ตอนที่ 212 เริ่มลงมือ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 212 เริ่มลงมือ โดย Ink Stone_Fantasy

ในระหว่งเวลานี้ กลับเกิดเรื่องชั่วร้ายในเสวียนจิง

กลุ่มอิทธิพลบางกลุ่มที่สงสัยว่าอ๋องและองค์ชายไม่ใช่มนุษย์ ต่างก็ส่งคนบุกเข้าไปในจวนขององค์ชาย และลูกท่านหลานเธอ เพื่อจะดูว่าพวกเขาเป็นมนุษย์จริงหรือไม่

ผลลัพธ์ที่พบกลับทำให้พวกเขาตกใจเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าจวนเหล่านี้ร้างไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ว่าจะเป็นนาย หรือข้ารับใช้ แม้กระทั่งองครักษ์ก็หายไปจนหมดสิ้น

จวนอ๋องสามก็รวมอยู่ในนั้นด้วย

ผู้ฝึกฝนที่ปะปนกับกลุ่มอิทธิพลอื่นบุกเข้าจวนอ๋องสามนั้น มีผู้อาวุโสเหมี่ยนของเรือนร้อยวิญญาณด้วย

หลังจากที่เขาพาลูกน้องไปค้นจวนอ๋องสามแล้วพบกับความว่างเปล่า สีหน้าเขาก็ดูไม่ได้ขึ้นมา

สองวันก่อน ซุนอิ๋นที่เป็นผู้ฝึกปราณขั้นสมบูรณ์แบบและสนิทกับเขา รวมถึงแขกเรือนร้อยวิญญาณคนอื่นๆ ที่เข้าไปจวนอ๋องสาม ได้ส่งข่าวมาว่าจะหารือเรื่องบางอย่างในคืนนั้น

แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน ก็ไม่มีข่าวอะไรออกจากจวนอ๋องสามอีกเลย

ตอนนี้เขาอดไม่ไหวถึงได้ปะปนกับกลุ่มอิทธิพลอื่นๆ บุกเข้าจวนอ๋องสาม แต่กลับพบฉากอันน่าแปลกใจนี้ เขาย่อมรู้สึกทั้งตกใจและโมโห

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาได้ยินคำพูดของหลิ่วหมิง และหาข้ออ้างไม่ไปรวมตัวที่จวนอ๋องสามล่ะก็ ไม่เท่ากับว่าเขาต้องหายตัวไปเหมือนกับคนอื่นๆ ด้วยหรือ

แม้จะไม่รู้ว่าคนที่หายไปเหล่านี้จะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ภายใต้สถานการณ์ที่วุ่นวายเช่นนี้ คิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องดีอะไร

แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ผู้อาวุโสเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ได้แต่กลับไปหารือวิธีรับมือกับเฉียนเชา

ในขณะที่ผู้อาวุโสเหมี่ยนกลับจวนเฉียนอย่างปลอดภัยนั้น ตรงพื้นที่ระหว่างพรมแดนแคว้นต้าเสวียนกับแคว้นไห่เยวี่ย เรือเหาะยาวสิบกว่าจั้งที่ถูกแสงสีขาวปกคลุมอยู่ กำลังเหาะพุ่งมากลางอากาศ

ห้องภายในเรือที่แกะสลักอย่างสวยงาม มีหญิงสาวสวมชุดชาววังสีขาว กำลังก้มหน้าดีดพิณโบราณสีเงินจางๆ อยู่

เสียงพิณไพเราะมาก บางครั้งก็นุ่มนวลราวกับสายน้ำไหล บางครั้งก็รีบเร่งราวสายน้ำตก บางครั้งก็ชัดและไพเราะราวกับมุกหล่นบนจานหยก บางครั้งก็เบาราวกับเสียงกระซิบ ทำให้เคลิบเคลิ้มอยู่ในโลกที่เสียงดนตรีสร้างขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

ทันใดนั้น นิ้วมือทั้งสิบของหญิงสาวก็หยุดชะงักลง เสียงพิณหยุดลงไปในฉับพลัน จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าอันสวยสดงดงาม จากนั้นนางก็กล่าวออกมาอย่างราบเรียบ

“ทำไมล่ะ ยังไม่สามารถติดต่อคุณหนูสิบสามของเผ่าเกล็ดเขียวได้หรือ?”

“เรียนนายท่าน ดูเหมือนว่าอาวุธจิตวิญญาณที่ใช้ส่งข่าวของฝ่ายตรงข้ามจะถูกปิดกั้นไว้ จึงยังไม่มีการตอบรับใดๆ จากฝ่ายนั้นเลย” ได้ยินหญิงสาวถามดังนี้ ชายหนุ่มสุภาพงดงามผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาด้านในห้อง และโค้งตัวกล่าว

“คุณหนูสิบสามผู้นี้เล่นลูกไม้อะไรอีก แม้ข้าจะถูกเผ่าของพวกเขาขอร้องให้ไปช่วยที่เสวียนจิง จึงเพิ่งจะออกเดินทางในตอนนี้ แต่ถ้าตอนนี้ไม่สามารถติดต่อได้ล่ะก็ ข้าจะรู้สถานการณ์ในเสวียนจิงได้อย่างไร” หญิงสาวได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วกล่าว

“นายท่านวางใจได้! ข่าวที่พวกเราไปเสวียนจิงได้แจ้งฝ่ายตรงข้ามไปนานแล้ว แม้ว่าจะล่วงหน้ากว่าเวลาเดิมไปหน่อย แต่คงไม่มีปัญหาอะไร” ชายหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“อันนี้ก็พูดยาก แม้ว่าข้าจะเป็น ‘เทพธิดาพยากรณ์’ ในสายตาของผู้ฝึกฝนอิสระเหล่านั้น และมีร่างลิขิตฟ้าที่สามารถทำนายชะตาได้ แต่เจ้าก็รู้ดีว่าสิ่งเหล่านี้เป็นแค่การแสดงปาหี่ ที่เราซื้อมนุษย์บางคนมาแสดงหลอกเท่านั้น ในนามของเผ่าอย่างลับๆ ทำให้นิกายในแคว้นไห่เยวี่ยแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นในเรื่องนี้ พวกเขาจึงไม่กล้าทำอะไรพวกเรา แต่เผ่าเรากับผู้ฝึกฝนอิสระในแคว้นต้าเสวียนกลับติดต่อกันน้อยมาก ถ้าได้เผชิญหน้ากับอาจารย์จิตวิญญาณในนิกาย เกรงว่าชื่อเสียงเทพธิดาพยากรณ์ของข้าคงใช้ไม่ได้แล้ว” หญิงสาวกล่าวอย่างราบเรียบ

“ด้วยสถานะธิดาเทพเผ่าเกล็ดแดงของนายท่าน ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนในนิกายของแคว้นต้าเสวียน พวกเขาก็ไม่กล้าเสียมารยาทต่อท่าน เพราะตอนนี้ทั้งสามเผ่าเรายังไม่ได้เริ่มเปิดฉากแผนการ และยังไม่ได้ฉีกหน้ากับนิกายแผ่นดินใหญ่บนเกาะอวิ๋นซาน” ชายหนุ่มกล่าวอย่างมีแผนในใจ

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ทางด้านเสวียนจิงกลับขาดการติดต่อในฉับพลัน ข้ายังรู้สึกกังวลเล็กน้อย เจ้ารีบส่งข่าวกลับไปที่เผ่า ให้อาสามรีบมาเถอะ! ด้วยระดับฝีเท้าของเขา ต่อให้จะออกเดินทางช้าหน่อย แต่ก็คงถึงเสวียนจิงพอๆ กับพวกเรา” หญิงสาวลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมาอย่างเฉียบขาด

“ทราบ! ข้าน้อยจะแจ้งข่าวให้นายท่านสามเดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มโค้งตัวคำนับด้วยสีหน้าเคร่งขรึมก่อนถอยออกไป

ไม่นานก็มีเสียงพิณโบราณดังขึ้นในห้องบนเรืออีกครั้ง

เพียงแต่ครั้งนี้เสียงพิณดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ทำให้ผู้ฟังโลหิตเดือดพล่านอย่างไม่รู้ตัว!

ขณะเดียวกัน บนท้องฟ้าเหนือพื้นที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่ง เรือกระดูกสีขาวยาวสามสิบกว่าจั้ง กำลังพุ่งยิงออกไปท่ามไอดำที่หมุนวนเป็นเกลียวจำนวนมาก ราวกับมันเป็นปีศาจอันดุร้าย

ด้านหน้าของเรือกระดูก ชายฉกรรจ์สวมชุดคลุมสีเงินกำลังมองไปด้านหน้าด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

พลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นตรงด้านหลังของเขา และหญิงสาวรูปร่างอรชรสวยงามนางหนึ่งก็เดินเข้ามา แล้วถามออกไปเบาๆ

“ศิษย์พี่เหลย แม้ว่าครั้งนี้จะพบเผ่าเจ้าสมุทรในเสวียนจิง แต่ก็ไม่ถึงกับต้องใช้อาจารย์จิตวิญญาณของนิกายเราสี่คนหรอกนะ แม้กระทั่งรวมถึงหัวหน้าสาขาอย่างข้ากับเจ้าด้วย”

“ศิษย์น้องหลินไม่รู้อะไร นิกายเราได้รับข่าวจากช่องทางเร้นลับมาจำนวนหนึ่ง ดูเหมือนว่าช่วงนี้เผ่าเจ้าสมุทรจะวางแผนการใหญ่อะไรอยู่ และดูเหมือนว่ากำลังพุ่งเป้าไปยังแคว้นที่อยู่บริเวณแถบชายทะเล และแคว้นที่อยู่ใกล้ทะเลอย่างพวกเรา ครั้งนี้ศิษย์พี่ท่านประมุขหวังว่าพวกเราจะใช้พลังอัสนีกลาดล้างเผ่าเจ้าสมุทรในเสวียนจิง และสั่งสอนพวกมันอย่างโหดเหี้ยมซะก่อน อย่าให้กรงเล็บของมันอย่ายื่นยาวจนเกินไป นอกจากนี้ ทางนิกายจันทราสวรรค์ก็ดูเหมือนจะคิดเช่นนี้ และส่งอาจารย์วิญญาณมาหลายคนเหมือนกัน ต่อให้มีคนมาช่วยเผ่าเจ้าสมุทรเหล่านี้ พวกเราก็จะจับพวกมันไว้ในเสวียนจิง โดยไม่ให้หนีรอดไปได้เลยแม้แต่คนเดียว

“พวกเราทำเช่นนี้มันก็ง่าย แต่คงไม่ยั่วโทสะเผ่าเจ้าสมุทรจริงๆ หรอกนะ ด้วยพลังอันแข็งแกร่งของเผ่าเจ้าสมุทร อาจารย์จิตวิญญาณที่แข็งแกร่งก็มีมากมาย คงไม่ใช่เรื่องที่พลังของพวกเราไม่กี่แคว้นจะสามารถต้านทานได้” หญิงแซ่หลินกลับรู้สึกลังเลเล็กน้อย

“ศิษย์น้องพูดผิดแล้วล่ะ! สำหรับต่างเผ่าเหล่านี้ เผ่ามนุษย์ของพวกเราต้องไม่มีจุดอ่อนเลยแม้แต่เล็กน้อย มิเช่นนั้นจะทำให้เผ่าเจ้าสมุทรเหล่านี้เหิมเกริมได้ เจ้าดูนิกายในแคว้นไห่เยวี่ย เป็นเพราะกลัวอิทธิพลของเผ่าเจ้าสมุทร จึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นการกระทำของเผ่าเจ้าสมุทร แต่กลับแลกมาด้วยการกำเริบเสิบสานของเผ่าเจ้าสมุทร แม้กระทั่งกิจกรรมบางอย่างก็เปิดเผยเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ศิษย์พี่ท่านประมุขก็ได้ขอคำแนะนำจากอาจารย์อาเยี่ยนแล้ว ถึงได้ออกคำสั่งเช่นนี้” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยหัวเราะอย่างเยือกเย็นก่อนกล่าวออกมา”

“ที่แท้อาจารย์อาเยี่ยนก็เป็นคนตอบตกลงเอง ถ้าอย่างนั้นคงไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่ว่าระยะทางจากนี่ไปเสวียนจิง ต่อให้ใช้พลังทั้งหมดในการเดินทาง ก็ยังต้องใช้เวลาเดือนกว่าๆ ถึงจะได้ ขออย่าได้เกิดเหตุร้ายอะไรกับเสวียนจิงเลย” พอหญิงแซ่หลินได้ยินชื่อของอาจารย์อาเยี่ยน ก็มีสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย

“วางใจเถอะ! ด้วยสติปัญญาและพลังของไป๋ชงเทียน ต่อให้เกิดเหตุร้ายอะไรขึ้น ก็คงจะสามารถรับมือไว้ได้ แต่ข้าคิดไม่ถึงว่าเขามาเสวียนจิงได้ไม่ถึงเดือนกว่าๆ ก็สืบพบว่าเผ่าเจ้าสมุทรควบคุมราชสำนักทั้งหมดไว้ ถ้าเทียบกันแล้ว ศิษย์ตรวจตราหลายคนในก่อนหน้าช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี ไม่คิดว่าอยู่มานานขนาดนี้ กลับไม่รู้เรื่องเผ่าเจ้าสมุทรเลยแม้แต่น้อย” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกล่าวด้วยความโมโห

“ศิษย์หลานไป๋ผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ น่าเสียดายที่เขามีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ มิเช่นนั้นถึงแม้จะมีเพิ่มมาแค่หนึ่งชีพจิตวิญญาณ ไม่แน่อาจจะมีโอกาสเล็กๆ ในการสำเร็จเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้” หญิงแซ่หลินฟังถึงจุดนี้ ก็แสดงสีหน้าเสียดายออกมา

“อันนี้มันก็พูดยาก เพียงแค่สามชีพจรจิตวิญญาณมีโอกาสกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณน้อยเกินไปก็เท่านั้น ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสสำเร็จเลย” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวออกมา

“ทำไมล่ะ! ศิษย์พี่เหลยเชื่อมั่นในตัวเจ้าเด็กนี่หรือ?” หญิงแซ่หลินกล่าวด้วยความแปลกใจ

“ไม่อาจกล่าวได้ว่าเชื่อมั่น เพียงแต่คิดว่าศิษย์หลานไป๋ไม่น่าจะเดินมาได้ไกลแค่นี้ ใช่สิ! ได้ยินมาว่าตอนที่พวกเราออกเดินทาง เกาชงได้เตรียมทุกอย่างพร้อมสำหรับทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว!” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยตอบกลับไปด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก และถามออกไปอีกครั้ง

“อืม! ศิษย์ผู้น่าภูมิใจของศิษย์พี่ท่านประมุขผู้นี้ ได้เริ่มทะลวงด่านแล้ว แต่จะสำเร็จได้ในครั้งเดียวหรือไม่นั้น อย่างน้อยต้องใช้เวลาหนึ่งปีถึงจะทราบได้ แต่ศิษย์หลายไป๋ก็นับว่าฉลาดมาก ได้ยินมาว่าหลังจากกลับไปที่ตระกูลไป๋ ก็ยกเลิกงานแต่งกับตระกูลมู่แล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ถึงแม้เกาชงจะกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณ แต่ก็ไม่สามารถหาเรื่องศิษย์หลานไป๋ได้ชั่วเวลาหนึ่ง” หญิงแซ่หลินกล่าว

“ยกเลิกงานแต่ง! ฮึ! มันจะมีประโยชน์อะไร! ในเมื่อเกาชงเลือกทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณ ก็แสดงว่าเตาหลอมพลังของเขาคงมีเป้าหมายใหม่แล้ว ไม่ว่าศิษย์หลานไป๋จะยกเลิกงานแต่งหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ได้ล่วงเกินฝ่ายตรงข้ามไปแล้ว เรื่องยุ่งยากจะต้องเข้ามาอย่างแน่นอน อยู่ที่ว่ามันจะช้าหรือเร็วก็เท่านั้น” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยทำเสียงฮึดฮัดก่อนกล่าวออกมา

“อย่างน้อยการปะทะก็คลี่คลายลง ไม่แน่ในระหว่างเวลานี้อาจจะดีขึ้นก็ได้ แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา ผู้ที่เป็นกังวลแทนเด็กคนนี้ ควรเป็นศิษย์พี่กุยกับศิษย์น้องจงมากกว่า” หญิงแซ่หลินกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ

“ย่อมเป็นเช่นนั้น แต่หากครั้งนี้สามารถกวาดล้างเผ่าเจ้าสมุทรได้สำเร็จ ก็นับว่าศิษย์หลานไป๋ได้สร้างผลงานชิ้นใหญ่ คงได้รับการตอบแทนอย่างเลี่ยงไม่ได้ อีกอย่างนอกจากเผ่าเจ้าสมุทรที่ต้องกวาดล้างให้หมดแล้ว กลุ่มอิทธิพลยุ่งเหยิงทั้งหลายก็ต้องกวาดล้างไปด้วย มิเช่นนั้นผู้ฝึกฝนอิสระจะคิดว่าเสวียนจิงเป็นพื้นที่ของพวกเขาจริงๆ” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยพยักหน้าก่อนกล่าวออกมาด้วยสีหน้าดุร้าย

“เรื่องนี้ข้าไม่มีข้อคัดค้านใดๆ หลายปีมานี้ ผู้ฝึกฝนอิสระในเสวียนจิงทำเรื่องไม่ถูกต้อง ควรจะกวาดล้างสักหน่อย” หญิงแซ่หลินกล่าวโดยไม่คิดจะคัดค้าน

……

หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ใจกลางห้องลับ มือทั้งสองถือธงเล็กสีฟ้าไว้ และพ่นไอดำออกมา มันพวยพุ่งหมุนวนธงเล็กอยู่ไม่หยุด ดูเหมือนว่าได้ปรับแต่งจนถึงช่วงเวลาสำคัญ

ทันใดนั้นเขาได้ตะโกนเสียงต่ำออกมาในทันที หลังจากที่ธงเล็กในมือสั่นสะท้าน ค่ายกลอักขระสีฟ้าอ่อนจำนวนสามชั้นก็สว่างสดใสขึ้นมา และหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

“สำเร็จแล้ว!”

หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็เผยสีหน้าดีใจออกมา เขากำธงเล็กไว้แน่น ปากก็ร่ายคาถาพร้อมกับส่งพลังเวทย์ออกไป

……………………………………….