคุมได้แล้วเหรอ แล้วตอนนี้มันเรื่องอะไรอีกล่ะ” สาวเจ้ามองมือสั่นระริกของชายหนุ่มชุดดำ พร้อมทั้งพูดประชด
ชายหนุ่มชุดดำไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงจุดบุหรี่มวนนั้นอย่างสั่นๆ จากนั้นก็คาบไว้ในปาก สูดเข้าไปเฮือกหนึ่งอย่างรวดเร็ว สีหน้าท่าทางของเขาฉายแววมีความสุข
“เลิกได้แล้วล่ะ แต่บางครั้งก็ยังมีความอยากอยู่บ้าง เลยได้แต่พึ่งการสูบบุหรี่แก้ปัญหาอย่างช้าๆ เนี่ยล่ะ” หนุ่มชุดดำเอ่ยพูด
“ช่วงนี้คุณเป็นไงบ้างล่ะ” ชายหนุ่มชุดดำเอ่ยถาม
“จะเป็นไงได้ล่ะ ตอนนี้ฉันจมปลักอยู่ในบ่อโคลน ดึงยังไงก็ดึงไม่ออกน่ะสิ ฉันละเกลียดผู้หญิงคนนั้นจริงๆ!” ตอนหญิงสาวเอ่ยพูดประโยคข้างหลังนั้น เธอกัดฟันพูดด้วยความเคียดแค้น ทั้งน้ำเสียงยังเจือด้วยเจตนาร้ายอย่างเหลือล้น
“ผมเองก็เหมือนคุณนั่นแหละ เรามีเป้าหมายร่วมกันใช่ไหมล่ะ เราสองคนไม่สู้มาร่วมมือกันเถอะ!” ชายชุดดำเอ่ยพูด
“ร่วมมืออะไร คุณคิดจะทำอะไรอีก” หญิงสาวถาม
“เราต้องเจ็บปวดทรมานขนาดนี้อยู่ที่นี่ แต่ศัตรูของเรากลับสบายใจเฉิบขนาดนั้น คุณสบายใจงั้นเหรอ” ชายชุดดำสวมผ้าปิดปากพูดขึ้น ด้วยน้ำเสียงกดต่ำหยาบกระด้าง แต่คำพูดของเขากลับเจือแววอาฆาตแค้นและผูกพยาบาทอย่างลึกซึ้ง
นั่นทำให้ประหลาดใจยิ่งนัก ว่าทั้งสองคนนี้คือใครกันแน่ แล้วพวกเขามีความแค้นรุนแรงขนาดนี้ต่อใครอีก
หญิงสาวพราวเสน่ห์คือเหยียนน่าผู้ถูกฮั่วฉินเยี่ยนส่งไปขายบริการ ส่วนชายหนุ่มคือฮั่วจวินผู้ตกหน้าผาในตอนแรก แต่กลับหาศพไม่พบ
ในจังหวะชุลมุนตอนนั้นฮั่วจวินถูกยิงด้วยกระสุนหนึ่งนัด เขาพลาดท่าร่วงตกเนินเขาลงไป หากแต่กระสุนนัดนั้นไม่ได้โดนจุดสำคัญ เขาจึงกลิ้งลงไปตามเนินเขาจนถึงที่ลับแห่งหนึ่ง เขาหลบหนีการติดตามและจับกุมอยู่ที่นั่น ตลอดช่วงหลายวันนั้นอาการอยากยาของเขากำเริบไปแล้วหลายต่อหลายครั้ง ทั้งบาดแผลบนร่างกายเขาก็อักเสบอยู่บ้าง หนำซ้ำเขายังมีไข้ขึ้นสูงอีกต่างหาก หลายวันนี้เขาทนฝืนต้านไว้โดยไม่ปริปากบ่น ส่วนอาการติดยาของเขาก็ค่อยๆ ดีขึ้นเช่นกัน
เขาแข็งใจลงจากเขา และจัดการไปทำแผลที่คลินิกเอกชนแห่งหนึ่ง เงินของเขาไม่เหลือเลยสักแดงเดียว เขาจึงได้แต่ไปทำงานรับจ้างชั่วคราวที่เขาเคยดูถูกเอาไว้ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายพื้นฐานในการใช้ชีวิตของตัวเอง
หากแต่ตั้งแต่ต้นจนจบในใจของเขายังอยากกลับไปอยู่ตระกูลฮั่ว และแย่งทุกอย่างที่ฮั่วฉินเยี่ยนเสวยสุขอยู่ตอนนี้ เขาแทบอยากจะไล่ฮั่วฉินเยี่ยนไปตายเสียตอนนี้เลย ทว่าเขากลับเมืองหลวงไม่ได้ เขาเคยแอบสืบข่าวอย่างเงียบๆ พบว่าตอนนี้เขาถูกออกหมายจับอยู่ เพียงแค่เขาก้าวเข้าเมืองหลวงก็คงถูกจับกุมตัวในทันที ดังนั้นเขาจึงได้แต่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่โดยปิดบังชื่อแซ่ จนเมื่อไม่กี่วันก่อนเขาบังเอิญได้ยินชื่อเหยียนน่าจากปากของลูกค้าที่กำลังกินข้าวอยู่ในร้านอาหารเล็กๆ ซึ่งเขาทำงานอยู่ เนื่องจากเธอล่วงเกินเวินหลานฉี จึงถูกฮั่วฉินเยี่ยนส่งตัวมาขายบริการอยู่ที่นี่ มิหนำซ้ำแม้เธอจะอยากทำอาชีพอื่นก็ไม่มีใครจ้างเธอเลย วันเวลาของเธอจึงผ่านไปอย่างทุกข์ทรมานไม่ต่างกัน
นั่นทำให้เขาคิดว่าบางทีเหยียนน่าอาจจะเป็นหมากที่ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ดังนั้นเขาจึงสอบถามจากหลายๆ ทาง จนในที่สุดก็ติดต่อเธอได้
และที่มาเจอกันในวันนี้ เขาพบว่าความแค้นของเหยียนน่าไม่ได้น้อยไปว่าเขาเลยแม้แต่น้อย เขาจึงตัดสินใจยุให้หญิงสาวโง่งมคนนี้มาร่วมมือกับเขา เพื่อกำจัดฮั่วฉินเยี่ยนกับเวินหลานฉี ยิงปืนนัดเดียวได้ยึดครองทั้งตระกูลฮั่วและตระกูลเวิน
“ฉันจะสบายใจได้ยังไง! แค่ฉันคิดถึงนังแพศยาเวินหลานฉีคนนี้ ฉันก็เกลียดจนอยากจะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้ว ฉันแทบอยากจะฆ่าเธอเพื่อระบายความแค้นในใจของฉันด้วยซ้ำ! มีสิทธิ์อะไรมาทำให้ฉันทุกข์ทรมานเหมือนไม่ใช่คนอยู่ที่นี่ ส่วนนังคนชั้นต่ำนั่นกลับได้หน้าได้ตาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้!”
ตั้งแต่เหยียนน่าถูกส่งมาขายบริการอยู่ที่นี่ จริงๆ ชีวิตของเธอลำบากเป็นอย่างมาก
ในวันปกติธรรมดาต้องมาแย่งชิงลูกค้ากับคนอื่น ไม่ง่ายเลยกว่าจะแย่งลูกค้ามาได้สักคน หนำซ้ำบางครั้งยังเจอคนหน้าไม่อายอีกต่างหาก บางคนเสร็จธุระแล้วก็หิ้วกางเกงออกไปเลย จนเธอต้องไล่ตามไปเพื่อจะเอาเงิน เบาหน่อยก็ถูกด่ากลับมา หนักหน่อยก็โดนตบกลับมาสุดแรง แถมบางครั้งยังเจอคนหมกมุ่นเป็นพิเศษ ทำครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดทั้งคืน จนเธออยากจะทิ้งมันไปสักครึ่งชีวิต
แต่เธอก็ทำงานอื่นไม่ได้อีกแล้ว เธอรับความจนไม่ได้ เธอเคยคิดจะทำงานทั่วไปอย่างเด็กสาวคนอื่นบ้าง แต่แค่ต้องไปล้างจาน เธอก็รับไม่ได้แล้ว งานพรรค์นั้นมันได้เงินน้อยเกินไปจริงๆ ทว่าค่าใช้จ่ายของเธอมันก็เยอะเกินไปจริงๆ นั่นแหละ
ด้วยเพราะลูกค้าที่เธอรับก่อนหน้านี้ทำให้เธอติดบุหรี่ แค่ต้องห่างจากบุหรี่เธอก็รับไม่ได้แล้ว แถมเธอยังอยากแต่งตัวสวยๆ งามๆ อยากจะเป็นจุดรวมสายตาของผู้คนอีก
ทุกครั้งเธอจะคิดว่า ‘ขอแค่ฉันรวบรวมเงินได้สักหน่อยก็จะไม่ทำแล้ว’ แต่ทว่าทุกครั้งเธอก็จะใช้เงินจนหมดไม่เหลือสักส่วน เธอไม่มีทางเลือก จึงทำได้แค่กลับมารับโทษนี้ต่อไป
ส่วนเวินหลานฉีผู้อยู่ไกลถึงเมืองหลวงล่ะ เธอจะมีชีวิตอย่างไรบ้าง วันนั้นเหยียนน่าเห็นข่าวสัมภาษณ์เวินหลานฉีทางโทรทัศน์ เธอสวมชุดราตรีดูผู้ดี แค่มองก็รู้แล้วว่าคงเป็นเสื้อผ้าเกรดดี มันเหมือนที่เธอสวมใส่ตรงไหนกัน ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่สินค้าแผงลอยราคาต่ำ ทว่าเวินหลานฉีในโทรทัศน์กลับแต่งหน้าละเอียดงดงามอย่างพอดี กลับกันใบหน้าของเธอนั้นฉาบไปด้วยแป้งหนาๆ แค่ชั้นเดียว จนเธอแทบลืมไปแล้วว่าหน้าตาเธอตอนแรกนั้นเป็นเช่นไร ฮั่วฉินเยี่ยนที่เธอเคยรักก็ยืนอยู่ข้างกายเวินหลานฉี ช่างเหมาะกับคำว่า ‘กิ่งทองใบหยก’ และสวรรค์ส่งมาให้คู่กันเสียจริง เธอมองสิ่งเหล่านี้แล้วอิจฉาจนเสียสติไปเลย ทั้งที่ทั้งหมดนั้นควรจะเป็นของเธอเสียด้วยซ้ำ เป็นเพราะผู้หญิงคนนี้แย่งทุกอย่างจากเธอไปทั้งหมด เธอเกลียดผู้หญิงคนนี้แทบตาย เธอแทบจะสับนังผู้หญิงคนนั้นเป็นหมื่นๆ ท่อน!
นัยน์ตาของเหยียนน่าฉายแววบ้าคลั่ง “แล้วคุณว่าเราต้องทำยังไง!” เธอในตอนนี้ไม่อยากหัวเราะเยาะฮั่วจวินว่าไร้ความสามารถอีกแล้ว เธอต้องยอมรับว่าไอคิวของเธอนั้นไม่เพียงพอ พวกวางกลอุบายพรรค์นี้ ฮั่วจวินถึงจะถนัดที่สุด
“ดูสิ คนที่คุณเกลียดคือเวินหลานฉี ส่วนผมก็เกลียดฮั่วฉินเยี่ยน แล้วเราก็รู้ว่าเวินหลานฉีคือชีวิตของฮั่วฉินเยี่ยน แค่ต้องจับเวินหลานฉีมาให้ได้ ถึงจะเอาคืนฮั่วฉินเยี่ยนได้”
“ฉันไม่มีคำขออื่นใด ฉันขอแค่เวินหลานฉีตายก็พอ!” ดวงตาเหยียนน่าแดงก่ำ
“คุณอยากให้เวินหลานฉีตาย ส่วนผมอยากให้ฮั่วฉินเยี่ยนตาย เป้าหมายของเราไม่ต่างกันเลย แต่คุณก็รู้ว่าตอนนี้ผมไม่มีเงิน และเส้นสายเลย เส้นสายของผมก่อนหน้านี้ก็ตัดขาดไปหมดแล้ว” พวกเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวที่เขาฮั่วจวินคบก่อนหน้านี้เหล่านั้น ยามเขาลำบาก ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเลยสักคน หนำซ้ำยังลากเขาเข้าไปพัวพันกับเส้นทางเล่นยาอีกต่างหาก หลังจากเขารอดชีวิตมาได้ เขาก็ไม่ได้ติดต่อเพื่อนพวกนั้นของเขาอีกเลย เพราะเขากลัวว่าถึงตอนนั้นแล้ว พวกเขาจะทรยศเขาอีก
“ทางฉันยังพอมีเงินอยู่จำนวนหนึ่ง ส่วนเส้นสายฉันพอรู้จักพวกนักเลงหัวไม้อยู่บ้าง” นักเลงหัวไม้พวกนั้นล้วนเป็นแขกบนเตียงของเหยียนน่า และเป็นพวกหน้าไม่อายทั้งนั้น ไม่ว่าเรื่องอะไรพวกเขาก็ทำได้หมด!
“แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ ตอนนี้ฉันต้องการบัตรประชาชนปลอมสักชุดหนึ่ง เพราะฮั่วฉินเยี่ยนออกหมายจับฉันไปทั่วเมืองหลวงเลย!” ฮั่วจวินพูด
“อันนี้ง่ายมาก ฉันทำพวกบัตรประชาชนปลอมได้ดีเลยล่ะ หลังเสร็จงานแล้ว ฉันต้องได้ส่วนนั้นที่ฉันควรได้รับ!” เหยียนน่าพูด
“รับรองเลยว่าจะไม่ทำให้เธอผิดหวัง ตอนนี้เราต้องร่วมมือกันเอาชนะเวินหลานฉีกับฮั่วฉินเยี่ยนให้ได้!”
—–
[1] กลืนเมฆคายหมอก (吞云吐雾) เป็นสำนวน หมายถึง สูบบุหรี่