บทที่ 643 : โกงการสอบ!

หลิงหยุนนิ่งและหันไปมองผู้คุมสอบทันที..

“นักเรียน.. เธอไม่ใช่คนเดียวกับเจ้าของบัตรประจำตัวสอบ..”

“ผมเป็นเจ้าของบัตรประจำตัวสอบใบนี้ครับ..”

“เธอจะเป็นเจ้าของบัตรประจำตัวสอบนี่ได้ยังไง? ในเมื่อคนในรูปหน้าอ้วนขนาดนั้น แต่เธอกลับผอมขนาดนี้..”

“นั่นเป็นรูปผมตอนอ้วนครับ ผมลดน้ำหนัก..”  หลิงหยุนอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ลดน้ำหนักงั้นเหรอ? เท่าที่ฉันรู้ บัตรประจำตัวสอบเพิ่งจะจัดทำขึ้นเมื่อกลางเดือนมีนาคม เพียงแค่สองเดือนเธอสามารถลดน้ำหนักลงได้มากขนาดนี้เชียวเหรอ?” ผู้คุมสอบถามอย่างไม่ยอมเชื่อ

ความจริงหลิงหยุนเองก็พบปัญหานี้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขาได้รับบัตรประจำตัวสอบใบนี้มาแล้ว หนิงหลิงยู่ก็เคยแนะนำให้เขาไปแจ้งทางโรงเรียน แต่หลิงหยุนกลับไม่ได้คิดอะไรและใส่ใจอะไรมากในตอนนั้น และในที่สุดตอนนี้มันก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้

“ครูหวัง.. คุณช่วยดูเด็กนักเรียนคนนี้หน่อยสิว่าเป็นคนเดียวกับในรูปหรือเปล่า?”

ผู้คุมสอบคนแรกถือบัตรประจำตัวสอบของหลิงหยุนไว้ในมือ  เขาดูรูปแล้วเงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนทั้งด้านซ้ายและด้านขวาอยู่หลายรอบ แต่ก็ยังตัดสินใจไม่ได้ จึงร้องเรียกให้ผู้คุมสอบอีกคนให้มาช่วยดู

ครูหวังหยิบบัตรประจำตัวสอบของหลิงหยุนมา และตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง เขาขมวดคิ้วพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ดูจากโครงหน้ากับดวงตาก็คล้ายกับในรูปอยู่เหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างกับในรูปมากเกินไป! คนในรูปอ้วน ตัวจริงผอม ใหนจะยังสีผิวอีก ดูเหมือนในรูปจะผิวคล้ำกว่าตัวจริงมาก  นี่เธอมาเข้าสอบแทนคนอื่นหรือเปล่า?”

แต่จะตำหนิผู้คุมสอบทั้งสองคนที่รู้สึกผิดสังเกตและหวาดระแวงไม่ได้ เพราะระหว่างรูปถ่ายกับตัวจริงของหลิงหยุนนั้นช่างแตกต่างกันมากเหลือเกิน หากให้คนดูสิบคน เก้าคนครึ่งก็คงไม่เชื่อว่าเป็นคนเดียวกัน

หลิงหยุนในรูปนั้น อย่างน้อยๆก็ต้องมีน้ำหนักเกือบสองร้อยกิโลกรัม แต่หลิงหยุนคนปัจจุบันน้ำหนักยังไม่ถึงร้อยกิโลกรัมด้วยซ้ำไป อีกทั้งหลิงหยุนคนก่อนนั้นนอกจากจะอ้วนแล้ว ใบหน้าและแววตายังดูเศร้าอีกด้วย ในขณะที่หลิงหยุนคนปัจจุบันกลับมีแววตาเป็นประกายด้วยความเย่อหยิ่งถือดี และผิวพรรณก็ละเอียดผ่องใสราวกับผลึกแก้ว ที่สำคัญมีลักยิ้มข้างซ้ายที่มีเสน่ห์อย่างมาก!

แต่หากไม่ใช่เพราะยังคงมีความเหมือนกันหลงเหลืออยู่บ้างแล้วล่ะก็ หลิงหยุนคงจะต้องถูกผู้คุมสอบทั้งสองคนปักใจเชื่อว่ามาสอบแทนคนอื่นไปแล้ว

“นักเรียน.. เธอพิสูจน์ได้มั๊ยว่าเป็นคนเดียวกับคนในรูปถ่ายจริง?”

ครูผู้คุมสอบคนแรกหยิบบัตรประจำตัวสอบของหลิงหยุนขึ้นมาดูอีกครั้งพร้อมกับร้องถาม..

“หนูยืนยันได้ค่ะว่าเขาเป็นคนเดียวกับในรูปถ่ายจริง!”

 เฉิงเมี่ยนร้องตะโกนออกมาในขณะที่เดินออกมาจากห้องสอบตรงเข้าไปหาครูผู้คุมสอบทั้งสองคนพร้อมกับยืนยันเสียงแข็ง

“หนูมากับเขา หนูเป็นพยานให้ได้ค่ะ!”

“พวกเราก็เป็นพยานได้ว่าเขาคือหลิงหยุนจริงๆ!”

นักเรียนอีกราวเจ็ดแปดคนที่อยู่ในห้องสอบต่างก็ลุกขึ้นยืนตอบพร้อมกัน ทั้งหมดก็คือนักเรียนจากโรงเรียนมัธยมจิงฉูเช่นเดียวกับหลิงหยุน

ครูผู้คุมสอบถึงกลับหันไปมองหน้ากัน และได้แต่คิดอยู่ในใจว่าเป็นคนเดียวกันจริงๆงั้นหรือ? ทำไมถึงได้น้ำหนักลดเร็วแบบนี้? แต่ต่อให้ลดน้ำหนักได้เร็วจริง แต่ผิววพรรณก็ไม่ควรจะดูแตกต่างจากในรูปถึงขนาดนี้ นี่เขาทาแป้งมาทั้งตัวหรือยังไง? ทำไมถึงได้ขาวสว่างขนาดนี้ได้?

แต่ดูจากลักษณะท่าทางการพูดแล้ว เด็กคนนี้ก็ไม่ได้ดูเหมือนว่ากำลังพูดโกหก และนั่นยิ่งทำให้ผูคุมสอบทั้งสองคนถึงกับลังเล และตัดสินใจได้อย่างยากลำบาก

หากพวกเขาจะตัดสินว่าหลิงหยุนมาเข้าสอบแทนคนอื่น และหากไม่ใช่ขึ้นมา ก็จะเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน และพวกเขาก็คงจะรับผิดชอบไม่ไหว

แต่ถ้าหากเชื่อตามคำพูดของนักเรียนคนอื่นๆ และหลิงหยุนไม่ใช่คนในรูปจริงๆ พวกเขาก็ต้องรับผิดชอบอีกเช่นกัน!

“นี่.. นักเรียนหลิงหยุน เธอมีวิธีอื่นที่จะพิสูจน์ตัวตนที่ดีกว่านี้มั๊ย? เรื่องนี้สำคัญมาก พวกเราจำเป็นต้องตรวจสอบอย่างละเอียด..”

ครูหวังร้องบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง!

หลิงหยุนกับผู้คุมสอบทั้งสองคนต่างก็ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน  และหลิงหยุนเองก็ไม่ต้องการสร้างความลำบากใจให้กับพวกเขาทั้งสองคน หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเสนอว่า

“งั้นเอาแบบนี้ดีมั๊ยครับ? ผมจะเอ่ยชื่อคนมีชื่อเสียงมาสักสองสามชื่อ ลองดูว่ามีใครบ้างที่คุณรู้จักและพอจะเชื่อถือได้ ผมจะโทรเรียกเขาให้มายืนยันที่นี่ด้วยตัวเอง คุณจะได้ให้ผมเข้าสอบได้อย่างสบายใจ..”

เมื่อผู้คุมสอบทั้งสองคนได้ฟังข้อเสนอของหลิงหยุน ก็ได้แต่คิดในใจว่าหลิงหยุนดูท่าจะโอ้อวดเกินจริง!

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยชื่อออกไปสองสามชื่อ “ครูใหญ่จางแห่งโรงเรียนมัธยมจิงฉู ผู้อำนวยการสำนักงานรักษาความมั่นคงคนปัจจุบัน และเลขาธิการสำนักงานเทศบาลเมืองจิงฉู..”

หลังจากเอ่ยออกไปสามชื่อ หลิงหยุนก็ยืนยิ้มและจ้องมองครูผู้คุมสอบทั้งสองคนที่กำลังยืนตะลึง พร้อมกับถามเบาๆว่า

“ไม่ทราบว่ามีคนใหนที่จะพอจะน่าเชื่อถือในสายตาของพวกคุณทั้งสองคนบ้างมั๊ยครับ บอกผมมาได้เลย ผมจะได้โทรเรียกให้มายืนยันตัวตนของผมเดี๋ยวนี้!”

“เอ่อ..”

“คือ..”

ครูผู้คุมสอบทั้งสองคนถึงกับพูดอะไรไม่ออก หลังจากที่หายตกใจ ทั้งคู่ก็หันไปมองหน้ากัน และหันไปมองบรรดานักเรียนที่ช่วยกันยืนยันตัวตนให้กับหลิงหยุน

“เชื่อเขาเถอะครับ.. หลิงหยุนสามารถโทรเรียกคนพวกนั้นมาได้จริงๆ!”

“ใช่ครับ.. ผมโทรเรียกพวกเขาให้มาที่นี่ได้จริงๆ!”

นักเรียนจากโรงเรียนมัธยมมจิงฉูต่างพากันหัวเราะออกมาพร้อมกัน พร้อมกับคิดในใจว่า ‘หลิงหยุนช่างแน่จริงๆ!’

เฉิงเมี่ยนเหลือบมองหลิงหยุน จากนั้นจึงเดินเข้าไปสะกิดอาจารย์หวัง และพาเดินเลี่ยงไปข้างๆพร้อมกับกระซิบเบาๆว่า

“ครูคะ..  หนูเป็นลูกสาวของเฉิงเทียนซึ่งเป็นเจ้าของกลุ่มบริษัทเฉิงเมดิคัลกรุ๊บ เชื่อหนูเถอะค่ะ! หลิงหยุนสามารถโทรเรียกคนพวกนั้นมาได้จริงๆ และพวกเขาจะมาในทันทีด้วย!”

ครูหวังได้ฟังถึงกับตกใจ เขาเหลือบมองหลิงหยุนพร้อมกับกระซิบถามเฉิงเมี่ยนว่า “คนพวกนั้นจะมาเพื่อเขาจริงๆน่ะเหรอ?”

เฉิงเมี่ยนพยักหน้าพร้อมกับตอบไปว่า “จริงค่ะ! แน่นนอนร้อยเปอร์เซ็นต์! แล้วถ้าพวกเขามาถึง ก็คงต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน แล้วครูก็อาจจะถูกตำหนิว่าทำหน้าที่ผู้คุมสอบได้ไร้ประสิทธิภาพ!”

“แต่ถ้าไม่เชื่อจริงๆ! ครูก็ลองให้หลิงหยุนโทรหาพวกเขาดูสิคะ แล้วก็ลองพูดคุยกับพวกเขาทางโทรศัพท์แทนก็ได้..”

ครูหวังได้แต่ตกตะลึง และได้แต่คิดในใจว่าเด็กนักเรียนโรงเรียนนี้ดูเหมือนจะใหญ่โตกันจริงๆ เพราะแม้แต่เขาเองยังแค่เคยได้ยินแต่ชื่อคนใหญ่คนโตพวกนั้น

“เอาล่ะ.. ดูจากรูปแล้วก็เป็นคนเดียวกัน  เพียงแค่.. ผอมลงเท่านั้น!”

“ดูคิ้วสิ.. เหมือนกันเปี๊ยบเลย! เธอเข้าห้องสอบได้!”

ครูผู้คุมสอบทั้งสองคนก็ไม่กล้าเสี่ยงเหมือนกัน จึงตัดสินใจให้หลิงหยุนเข้าห้องสอบทันที

หลิงหยุนเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะของตนเอง และเห็นเฉิงเมี่ยนหันหลังมามองเขาด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าหลิงหยุนต้องขอบคุณเธอ!

หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้ม และไม่พูดอะไรอีก จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่ามีโต๊ะสอบว่างอยู่ตัวหนึ่งหนึ่ง คือโต๊ะที่อยู่ด้านหน้าของฉีเสี่ยวชิง หลี่เทียนไม่ได้มาสอบ!

“วันนี้ร้อนจริงๆเลย..”

“ห้องสอบก็ไม่มีแอร์.. ร้อนจะตายอยู่แล้ว!”

“ต่อให้มีแอร์ก็เปิดไม่ได้ เพราะเสียงมันจะดังรบกวนการสอบของนักเรียนในห้อง”

“แต่อากาศร้อนก็มีผลต่อการสอบของพวกเราเหมือนกันนะ..”

“โชคร้ายชะมัด ฟ้าครึ้มฝนตกมาตลอดครึ่งเดือน แต่พอวันสอบเอนทรานซ์กลับแดดออกจ้าซะงั้น..”

ในสภาพอากาศที่อุณหภูมิสูงถึงสามสิบแปดองศาเช่นนี้ นักเรียนที่เข้าสอบภายในห้องกว่าสี่สิบคนต่างก็พากันนั่งเหงื่อตก และบ่มกันพึมพำ

หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า ‘เป็นโชคดีของข้าสินะ’

หลิงหยุนแอบเดินพลังลับหยินหยาง ทำให้ร่างกายของเขาเย็นสบาย และอุณหภูมิภายในห้องสอบก็ค่อยๆลดลงเกือบสิบองศาเลยทีเดียว

“เอ๊ะ! ทำไมจู่ๆอากาศถึงเย็นลงได้ล่ะ? มีใครเปิดแอร์งั้นเหรอ?”

“สบายจัง.. กำลังสบายเลย อากาศแบบนี้เหมาะกับการทำข้อสอบจริงๆ”

หลายคนพากันร้องอุทานออกมาอย่างแปลกใจ หลิงหยุนได้แต่แอบยิ้ม!

และเมื่อเสียงกริ่งดังขึ้น ก็เป็นสัญญาณว่าการสอบเอนทรานซ์กำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว  และสนามสอบก็ไม่ต่างจากสนามแข่งม้า ที่เมื่อถูกปล่อยออกจากคอก ม้าทุกตัวต่างก็แข่งกันวิ่งอย่างบ้าระห่ำ

วิชาแรกที่สอบในวันนี้ก็คือภาษาจีน หลิงหยุนใช้จิตหยังรู้กวาดดูคำถามทั้งหมดในข้อสอบ เมื่อเห็นว่ามีการให้เขียนเรียงความด้วย เขาจึงได้แต่แอบหัวเราะอยู่ในใจ หลิงหยุนได้ท่องจำเรียงความดีๆมาจำนวนมากมาย ก็แค่เลือกที่เขียนไว้ดีและน่าประทับใจมาสักอัน

สำหรับข้อสอบในส่วนอื่นนั้น ก็ยิ่งไม่เป็นปัญหาสำหรับหลิงหยุน เพราะนอกจากเขาจะท่องหนังสือเรียนมาทุกเล่มแล้ว เขายังท่องดิกชันนารีภาษาจีน และสำนวนมาทั้งหมดแล้ว จึงนับว่าเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับเขาอย่างมาก

‘เด็กๆ!’ หลิงหยุนคิดอยู่ในใจ

ที่เหลือก็คือการคัดอักษรจีน  และตัวหนังสือที่หลิงหยุนคัดออกมานั้น ก็สวยงามราวกับปรมาจารย์ด้านการเขียนอักษรจีนมาเขียนด้วยตัวเอง

หลิงหยุนเป็นผู้ฝึกบ่มเพาะพลัง และฝึกตนตามหลักเต๋า เขาประยุกต์เพลงดาบของตนเองเข้ากับการคัดอักษรจีน แต่ละเส้นที่ตวัดลงไปนั้นจึงคมชัดราวกับเขียนด้วยปลายดาบ ทำให้แต่ละเส้นไม่ว่าจะเป็นเส้นตรงหรือเส้นนอน ก็ล้วนแล้วแต่นุ่มนวลงดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

หลิงหยุนไม่เพียงคัดตัวอักษรจีนได้อย่างงดงาม แต่ยังเขียนได้รวดเร็วอีกด้วย เพราะด้วยพลังของจิตหยั่งรู้ ทำให้หลิงหยุนไม่ต้องคอยมองตัวอักษรต้นแบบอยู่บ่อยๆ และเพียงแค่หนึ่งในสามของเวลาทั้งหมด เขาก็สามารถจัดการทำข้อสอบได้เสร็จหมดทุกข้อ

‘คิดว่าอย่างมากข้าก็โดนหักสองสามคะแนนในเรื่องของการเขียนเรียงความ..’ หลิงหยุนคิดในขณะที่กำลังวางปากกาในมือลง

และก็เป็นอย่างที่หลิงหยุนคิด  เพราะในวิชาภาษาจีนนี้ เขาทำได้คะแนนได้สมบูรณ์แบบยอดเยี่ยม และโดนหักคะแนนเล็กน้อยจากการเขียนเรียงความเท่านั้น

แต่ถึงแม้จะใช้เวลาในการทำข้อสอบไปเพียงแค่หนึ่งในสาม หลิงหยุนก็ไม่รีบร้อนออกจากห้องสอบ เขาใช้จิตหยั่งรู้สำรวจดูกระดาษคำตอบของเฉิงเมี่ยน จากนั้นจึงส่งกระแสจิตบอกกับเธอว่า

–น้องเมีย.. ฟังนะ! สิ่งที่ผมพูดกับคุณอยู่นี้ เราจะได้ยินกันเพียงแค่สองคนเท่านั้น–

-เอาล่ะ.. ผมจะบอกคำตอบคุณแล้วนะ เตรียมเขียนคำตอบลงไปในกระดาษได้เลย ใจเย็นๆ ทำใจให้สบาย รับรองว่าถูกหมดอย่างแน่นอน..-

เฉิงเมี่ยนถึงกับตกใจสุดขีด  แต่เธอก็ก้มหน้าก้มตาฟังคำตอบจากหลิงหยุนทีละข้อโดยไม่หันกลับไปมองเขา คำพูดของหลิงหยุนชัดราวกับมายืนพูดอยู่ข้างหูของเธอ

หลังจากบอกคำตอบในส่วนที่เป็นปรนัยไปแล้ว หลิงหยุนยังคงช่วยเฉิงเมี่ยนต่อในเรื่องของการเขียนเรียงความ เขาอ่านทีละประโยคให้เฉิงเมี่ยนเขียนตาม และเพียงไม่นานเรียงความแปดร้อยตัวอักษรก็เสร็จเรียบร้อย

หลังจากที่เฉิงเมี่ยนทำข้อสอบเสร็จทุกข้อแล้ว หลิงหยุนก็ไม่สนใจเธออีก เขาจัดการใช้จิตหยั่งรู้สำรวจดูกระดาษคำตอบของฉีเสี่ยวชิง และหลิงหยุนก็ถึงกับตกใจ!

ฉีเสี่ยวชิงเป็นนักเรียนสายศิลป์เช่นเดียวกับหลิงหยุน เขาตกใจสุดขีดเมื่อพบว่าเรียงความของเขาและเธอนั้นเหมือนกับเกือบหมด!

‘เด็กสาวคนนี้เรียนเก่งมากทีเดียว!’ หลิงหยุนได้แต่นึกชื่นชมอยุ่ในใจ

……….

การสอบเอนทรานซ์สองวันครึ่งภายใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้า และอุณหภูมที่สูงกว่าสามสิบแปดองศา นักเรียนแต่ละคนที่อยู่ในห้องสอบล้วนมีสภาพไม่ต่างจากอยู่ในห้องอบซาวน์น่า มีเพียงห้องสอบของหลิงหยุนเท่านั้นที่เย็นสดชื่นราวกับเปิดเครื่องปรับอากาศ

ไม่สนใจว่าจะเป็นวิชาใหน หลิงหยุนก็จะเป็นคนแรกที่ทำข้อเสร็จก่อนเสมอ จากนั้นจึงเริ่มช่วยเฉิงเมี่ยน ทั้งสองคนช่วยกันโกงอย่างหน้าไม่อาย ทั้งคู่เชื่อมั่นว่าคะแนนสอบเอนทรานซ์ของเฉิงเมี่ยนนั้นน่าจะสูงพอที่จะเข้ามหาวิยาลัยหวงจิงในปักกิ่งได้อย่างแน่นอน

และในเช้าของวันที่ 9 มิถุนายน.. หลังจากเสียงกริ่งสอบเสร็จวิชาสุดท้ายดังขึ้น ภารกิจในโรงรียนมัธยมของหลิงหยุนก็สิ้นสุดลงเช่นกัน!