ตอนที่ 125 ตายเพราะอุบัติเหตุ

พ่ายรักวิวาห์ลวง

ฮั่วฉินเยี่ยนและเวินหลานฉีไม่ได้รับรู้เลยว่ามีคนกำลังคิดร้ายต่อพวกเขาอยู่ เวลานี้พวกเขาทั้งสองกำลังสวีทหวานปานน้ำผึ้งกันอยู่ด้วยซ้ำ 

 

 

ไม่ว่าฮั่วฉินเยี่ยนจะขบกัดลงบนริมฝีปากของเวินหลานฉีกี่ครั้งกี่คราก็ไม่รู้จักพอ เขาประกบจูบอย่างดูดดื่มยาวนานอีกครั้ง จากนั้นก็กระหยิ่มยิ้มย่องในขณะที่เธอพักหอบหายใจ “ที่รัก โอเคหรือเปล่า คราวนี้ผมจะเอาจริงแล้วนะ” 

 

 

ร่างอ่อนปวกเปียกเป็นน้ำของเวินหลานฉีถูกเปลื้องผ้าออกจนหมด วินาทีนี้เธอถูกพลิกกายเป็นฝ่ายอยู่ข้างบนแทน แผ่นหลังนอนหงายแนบชิดอยู่บนเรือนร่างของเขา มือใหญ่ของฮั่วฉินเยี่ยนยกขาขวาของเธอขึ้น ท่อนล่างก็สอดแทรกเข้ามา อดทนต่อความปรารถนาอยู่นาน จนส่วนนั้นชำแรกลึกเข้าไป 

 

 

“อ๊ะ แน่นมาก” เวินหลานฉีร้องขึ้นมาทันที ไม่ว่าจะทำกี่ครั้ง ความใหญ่โตของเขาก็ยังทำให้เธอรู้สึกยากจะรับได้ในรวดเดียว 

 

 

“อย่าหนีสิ!” เขากอบกุมยอดปทุมถันของเธอแล้วดึงเล็กน้อย เพื่อยับยั้งการเคลื่อนไหวของเธอ 

 

 

“แน่นมากจริงๆ …อาเยี่ยน…ใหญ่มาก…อ๊า…” 

 

 

เสียงน่ารักกระตุ้นเขาจนส่วนนั้นยิ่งขยายคับพองมากกว่าเดิม เขาพลิกหน้าเธอกลับมารับจูบอันป่าเถื่อน 

 

 

เมื่อเขาไม่ขยับส่วนล่าง เธอจึงไม่ต่อต้านและขัดขืนอีกต่อไป ขณะที่เธอมัวเมาอยู่กับจูบอันดูดดื่มโดยไม่ทันรู้ตัว เขาก็ลุกขึ้นนั่งอย่างกะทันหัน 

 

 

ตอนแรกหนึ่งในสามของส่วนนั้นยังอยู่ภายนอก แต่จากการเคลื่อนไหวนี้ ส่วนนั้นก็ดุนดันเข้าไปข้างในตัวเธอพรวดเดียว ส่วนหัวขนาดใหญ่ชนเข้ากับส่วนนั้นของเธอแน่น ความรู้สึกปวดแปลบแล่นริ้วขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนเธอต้องระบายออกมาในทันที 

 

 

คราวนี้อย่างกับน้ำมันราดลงบนกองไฟอย่างสิ้นเชิง ทำให้ฮั่วฉินเยี่ยนฮึกเหิมขึ้นมาในทันที เขาหยัดกายขึ้นและออกแรงขยับอย่างแรง จนร่างอ่อนปวกเปียกของเวินหลานฉีเป็นเพียงจอกแหนไล่ตามเขาไป 

 

 

ความสุขสมของทั้งสองคนดำเนินต่อเนื่องกันไปอย่างยาวนาน หลังจากเสร็จกิจ แม้แต่แขนเวินหลานฉียังยกไม่ขึ้นด้วยซ้ำ ฮั่วฉินเยี่ยนตักน้ำมาต้มจนเดือด เพื่อให้เธอได้ล้างเนื้อล้างตัว 

 

 

“อาเยี่ยน ฉันหิวจะตายแล้ว~” หลังจากผ่านกิจกรรมอันดุเดือด ท้องของเวินหลานฉีก็เริ่มหิวขึ้นมา 

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนดึงไก่ย่างตัวนั้นออกมาจากกองไฟ ตอนนี้ไก่ย่างตัวนั้นสุกแล้ว เขาจึงคลี่ใบบัวข้างนอกออก กลิ่นหอมของเนื้อไก่คลุกเคล้ากับกลิ่นหอมสดชื่นของใบบัวลอยมา จนความอยากอาหารกำเริบ 

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนใช้มีดหั่นไก่เป็นชิ้นๆ ป้อนให้เวินหลานฉี เนื้อละเอียดฉ่ำน้ำ กลิ่นหอมติดปลายลิ้น จนเวินหลานฉีรู้สึกว่า ไก่ย่างที่เคยกินก่อนหน้านี้ยังไม่อร่อยเท่าไก่ย่างง่ายๆ โกโรโกโสตอนนี้เลยด้วยซ้ำ 

 

 

นอกจากไก่ย่างตัวนี้แล้ว ฮั่วฉินเยี่ยนยังย่างผักสดอีกด้วย เวินหลานฉีกินไปไม่น้อยเลยทีเดียว น้อยครั้งนักที่เธอจะได้กินอาหารหลากหลายขนาดนี้ อย่างอาหารจำพวกเนื้อหรือปิ้งย่างพวกนี้ เธอได้กินน้อยครั้งมาก เพราะถ้าเป็นงานสังคมก็คงไม่เลี้ยงอะไรพวกนี้อยู่แล้ว ส่วนอีกด้านหนึ่งการกินอะไรพวกนี้มันไม่ค่อยสุภาพเรียบร้อยมากนัก หนำซ้ำเวินหลานฉียังต้องสนใจภาพลักษณ์ของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นเธอคงจะโดนปาปารัสซี่แอบถ่ายเข้าสักวัน พอถึงตอนนั้นคงได้มีประวัติทำลายภาพลักษณ์บริษัทของเธอด้วยเช่นกัน 

 

 

แต่ที่นี่ไม่จำเป็นต้องสนใจมากขนาดนั้น ที่นี่คือยอดเขา บริเวณรอบๆ นี้ไม่มีใครเลยสักคน ไม่จำเป็นต้องกังวลนู่นนี่ เวินหลานฉีเองก็ปลดปล่อยท้องให้กินแล้วกินอีก 

 

 

หลังจากทั้งสองกินข้าวเสร็จจึงรู้สึกขี้เกียจอยู่บ้าง ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว ทั้งสองนั่งล้อมรอบกองไฟ ฮั่วฉินเยี่ยนใช้ผ้าห่มสักหลาดห่อเวินหลานฉีไว้ในอ้อมกอด 

 

 

บนท้องฟ้ามีดาวบ้างประปราย บริเวณโดยรอบมีหิ่งห้อยโบยบินบ้างเล็กน้อย ทั้งหมดนี้สวยงามอย่างเห็นได้ชัด ทั้งสองคนพูดคุยกันแผ่วเบา จูบบ้างเป็นบางครั้ง คืนวันสงบงดงาม ไม่ต้องแข่งขันกับใคร 

 

 

เวินหลานฉีนึกถึงตอนเธอเพิ่งกลับประเทศใหม่ๆ เธอเคยคิดว่าไม่อาจพัวพันกับคำมั่นสัญญาของฮั่วฉินเยี่ยนอีกตลอดชีวิตนี้ จึงอดยิ้มออกมาเบาๆ ไม่ได้ ตอนนั้นเธอไม่เคยนึกเลยว่าจะกลายเป็นอย่างตอนนี้ ตอนนั้นเธอแค่เกลียดฮั่วฉินเยี่ยนจับใจ แต่งงานกับเธอชัดๆ แต่กลับมองเธอเป็นแค่ตัวแทนของพี่สาวอย่างเวินหลานซินเสียได้ ทว่าไม่นึกเลยว่าทุกอย่างจะเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น 

 

 

ตอนแรกเธอไม่อยากจะให้อภัยฮั่วฉินเยี่ยนด้วยซ้ำ เพราะชีวิตแต่งงานตลอดสองปีนั้น ความอดทนทุกอย่างของเธอ รวมถึงความรักที่มีต่อเขาล้วนถูกทำร้ายไม่เหลือชิ้นดี ตอนนั้นเธอหมดหวังจริงๆ เธอรู้ว่าส่วนลึกภายในจิตใจของตัวเองยังคงรักฮั่วฉินเยี่ยนอยู่ หากแต่เธอกลับอยากปล่อยเขาไป เพราะเธอกลัวตัวเองจะต้องเจ็บซ้ำอีก 

 

 

นอกจากหน้าตาเธอกับเวินหลานซินผู้เป็นพี่สาวจะเหมือนกันแล้ว อย่างอื่นนั้นไม่เหมือนกันเลยสักอย่าง โดยเฉพาะนิสัย ดังนั้นเธอไม่มีทางกลายเป็นพี่สาวของเธอได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วทำไมต้องฝืนอยู่ด้วยกันล่ะ แต่ใครจะไปรู้ ว่าพอเธอกลับมาแล้วทุกอย่างจะเปลี่ยนไป ที่แท้ทุกอย่างนี้เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด มิหนำซ้ำฮั่วฉินเยี่ยนยังทำเพื่อเธอตั้งมากมายขนาดนั้น เธอจึงรู้สึกซาบซึ้งมากจริงๆ และยินดีจะเชื่อใจเขาอีกสักครั้ง 

 

 

ความไว้เนื้อเชื่อใจที่เธอมีต่อฮั่วฉินเยี่ยนถูกเขาพิชิตไปตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้ว ดังนั้นการไว้ใจเขาจึงถือเป็นเรื่องง่ายจริงๆ! 

 

 

ทั้งสองพักอยู่บนยอดเขาเพียงคืนเดียว แต่ใครเล่าจะรู้ว่าพอตื่นขึ้นในวันถัดมา ท้องฟ้ากลับเริ่มมีฝนโปรยปรายลงมาอย่างเหนือความคาดหมาย 

 

 

“จะซวยเกินไปละมั้ง! อุตส่าห์ได้ออกมาพักผ่อนทั้งที แต่ฝนดันตกลงมาเสียได้!” เวินหลานฉีพูดอย่างกลัดกลุ้มใจ 

 

 

“เรารีบลงจากเขากันเถอะ ตอนนี้ฝนยังตกไม่หนักมาก ลงเขาตอนนี้น่าจะเดินง่ายกว่า” ฮั่วฉินเยี่ยนมองสายฝนโปรยปรายลงมาพร้อมพูดขึ้น ไม่รู้ทำไมในใจของเขากลับรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ค่อยจะดีนัก แต่เขาก็บอกไม่ได้ว่าคืออะไร 

 

 

ทั้งสองจัดการเก็บข้าวของเหมือนอย่างในตอนขามาอย่างรวดเร็ว ฮั่วฉินเยี่ยนยกของหนักอึ้งมาถือเสียเอง ส่วนเวินหลานฉีสะพายกระเป๋าใบเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มกว่าหน่อย 

 

 

ขณะที่ทั้งสองเดินลงจากเขา อยู่ๆ สายฝนก็เริ่มเทลงมาหนักกว่าในตอนแรก เวินหลานฉีคิดว่าเส้นทางลงจากเขาลำบากมากจริงๆ ตอนแรกเป็นเพียงถนนลูกรัง และมีหญ้าขึ้นรก แต่พอฝนเทลงมาก็เฉอะแฉะไปด้วยโคลนเลนอย่างสุดจะทน 

 

 

“ฉีฉี เดินช้าลงหน่อย ไม่ต้องรีบร้อน!” ฮั่วฉินเยี่ยนพูดกำชับ 

 

 

“รู้แล้วๆ ก็เนื้อตัวมันเปียกปอนจนรับไม่ได้จริงๆ นี่!” เวินหลานฉีบ่น 

 

 

“เด็กดี ทนหน่อยนะ!” ฮั่วฉินเยี่ยนพูดปลอบใจ 

 

 

ทั้งสองคนเดินไปได้สักระยะ ทว่าฝนตกแบบนี้ก็เดินยากจริงๆ นั่นแหละ เวินหลานฉีรู้สึกว่าตัวเองเดินไปได้ก้าวหนึ่ง ก็ลื่นอีกก้าวหนึ่ง เธออกสั่นขวัญหายจนต้องก้าวเดินอย่างระมัดระวังพอสมควร แต่ยิ่งระวังมากเท่าไร กลับยิ่งลื่นล้มง่ายขึ้นกว่าเดิม อีกอย่างตอนนี้เวินหลานฉีกระวนกระวายใจอยู่บ้าง จึงเดินช้าลงกว่าปกติเล็กน้อย 

 

 

แม้เวินหลานฉีจะเดินอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษแล้ว ทว่าขณะที่ไม่ทันระวัง เท้าก็ยังลื่นเสียได้ ความจริงจะไม่เป็นอะไรหรอก ขอแค่เธอตั้งสติให้มั่นโดยเร็วก็จะไม่ล้มลงไปแล้ว ทว่าตอนนั้นเธอยังหลงเหลือความตื่นกลัวอยู่บ้างก็เท่านั้น 

 

 

“อาเยี่ยน!” เธอร้องอย่างตื่นตระหนก ทันทีที่ฮั่วฉินเยี่ยนหันกลับมาเห็นเวินหลานฉี เขาก็ทิ้งข้าวของในมือลงแล้วโผเข้าไปกอดเธอไว้ทันที ทว่าทางบนภูเขานั้นลื่นเกินไปจนรับน้ำหนักของทั้งสองคนไม่ไหว ทั้งสองจึงกลิ้งลงมาตามแนวภูเขา 

 

 

ขณะที่กลิ้งลงไป ฮั่วฉินเยี่ยนก็ใช้มือป้องกันหัวกับหน้าของเวินหลานฉีเอาไว้ จะได้ช่วยลดอัตราการบาดเจ็บของเวินหลานฉีขณะโดนกระแทกเสียดสีได้ 

 

 

ทั้งสองลื่นไถลลงมาถึงตีนเขา เนื้อตัวของทั้งสองสกปรกมอมแมมอย่างสุดจะทน ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยดินโคลน เสื้อผ้าก็เปียกชื้นไปถึงข้างใน 

 

 

“ฉีฉี คุณบาดเจ็บไหม” ฮั่วฉินเยี่ยนเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง 

 

 

“เปล่า ฉันไม่ได้บาดเจ็บ อาเยี่ยน คุณบาดเจ็บไหม” แม้ตอนนี้เวินหลานฉีจะไม่สบายใจนัก แต่เธอยังพอฝืนทนได้ 

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาเฉิงหมิงที่อยู่ข้างล่าง เพื่อให้เขาส่งคนมาช่วยตน หากแต่กลับพบว่าตอนกลิ้งลงมาเมื่อกี้ โทรศัพท์ก็ตกลงมาเช่นกัน 

 

 

ดูท่าคงทำได้เพียงพึ่งตัวเองและเดินไปก่อน แต่หวังว่าเฉิงหมิงผู้อยู่ข้างล่างจะรู้เร็วหน่อย ว่าพวกเขาเจอเรื่องยุ่งยากเข้าให้แล้ว 

 

 

ขณะเดียวกัน เฉิงหมิงที่อยู่ข้างล่างเมื่อเห็นว่าฝนยิ่งเทลงหนักมากขึ้นเรื่อยๆ จึงต่อสายโทรศัพท์หาฮั่วฉินเยี่ยน แต่โทรอยู่นานก็ไม่มีคนรับสักที จากนั้นเขาโทรไปได้อีกไม่กี่ครั้ง สายในโทรศัพท์ก็บอกว่าผู้ใช้ปิดเครื่องไปแล้ว 

 

 

ทำไมถึงปิดเครื่องล่ะ ก่อนขึ้นเขาไปพวกเขาก็กำชับอย่างดีแล้วว่าโทรศัพท์ของฮั่วฉินเยี่ยนจะต้องเปิดเอาไว้ตลอด ทำอย่างนี้จะได้ติดต่อกันได้สะดวกหน่อย แต่ตอนนี้โทรเท่าไรก็โทรไม่ติด นั่นหมายความว่าพวกฮั่วฉินเยี่ยนเกิดเรื่องงั้นเหรอ 

 

 

เฉิงหมิงรีบโทรศัพท์แจ้งคนจากทุกพื้นที่ พร้อมทั้งโทรแจ้งตำรวจด้วย ในระหว่างนั้นเขาจะค้นหาตำแหน่งของฮั่วฉินเยี่ยนผ่านระบบ GPS กลับพบว่าด้วยฮั่วฉินเยี่ยนปิดโทรศัพท์ เป็นเหตุให้ไม่สามารถระบุพิกัดของพวกเขาได้เลย 

 

 

หนำซ้ำตอนนี้ฝนยิ่งเทลงมาหนักกว่าเดิม ที่ที่ฮั่วฉินเยี่ยนกับเวินหลานฉีตกลงมานั้นเป็นที่ที่ไม่เคยผ่านการซ่อมแซมมาก่อน ทั้งเดินลำบาก แถมตอนนี้ทั้งสองคนยังเผชิญกับสภาพอันยากลำบากต่อการหลงทางอีกต่างหาก พวกเขาเดินวนไปวนมาอยู่ที่นี่หลายครั้ง หากแต่ก็หาทางออกไม่เจอ สภาพฝนตกหนักทำให้เสื้อผ้าของพวกเขาเปียกโชกไปทั้งตัว เวินหลานฉีรู้สึกไม่สบายตัวเอาเสียเลย เธอหนาวสั่นไปทั้งตัว ทว่าฮั่วฉินเยี่ยนยังคงค้นหาทางออกอย่างกระตือรือร้น พวกเขาไม่อาจติดแหงกอยู่ที่นี่เพื่อรอคนมาช่วยได้ 

 

 

เวินหลานฉีจะไม่แสดงออกว่าเธออ่อนแอ และไม่มีความสามารถพอจะพาฮั่วฉินเยี่ยนออกไปได้ จึงพยายามไม่เป็นตัวถ่วงฮั่วฉินเยี่ยน 

 

 

ทั้งสองเดินกันไปได้อีกสักพัก เส้นทางโคลนเฉอะแฉะไปด้วยโคลนเลนนั้น ทำให้ทั้งสองคนที่ประคับประคองกันอยู่ลื่นล้มได้ง่ายเช่นกัน 

 

 

สถานที่อย่างบ่อโคลนเล็กๆ นี้ เวินหลานฉีไม่ทันระวังถึงได้ตกลงมา โชคยังดีที่ฮั่วฉินเยี่ยนรั้งเธอเอาไว้ได้ แต่ด้วยเหตุนี้ทำให้เธอข้อเท้าแพลงแทน 

 

 

ความเจ็บแปลบบริเวณข้อเท้าแล่นริ้วขึ้นมา จนน้ำตาของเวินหลานฉีไหลออกมา ฮั่วฉินเยี่ยนเมื่อเห็นเธอเช่นนั้นก็สงสารไม่ไหว แม้จะอยู่ท่ามกลางสายฝน แต่ฮั่วฉินเยี่ยนยังคงดูออกได้จากนัยน์ตาแดงก่ำคู่นั้น ว่าเวินหลานฉีร้องไห้อยู่ 

 

 

“ฉีฉี เด็กดี ไม่เป็นไรนะ ผมจะแบกคุณเดินเอง เราต้องเดินลงเขาไปให้ได้” ฮั่วฉินเยี่ยนปลอบเวินหลานฉี เช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าของเธอออก และจุมพิตเปลือกตาของเธอเบาๆ 

 

 

เวินหลานฉีเจ็บจนเดินต่อไม่ไหวจริงๆ ตั้งแต่ตกลงมาเท้าข้างนั้นของเธอก็เจ็บสุดๆ ฮั่วฉินเยี่ยนค้อมตัวลงพูดกับเธอว่า “คุณทนหน่อยนะ ผมจะนวดให้คุณ!” พูดไปก็ถอดถุงเท้าและรองเท้าของเธอออก แล้วกดนวดบริเวณข้อเท้าของเธอ 

 

 

เวินหลานฉีกัดริมฝีปากแทบตายเพื่อไม่ให้เสียงร้องอันเจ็บปวดดังออกมา เธอเห็นท่าทางก้มหน้ากดนวดให้เธออย่างตั้งใจของฮั่วฉินเยี่ยน ในใจนั้นมีเพียงความซาบซึ้ง เธอไม่เคยรู้สึกว่าฮั่วฉินเยี่ยนหล่อเท่าตอนนี้มาก่อนเลย ใบหน้าของเขาเลอะไปด้วยโคลนและน้ำฝน ดูดุดันเป็นพิเศษ แต่ในสายตาของเธอกลับหล่อเหลาเป็นบ้า 

 

 

“อาเยี่ยน คุณลงเขาไปก่อนเถอะ ฉันจะรอคุณอยู่ที่นี่ โอเคไหม” เวินหลานฉีไม่อยากทำให้ฮั่วฉินเยี่ยนเดือดร้อน เธอรู้ว่าด้วยความสามารถของฮั่วฉินเยี่ยนแล้ว เขาสามารถลงเขาเพียงลำพังได้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้เธอกำลังเป็นภาระเขาอยู่ 

 

 

“ไม่ได้ ผมจะอยู่กับคุณ! อากาศหนาวขนาดนี้ ถ้าคุณต้องอยู่ที่นี่คนเดียวคงไม่รอดหรอก!” เขาเงียบไปอึดใจหนึ่งแล้วพูดต่อ “ผมจะอยู่กับคุณ ต่อให้ต้องตายก็จะอยู่กับคุณ ยิ่งไปกว่านั้นเราจะตายไม่ได้!” ฮั่วฉินเยี่ยนพูดอย่างหนักแน่น 

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนถอดเสื้อคลุมตัวนอกของเขา มาคลุมหัวเวินหลานฉี จากนั้นก็หันกลับไปแบกเธอ “ผมแบกคุณเดินเอง อยู่ด้วยกันสองคนอุณหภูมิจะได้สูงขึ้นหน่อย!” ทั้งสองเดินกันอย่างยากลำบาก ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย หากแต่ก็ไม่รู้ทำไม เวินหลานฉีถึงรู้สึกปวดหัวยิ่งนัก มิหนำซ้ำยังรู้สึกวิงเวียนอีกต่างหาก ร่างกายก็รู้สึกหนาวเหลือเกิน คงไม่ใช่เพราะโดนฝนจนเปียกปอนหรอกนะ เธอถึงได้รู้สึกเหมือนตัวเองมีไข้แบบนี้ 

 

 

เธอไม่อยากให้ฮั่วฉินเยี่ยนเป็นห่วงเธอ จึงดึงสติขึ้นมาคุยกับฮั่วฉินเยี่ยน หากแต่เสียงพูดของเธอกลับเบาลงเรื่อยๆ และยิ่งเลอะเลือนเข้าไปทุกที ในตอนแรกฮั่วฉินเยี่ยนไม่ได้สนใจนัก ทว่าเขากลับยิ่งรู้สึกผิดปกติมากขึ้น “ฉีฉี ทำไมคุณถึงไม่พูดล่ะ อย่าเพิ่งหลับนะ!” หลับลงท่ามกลางวันที่อากาศเลวร้ายแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องน่าเล่นเลย! เขาร้องเรียกชื่อเวินหลานฉีอย่างร้อนใจ ทว่าเวินหลานฉีได้แต่ตอบเขากลับมาอย่างสะลึมสะลือ 

 

 

เธอซบลงบนไหล่ของฮั่วฉินเยี่ยน ในหัวสับสนยุ่งเหยิงไปหมด ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนฉายชัดขึ้นมาในหัวของเธอหมด ทั้งภาพเหตุการณ์ตอนฮั่วฉินเยี่ยนเจอเธอครั้งแรกตอนเด็กๆ และภาพเหตุการณ์ตอนฮั่วฉินเยี่ยนกับเธอแต่งงานกัน 

 

 

เธอนึกขึ้นได้ว่าตอนเด็กๆ ตัวเองนั้นสุขภาพอ่อนแอ ขี้โรค ต่อมาก็ไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ จนกระทั่งกลับประเทศมา เธอเปลี่ยนไปมากจนคนส่วนใหญ่ถึงกับจำเธอไม่ได้ รวมถึงตอนฮั่วฉินเยี่ยนกลับมาจากอเมริกาก็จำเธอไม่ได้เหมือนกันใช่ไหมล่ะ เธอรู้สึกเสียใจมาก ทำไมฮั่วฉินเยี่ยนถึงจำเธอไม่ได้ล่ะ มิหนำซ้ำภายหลังยังทำให้เธอเสียใจตั้งมากมายขนาดนั้น เธอรู้สึกตัวเองหนาวมาก แต่ความรู้สึกส่วนล่างอบอุ่นมาก จนเธออยากเบียดตัวเข้าหาอย่างเสียไม่ได้