ตอนที่ 211 หายตัวไป โดย Ink Stone_Fantasy
จากนั้นแสงสีฟ้าเป็นจุดๆ ก็ปรากฏออกมาในเมฆสีดำเป็นจำนวนมาก หลังจากมีเสียงดังขึ้น มันก็เชื่อมต่อกันเป็นสายเดียว และกลายเป็นม่านแสงสีฟ้าที่หนาเป็นพิเศษ จากนั้นมันก็หล่นลงมาปกคลุมทั่วทั้งเสวียนจิงไว้
มองดูไกลๆ ราวกับชามยักษ์สีฟ้าที่ครอบเมืองขนาดใหญ่ไว้
ในขณะเดียวกัน ม่านแสงสีฟ้าก็ปรากฏออกมาในพระราชวัง มันแยกพระราชวังกับส่วนอื่นๆ ของเสวียนจิงออกจากกัน
ได้เห็นฉากอันน่าตกใจเช่นนี้ ผู้ฝึกฝนที่เป็นสายตรวจของอิทธิพลใหญ่ต่างๆ ย่อมตกตะลึงจนตาค้าง
“แย่แล้ว! พวกเราถูกค่ายกลโอบล้อมไว้ รีบทำลายมันซะจะได้มีชีวิตรอด!”
ไม่รู้ว่าเสียงใครร้องออกมาด้วยความตกใจ จากนั้นเงาร่างบนท้องถนนก็ลุกฮือพุ่งไปยังม่านแสงที่อยู่ใกล้ตัวเองที่สุด
ครู่ต่อมา พลังหลากหลายรูปแบบได้ถูกปล่อยออกมาจากผู้ฝึกฝนอิสระเหล่านี้ และกลายเป็นลำแสงแบบต่างๆ พุ่งไปยังม่านแสงสีฟ้า ก่อนที่จะพากันแตกร้าวออกมา
ชั่วเวลานั้น มีเสียงสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วฟ้า!
หลังจากลำแสงแบบต่างๆ หายไปแล้ว ม่านแสงสีฟ้าขนาดใหญ่ก็ยังคงปกคลุมเสวียนจิงอยู่เงียบๆ พื้นผิวของมันก็ไม่มีระลอกคลื่นแม้แต่น้อย
ฉากอันน่าตกใจนี้ เหมือนจะทำให้ผู้ฝึกฝนอิสระที่ลงมือเมื่อครู่ มีสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมาในทันที
ทันใดนั้นผู้ฝึกฝนอิสระบางคนก็ปล่อยพลังไปยังด้านล่าง และพริบตาที่เท้าทั้งคู่เหยียบพื้น ต่างก็หยิบยันต์กับอาวุธต่างๆ ออกมากระตุ้น จากนั้นแสงสีเหลืองก็ค่อยๆ พากันมุดลงใต้ดิน
ผู้ฝึกฝนอิสระที่มีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วเหล่านี้ คิดจะให้วิชาดำดินเพื่อหลบหนีออกไปจากเสวียนจิง
แต่ผ่านไปไม่นาน คนเหล่านี้ต่างก็พุ่งออกมาจากใต้ดินพร้อมกร่นด่าพึมพำ
ที่แท้ใต้พื้นดินลึกสิบกว่าจั้งยังมีม่านแสงสีฟ้าอยู่ชั้นหนึ่ง ทำให้พวกเขาไม่อาจหนีออกไปจากเสวียนจิงได้
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ต่างก็รู้สึกเย็นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้
แต่ผู้ฝึกฝนอิสระที่อยู่ตามกลุ่มอิทธิพลใหญ่ต่างๆ เหล่านี้ ได้พากันกลับไปยังกลุ่มของตนเองเพื่อรายงานผล
ระยะเวลาแค่สองชั่วยาม กลุ่มอิทธิพลใหญ่ต่างๆ ก็เริ่มรวมตัวลูกน้องที่อยู่ในเสวียนจิง ขณะเดียวกันผู้ฝึกฝนระดับสูงต่างก็ค่อยๆ รวมตัวกันเพื่อหารือเรื่องวิกฤตตรงหน้านี้
“ไม่ต้องบอกก็รู้ นี่จะต้องเป็นฝีมือของเผ่าเจ้าสมุทรกับปีศาจที่อยู่ในวังอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นในทันทีที่สถานพวกเขาถูกเปิดเผยได้อย่างไร อีกอย่างทั่วทั้งพระราชวังก็ถูกพลังของค่ายกลปกป้องไว้ เห็นได้ชัดว่ากลัวพวกเราจะไปคิดบัญชีกับพวกมัน” ผู้ฝึกฝนระดับสูงของกลุ่มอิทธิพลหนึ่ง กล่าวขึ้นในงานชุมนุมด้วยความโกรธจนไม่อาจระงับไว้ได้
และคำสาปแช่งเช่นเดียวกัน ก็ออกมาจากปากของกลุ่มอิทธิพลอื่นๆ ด้วย
ดูเหมือนจะหารือกันได้ไม่เท่าไหร่ กลุ่มอิทธิพลใหญ่ต่างๆ ก็เริ่มโยกย้ายกองกำลังขึ้นมา
ผ่านไปไม่นาน ผู้ฝึกฝนแต่ละกลุ่มก็พุ่งขึ้นฟ้าจากสถานที่เร้นลับบางแห่งในเสวียนจิง
แต่ผู้ที่ปรากฏตัวในครั้งนี้ ล้วนมีระดับการฝึกฝนที่สูงกว่าก่อนหน้านั้นมาก พวกเขาพากันหาจุดที่คิดว่าเป็นจุดบอบบางของม่านแสง และเริ่มลงมือทำลายค่ายกล
แม้ว่าผู้ฝึกฝนอิสระที่กลุ่มอิทธิพลแต่ละกลุ่มส่งมา จะมีพลังแข็งแกร่งกว่ากลุ่มก่อนหน้านั้นมาก ทั้งยังมีอาวุธจิตวิญญาณที่ไม่ธรรมดา แต่มันแค่ทำให้ม่านแสงสั่นไหวไม่กี่ทีเท่านั้น ยังคงไม่สะเทือนถึงค่ายกลทั้งหลัง
ผลลัพธ์เช่นนี้ ย่อมทั้งให้กลุ่มอิทธิพลเหล่านี้ทั้งตกใจและโมโห!
ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีทางเลี่ยง พวกเขาจำต้องแยกย้ายกันกลับที่พักเพื่อหารือกันอีกรอบ หลังจากนั้นก็ส่งลูกน้องออกไปร่วมมือกัน
อาจเป็นเพราะม่านแสงที่ปกคลุมเสวียนจิงในตอนนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกถึงอันตรายของมัน ไม่คาดคิดว่าเวลาแค่ครึ่งวัน ก็รวมตัวเป็นกลุ่มพันธมิตรกันได้อย่างน่าตกใจ
จากนั้นผู้ฝึกฝนที่รวมตัวเป็นพันธมิตรเหล่านี้ส่วนหนึ่งก็ศึกษาหาดูว่าทำอย่างไรถึงจะทำลายม่านแสงสีฟ้านี้ได้ อีกส่วนหนึ่งก็ไปรวมตัวกันบริเวณพระราชวัง
ประจักษ์ชัดว่ากลุ่มอิทธิพลเหล่านี้รู้ดีว่า ในเมื่อทุกสิ่งนี้เป็นการกระทำของเผ่าเจ้าสมุทรที่อยู่ในวัง ถ้าอย่างนั้นก็แค่โจมตีพระราชวัง ม่านแสงที่อยู่ด้านนอกก็จะหายไปเอง
ในขณะเดียวกัน ชาวบ้านธรรมดาในเสวียนจิงต่างก็ตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน พอเห็นม่านแสงอยู่เหนือศีรษะ แต่ไม่พบเห็นสิ่งผิดปกติอันใด ก็พากันเดินออกมาวิพากษ์วิจารณ์อยู่บนท้องถนน
ข่าวสารที่รวดเร็ว บวกกับชาวบ้านมีความสัมพันธ์ทางด้านญาติพี่น้องกับผู้ฝึกฝน ทำให้พวกเขาพอจะเข้าใจเรื่องนี้อยู่บ้าง ภายใต้เสียงกระซิบกระซาบของกันและกัน ไม่รู้ว่าได้รับข่าวลือแปลกๆ มากี่แบบ
ท่ามกลางห้องลับของจวนอ๋องสาม เงาดำหลายเงาก็รวมตัวกันอย่างลึกลับ แต่หลังจากที่พูดคุยโต้เถียงกันไม่นาน ก็แยกย้ายกันไปอย่างน่าแปลกใจ
“ศิษย์น้องไป๋ ดูเหมือนว่าวิธีการของเจ้าจะให้ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้าม เผ่าเจ้าสมุทรเหล่านี้ถูกเจ้าบีบจนต้องลงมือเช่นนี้แล้ว”
บนยอดเขาไร้นามแห่งหนึ่งในเขาเซียนทอแสง หลิ่วหมิงกับหูชุนเหนียงยืนเคียงบ่ากัน พวกเขาแหงนหน้ามองไปยังม่านแสงสีฟ้าบนอากาศ หญิงสาวพลันกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ข้าคิดไม่ถึงว่าเผ่าเจ้าสมุทรจะวางค่ายกลขนาดใหญ่ไว้ใต้พื้นดินของเสวียนจิง ดูท่าข้าจะประเมินความบ้าคลั่งของเผ่าเจ้าสมุทรเหล่านี้ต่ำเกินไป แต่ถ้าพูดถึงผลลัพธ์ตรงกันข้ามล่ะก็ ไม่อาจกล่าวเช่นนั้นได้ แม้ว่าค่ายกลนี้จะมีพลังอันน่ากลัว แต่เห็นได้ชัดว่ามีแค่ผลในการโอบล้อมศัตรู ไม่มีความสามารถในการโจมตี มิเช่นนั้นมันคงแสดงอานุภาพจัดการผู้ฝึกฝนอิสระในเสวียนจิงทั้งหมดแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเรากลับปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม เพียงแค่รอกำลังสนับสนุนจากนิกายอย่างเงียบๆ ก็พอแล้ว” หลังจากสีหน้าตกใจเพียงเล็กน้อยของหลิ่วหมิงหายไป เขาก็ค่อยๆ กล่าวออกมา
“ศิษย์น้องกล่าวเช่นนี้ ก็ดูเหมือนจะมีเหตุผล ตอนนี้เผ่าเจ้าสมุทรเหล่านั้น ต่างก็เป็นเต่าหดหัวอยู่ในวัง แน่นอนว่าไม่สามารถมาหาเรื่องพวกเราได้ แต่ข้าได้ลองทดสอบดูแล้ว พอม่านแสงนี้ปรากฏออกมา ข้าก็ไม่อาจส่งข่าวใดๆ ให้นิกายได้อีกเลย คิดว่าวิธีการติดต่อของศิษย์น้องก็คงไม่ได้ผลเช่นกัน เฮ่อๆ! ดีที่พวกเราลงมือเร็ว ส่งข่าวกลับไปนิกายก่อน มิเช่นนั้นภายใต้สถานการณ์ที่คาดไม่ถึง พวกเราคงถูกเผ่าเจ้าสมุทรเหล่านี้ตัดขาดการติดต่อไปแล้ว และคงทำให้เสียการใหญ่ไปด้วย” หูชุนเหนียงหัวเราะเบาๆ
“เผ่าเจ้าสมุทรใช้วิธีการเช่นนี้ ถึงจะดูเหมือนหมาจนตรอกกระโดดขึ้นกำแพงไปหน่อย แต่พวกเขาคงรู้ดีว่าเสวียนจิงเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ต่อให้นิกายทั้งห้าจะไม่รู้ แต่ก็ไม่อาจปิดบังได้นาน ว่าแต่พวกเขายังคงใช้วิธีการแข็งแกร่งเช่นนี้ ช่างน่าแปลกใจยิ่งนัก” หลิ่วหมิงพยักหน้า และพูดกับตนเองด้วยความสงสัย
“ไม่ว่าเผ่าเจ้าสมุทรจะมีแผนอะไร แต่ในเมื่อข่าวถูกส่งไปยังนิกายแล้ว นี่เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าพวกเขาไม่อาจทำได้สำเร็จ เพราะว่าทั่วแคว้นต้าเสวียนเป็นของนิกายทั้งห้าเรา เรื่องที่พวกเราสามารถทำได้ก็ได้ทำไปแล้ว ที่เหลือแค่มอบให้อาจารย์จิตวิญญาณจัดการก็พอ ศิษย์น้องไป๋ใยต้องคิดมากด้วยเล่า!” หูชุนเหนียงยิ้มหวานออกมา
“อาจเป็นเพราะข้ากังวลเกินเหตุ! อย่างที่ศิษย์พี่บอก พวกเราแค่รออย่างเงียบๆ ก็พอแล้ว เอ๋! เหมือนมีคนกำลังมาที่ถ้ำของข้า……ที่แท้ก็เป็นเขา ช่างน่าแปลกเสียจริง! ศิษย์พี่ข้ากลับไปหลบที่ถ้ำก่อน ตอนนี้ท่านเปลี่ยนรูปโฉมแล้ว คิดว่าคงไม่มีคนจำท่านได้ งั้นก็ช่วยข้าทำให้เขาจากไปหน่อยเถอะ! เวลาหลังจากนี้ข้าจะเก็บตัวไม่ออกมา ไม่อยากจะเอาเรื่องอะไรเข้ามายุ่งอีก” หลิ่วหมิงรีบกล่าวออกมา จากนั้นก็เหาะไปยังถ้ำของตนเองอย่างรวดเร็ว
“ที่แท้ก็เป็นคนผู้นี้ มิน่าเจ้าถึงไม่อยากยุ่งด้วย” ตอนแรกหูชุนเหนียงรู้สึกตกตะลึง แต่หลังจากเขม้นตามองตามไปแล้ว จึงพูดกับตัวเองด้วยความแปลกใจเล็กน้อย
แต่ในใจเขากลับรู้สึกแปลกใจอย่างอดไม่ได้
เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายสมบูรณ์แบบเหมือนกัน แต่หลิ่วหมิงรู้ตัวก่อนนางว่ามีคนมา ถ้าไม่ใช่ว่าเขามีสมบัติพิเศษบางอย่าง ก็เป็นเพราะว่าพลังจิตแข็งแกร่งกว่านางมาก
สีหน้านางเปลี่ยนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงถอนหายใจเบาๆ ก่อนเดินลงยอดเขาไป
ผ่านไปไม่นานผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำ ใบหน้าใจดี ก็มาปรากฏตัวบนทางเดินเขาที่อยู่ไม่ไกล และพุ่งตรงมาที่ถ้ำหลิ่วหมิง
เขาก็คือผู้อาวุโสเหมี่ยนแห่งเรือนร้อยวิญญาณนั่นเอง!
เขามีท่าทีกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่นับว่าเดินเร็วมาก แต่ถึงกระนั้นก็มาถึงหน้าถ้ำหลิ่วหมิงในเวลาไม่นาน และเคาะประตูหินเบาๆ สองที
ผ่านไปไม่นาน ประตูหินก็เปิดออก หูชุนเหนียงปรากฏตัวตรงหน้าผู้อาวุโสด้วยรอยยิ้ม
“เอ๋! ท่านเซียนผู้นี้คือ…… สหายเฉียนพักอยู่ที่นี่หรือไม่?” ผู้อาวุโสเหมี่ยนรู้สึกอึ้งเล็กน้อย และรีบสอบถามด้วยความแปลกใจ
“ที่นี่คือที่พักของศิษย์พี่เฉียน ท่านคือ?”ใบหน้าแท้จริงของหูชุนเหนียงอ่อนเยาว์กว่าใบหน้าของหลิ่วหมิงที่ปลอมเป็นคุณชายเฉียนมากนัก ตอนนี้จึงได้แต่จำใจเรียกหลิ่วหมิงเช่นนี้
“ที่แท้ท่านเซียนผู้นี้ก็เป็นศิษย์น้องของคุณชายเฉียน ท่านเซียนช่วยแจ้งให้ข้าหน่อย คุณชายเฉียนจะรู้เองว่าข้าเป็นใคร” ผู้อาวุโสเหมี่ยนกล่าวอย่างเกรงใจ
“เกรงว่าจะไม่ได้ ศิษย์พี่ข้าเพิ่งเก็บตัวไปเมื่อหลายวันก่อน กำลังฝึกฝนเคล็ดวิชาบางอย่างอยู่ ในระหว่างนี้ไม่สามารถออกมากลางคันได้ ผู้อาวุโสเหมี่ยนรออีกซักเดือน แล้วค่อยมาหาศิษย์พี่ข้าเถอะ!” หูชุนเหนียงส่ายหน้า และกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
“อะไรนะ! เก็บตัวตอนนี้! ท่านเซียนไม่สามารถยืดหยุ่นได้เลยหรือ? ท่านเองก็คงเห็นผนึกบนท้องฟ้าแล้วใช่ไหม ครั้งนี้เถ้าแก่เฉียนได้รับคำสั่งจากอ๋องสาม ให้ผู้ฝึกฝนของเรือนร้อยวิญญาณเข้าไปพบที่จวนอ๋องสาม คุณชายเฉียนเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบ อ๋องสามระบุชื่อเขาเป็นพิเศษว่าจะต้องไปให้ได้ ดูเหมือนว่าอ๋องสามจะคิดวิธีรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ได้” ผู้อาวุโสเหมี่ยนได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกกังกลอย่างอดไม่ได้
“อ๋องสาม? ต้องขออภัยด้วย! ต่อให้รัชทายาทในตอนนี้เรียกตัวเข้าพบ ศิษย์พี่ข้าก็ไม่อาจออกจากการเก็บตัวได้” สีหน้าของหูชุนเหนียงเริ่มเปลี่ยน และกล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าคงต้องกลับไปรายงานเถ้าแก่กับอ๋องสามเช่นนี้แล้ว” ผู้อาวุโสพูดเกลี้ยกล่อมอยู่ครู่หนึ่ง แต่พอเห็นว่าหูชุนเหนียงไม่มีท่าจะยอมเลยแม้แต่น้อย เขาจึงป้องมือออกไปอย่างไม่มีทางเลี่ยง และหมุนตัวเดินจากไป
แต่พอผู้อาวุโสชุดดำเดินออกไปไม่กี่ก้าว ก็พลันมีคลื่นกระทบข้างหู และเสียงแว่วๆ ของหลิ่วหมิงก็ดังเข้ามา
“พี่เหมี่ยน ถ้าข้าเป็นท่านล่ะก็ คงไม่เสี่ยงไปจวนอ๋องสามในเวลานี้ แต่ข้าก็บอกท่านได้เพียงเท่านี้ เรื่องอื่นๆ ข้าไม่สะดวกพูด”
ถึงแม้เสียงที่ส่งมาของหลิ่วหมิงจะสั้นๆ แต่ยังคงทำให้ผู้อาวุโสเหมี่ยนรู้สึกเย็นยะเยือกในใจ หลังจากหันตัวคารวะไปยังถ้ำหลิ่วหมิงแล้ว ก็เดินลงเขาโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
ระยะเวลาหลายวันหลังจากนั้น นอกจากผู้ฝึกฝนอิสระเกือบพันคนที่ปรากฏตัวนอกพระราชวัง และวางค่ายกลขนาดต่างๆ เพื่อปิดล้อมพระราชวังไว้ กลุ่มอิทธิพลทั้งหมดย่อมไม่กล้าเสี่ยงทำการอะไร
ราวกับว่าอิทธิพลระดับสูงเหล่านี้ ก็คิดหาวิธีโจมตีพระราชวังด้วยความยากลำบาก
แม้ว่าม่านแสงที่ปกป้องพระราชวังไว้ จะไม่น่ากลัวเท่าผนึกที่ปกคลุมเสวียนจิง แต่มันก็แผ่กลิ่นไออันน่าตกใจออกมา ดูก็รู้ว่าไม่สามารถใช้วิชาทั่วไปโจมตีได้
……………………………………….