บทที่ 642 : ความลับของหนิงหลิงยู่
การที่หลิงหยุนช่วยฉีเสี่ยวชิงในวันนี้นั้น เขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจกับมันมากนัก เพราะเป็นเรื่องที่เขาแทบไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากมายเลย
ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองมาทางหลิงหยุนอย่างตกตะลึงนั้น ตัวเขาเองกลับกำลังยืนคิดอยู่ว่าเฉิงเมี่ยนได้สอบที่ห้องใหนกันแน่?
และขณะที่กำลังจะเดินออกจากห้องสอบนั้น หลิงหยุนได้เดินผ่านหน้าฉีเสี่ยวชิง เขาจึงหันไปยิ้มให้พร้อมกับอวยพรให้เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ตามที่ตั้งใจ และบอกเธอให้ลืมเรื่องไร้สาระในวันนี้ไปเสีย!
หลังจากสิ้นสุดการมาดูสถานที่สอบ ห้องสอบ และที่นั่งสอบแล้ว ก็เป็นอันว่าสิ้นสุดภารกิจของหลิงหยุนในวันนี้ เขาจึงสั่งให้ตี้เสี่ยวอู๋ไปส่งฉีเสี่ยวชิงที่ยังคงตกใจอยู่ไม่น้อยกลับไปบ้าน ส่วนตัวเขา ถังเมิ่ง และเสี่ยวเม่ยหนิงก็เดินไปหาหนิงหลิงยู่ที่กำลังสำรวจห้องสอบของตนเองอยู่
หลังจากนั้นทั้งห้าคนก็นั่งรถกลับไปยังบ้านเลขที่-1 ของหลิงหยุน และพบว่าภายในบ้านมีคนอยู่เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นหลินเมิ่งหาน หลงหวู่ และเหยาลู่.. ทุกคนต่างก็พากันมาให้กำลังใจหลิงหยุนก่อนวันสอบเอนทรานซ์พรุ่งนี้
วันนี้หลิงหยุนจึงหยุดฝึกวิชาหนึ่งวัน และแม้แต่ไป๋เซียนเอ๋อที่หมกมุ่นอยู่กับการฝึกวิชาก็ยังหยุดตาม หลิงหยุนจึงพาทุกคนไปรับประทานอาหารเย็นกันที่โรงแรมแชงกรีล่า
วันนี้.. บรรยากาศล้วนเต็มไปด้วยความสุข และเสียงหัวเราะ
………
ในวันแรกของการสอบเทนทรานซ์.. ถังเมิ่งกับตี้เสี่ยวอู๋พากันมาถึงบ้านเลขที่-1 กันตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อรับหลิงหยุนกับหนิงหลิงยู่ไปส่งที่สนามสอบ และแม้แต่ฉินตงเฉี่วยก็ตามไปด้วย
วันนี้สภาพอากาศดูเหมือนจะร้อนระอุยิ่งกว่าเมื่อวานเสียอีก ดวงอาทิตย์ขนาดใหญ่กว่าลูกบาสเก็ตบอลกำลังส่องแสงเร่าร้อนและเจิดจ้ามายังพื้นโลก ไอร้อนที่กระจายอยู่ในชั้นบรรยากาศทำให้ทุกคนถึงกับเหงื่อตกไม่ต่างจากอยู่ในห้องอบซาวน์น่า
ถังเมิ่งขับรถมาส่งทุกคนที่หน้าประตู และทันทีที่หลิงหยุนกับหนิงหลิงยู่เดินลงจากรถ ฉินตงเฉี่วยก็รีบกำชับทั้งคู่ไม่ต่างจากผู้ปกครองคนอื่นๆ
“ตั้งใจทำข้อสอบล่ะ! อย่าทำให้พี่สาวของข้าต้องผิดหวังล่ะ เข้าใจมั๊ย?”
หลิงหยุนเห็นฉินตงเฉี่วยมีสีหน้าจริงจัง จึงตอบกลับไปยิ้มๆ “น้าหญิง.. อย่าได้กังวลใจไปเลย รับรองว่าคะแนนของข้าต้องสูงที่สุดในการสอบเอนทรานซ์ครั้งนี้อย่างแน่นอน..”
“ข้าเชื่อเจ้า! เอาล่ะ.. ทำคะแนนให้ได้สูงสุดของประเทศเลยนะ!” ฉินตงเฉี่วยที่สวมชุดขาวงดงามราวกับนางฟ้ายิ้มให้กำลังใจหลิงหยุน
“น้าหญิง.. ข้าจะตั้งใจทำให้ดีที่สุด!” หลิงหยุนรับปาก
ระหว่างที่พูดกับฉินตงเฉี่วยนั้น หลิงหยุนก็สังเกตเห็นเหล่ากุ่ยที่อยู่ห่างไกลออกไป เขารู้ว่าเหล่ากุ่ยคงจะเป็นห่วงเป็นใย จึงได้ส่งกระแสจิตบอกไปว่า ไม่ต้องเป็นห่วงเขา และให้กลับไปฝึกวิชาต่อได้เลย
ครั้งนี้.. นายน้อยแห่งตระกูลหลิงจะสอบเอนทรานซ์ทั้งที เรื่องนี้จึงนับว่าเป็นเรื่องใหญ่โต และสำคัญยิ่งกว่าการก้าวเข้าสู่ขั้นต่อไปของเหล่ากุ่ยเสียอีก!
เหล่ากุ่ยไม่ยอมกลับไป หลิงหยุนจึงไม่ต้องการพูดอะไรมาก เขาพยักหน้าให้เหล่ากุ่ย แล้วจึงเดินเข้าไปที่ห้องสอบพร้อมกับหนิงหลิงยู่
อย่าว่าแต่เหล่ากุ่ยเลย ความจริงวันนี้ก็มีคนอีกมากมายที่ต้องการตามหลิงหยุนมาที่สนามสอบ แต่หลิงหยุนไม่ต้องการให้โกลาหาลวุ่นวาย จึงปฏิเสธทุกคนไป! เพราะหลังจากสอบเสร็จเขายังมีเรื่องต้องไปจัดการอีกมากมาย
“หลิงยู่.. อากาศร้อนวันนี้มีผลอะไรกับเธอบ้างมั๊ย?” หลิงหยุนถามขึ้นระหว่างที่เดินไป
หนิงหลิงยู่ส่ายหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า “ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฝึกวิชาดาราคุ้มกายหรือเปล่า? ฉันถึงไม่รู้สึกว่าอากาศร้อนมากเท่าไหร่..”
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เธอฝึกดาราคุ้มกายจนถึงระดับที่ห้าแล้ว ดังนั้นไม่ว่าอากาศจะร้อนหรือจะเย็น ก็ไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อร่างกายของเธอ”
การฝึกฝนของหนิงหลิงยู่นั้นก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่อัศจรรย์อยู่ไม่น้อย! เพราะหลังจากฝึกวิชาดาราคุ้มกายได้เพียงแค่ครึ่งเดือน เธอก็สามารถเข้าสู่ระดับที่ห้าได้แล้ว
อีกทั้งการฝึกวิชาคลื่นคงคาของหนิงหลิงยู่ก็ไม่ได้ล่าช้าเลยเช่นกัน เพราะในเวลานี้เธอก็ใกล้จะเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-5 ได้ทุกเมื่อ!
แม้ว่าส่วนหนึ่งจะเป็นผลมาจากพลังอมตะภายในร่างกายของหนิงหลิงยู่ แต่อีกส่วนหนึ่งก็มาจากความเข้าใจของตัวเธอเองด้วย
ทั้งคู่เดินขึ้นบันไดไป และกำลังเตรียมตัวที่จะแยกไปยังห้องสอบของตนเอง..
แต่จู่ๆ หนิงหลิงยู่ก็หยุดนิ่ง และกัดริมฝีปากแน่น เธอเงยหน้ามองหลิงหยุนอายๆพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“พี่ใหญ่.. ฉันรู้ว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้มีความหมายอะไรกับพี่เลย แต่.. สำหรับแม่กับฉันมันมีความหมายมาก พี่พยายามทำคะแนนสอบออกมาให้ดีที่สุดจะได้มั๊ยคะ?”
หลิงหยุนหัวเราะเสียงดังพร้อมกับตอบไปว่า “แน่นอนอยู่แล้ว! ไม่อย่างนั้นที่พี่ทุ่มเทไปเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วก็สูญเปล่าหมดน่ะสิ! เธอสบายใจหายห่วงได้!”
หลิงหยุนครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วจึงพูดต่อว่า “ถ้างั้นเรามาแข่งกันดีกว่าว่าใครจะเป็นคนทำคะแนนสอบได้สูงสุด? ตกลงมั๊ย?”
หนิงหลิงยู่ได้ฟังก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที และร้องบอกหน้าแดง “ก็ได้.. แล้วถ้าใครเป็นฝ่ายแพ้ล่ะ?!”
หลิงหยุนถึงกับยกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมกับคิดอยู่ในใจว่า ‘เอ่อ.. ถ้าใครเป็นฝ่ายแพ้ คนนั้นก็ต้องบอกความลับของตัวเองออกมาดีมั๊ย?’
ตอนนี้หลิงหยุนได้ล่วงรู้ฐานะที่แท้จริงของตนเองแล้วว่า เขาเป็นทายาทของตระกูลหลิง และระหว่างนี้ก็เพียงแค่รอให้สอบเอนทรานซ์เสร็จ หลังจากนั้นเขาก็จะเดินทางไปปักกิ่งเพื่อพบกับท่านปู่หลิงลี่ และเมื่อถึงตอนนั้นหลิงหยุนก็ตั้งใจจะบอกเรื่องนี้ให้หนิงหลิงยู่รู้
แต่คิดไม่ถึงว่า เมื่อได้ฟังหลิงหยุนยื่นข้อเสนอเช่นนี้ หนิงหลิงยู่กลับหน้าแดง หัวใจเต้นรัว และหายใจรุนแรง
หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า ความลับสุดของหนิงหลิงยู่คือเรื่องอะไรกัน? เหตุใดเธอจึงได้มีท่าทางแปลกประหลาดเช่นนี้?
“หลิงยู่.. เธอเป็นอะไรหรือเปล่า?”
หลิงหยุนถามออกไปด้วยความไม่รู้ เพราะจู่ๆหนิงหลิงยู่ก็ดูผิดปกติ เขาจึงอดที่จะถามออกไปด้วยความห่วงใยไม่ได้!
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรนี่..! ตกลงตามที่พี่ใหญ่บอกก็แล้วกัน!” หนิงหลิงยู่ตอบกลับ และไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าหลิงหยุน
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับยื่นมือออกไปบีบจมูกเล็กๆของหนิงหลิงยู่พร้อมกับตอบไปว่า “ได้.. รับคำท้า! ดูสิว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ!”
จากนั้นทั้งคู่ก็แยกทางกัน หลิงหยุนมองตามหนิงหลิงยู่ที่กำลังเดินตรงไปยังห้องสอบของตัวเอง
“หลิงหยุน!”
เฉิงเมี่ยนเองก็ได้สอบที่นี่เช่นเดียวกัน เธอแอบมองหลิงหยุนยืนคุยกับหนิงหลิงยู่อยู่นานแล้ว..
“โอ้โห.. นี่ผมได้นั่งสอบในห้องเดียวกับน้องเมียเชียวรึ? นับว่าโชคดีจริงๆ!” หลิงหยุนยิ้มให้เฉิงเมี่ยนพร้อมกับพูดขึ้นมา
เฉิงเมี่ยนรู้สึกมีความสุขอย่างมาก เพราะอย่างน้อยหลิงหยุนก็ไม่ปฏิเสธเธอเหมือนทุกครั้ง เพราะก่อนวันเปิดคลินิกนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับหลิงหยุนมีแต่ความห่างเหินเย็นชา และเพียงแค่หลิงหยุนหยอกเย้าเธอเล็กน้อยแค่นี้ เธอก็รู้สึกมีความสุขและพึงพอใจอย่างมากแล้ว
ความจริงเฉิงเมี่ยนเองก็ประเมินจิตใจหลิงหยุนต่ำไป และประเมินสถานะของเฉิงเม่ยเฟิงในใจหลิงหยุนต่ำไปเช่นกัน
หลิงหยุนเป็นผู้ฝึกบ่มเพาะตนที่แท้จริง อีกทั้งยังเป็นผู้ชาย! เขาจึงไม่ได้สนใจเรื่องเล็กๆน้อยๆของเด็กสาวในวัยสิบเจ็ดสิบแปดปีนัก
“อีกไม่นานพี่สาวของคุณก็จะต้องแต่งงานกับผม..”
เมื่อใดที่หลิงหยุนนึกถึงเฉิงเม่ยเฟิง ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที!
เฉิงเมี่ยนทำเป็นไม่สนใจคำพูดของหลิงหยุน เธอจ้องหน้าเขาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หลิงหยุน.. นายมั่นใจแค่ใหนว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยหยางจิงได้? อย่าลืมว่านายเดิมพันกับพวกนั้นไว้ถึงร้อยล้านเชียวนะ!”
แน่นอนว่าตอนนี้เสียเจิ้นเหยินกับกู่หยุนฟะไม่อาจเทียบหลิงหยุนได้แม้แต่ปลายเล็บ มีหรือที่เฉิงเมี่ยนจะเอ่ยชื่อเสียเจิ้นเหยินออกมาให้ระคายปากต่อหน้าหลิงหยุน
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปว่า “มั่นใจเต็มร้อย! เอาเป็นว่าถ้าคุณยอมเรียกผมว่า ‘พี่เขย’ ผมจะให้คุณลอกข้อสอบวิชาภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ แล้วก็วิชาอื่นๆด้วย คุณจะว่ายังไง?”
เฉิงเมี่ยนเป็นนักเรียนสายวิทย์ ตลอดสามปีที่ผ่านมานี้ เธอแข่งเรียนกับหนิงหลิงยู่อยู่ตลอดเวลา จึงนับได้ว่าเก่งในวิชาคณิตศาสตร์กับฟิสิกส์มากพอควร และสามารถทำคะแนนในสองวิชานี้ได้ดี แต่เธอมีอ่อนวิชาภาษาจีน และวิชาภาษาอังกฤษ
แต่เมื่อได้ยินหลิงหยุนยื่นข้อเสนอให้เรียกเขาว่าพี่เขยแลกกับการให้ลอกข้อสอบ เฉิงเมี่ยนจึงไม่รียปฏิเสธในทันที เธอมองหลิงหยุนด้วยแววตาลังเลและสงสัยก่อนจะกระซิบถามเบาๆ
“หลิงหยุน.. นี่เป็นการสอบเอนทรานซ์เชียวนะ! นายจะให้ฉันลอกข้อสอบได้ยังไง?”
หลิงหยุนขยิบตาพร้อมกับพูดว่า “ผมมีวิธีก็แล้วกัน..”
เฉิงเมี่ยนตอบกลับทันควัน “ฉันไม่เชื่อ!”
หลิงหยุนจึงตอบกลับมายิ้มๆ “ก็แล้วแต่.. คุณคิดดูให้ดีก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ! เพราะคุณจะมีแต่ได้ ไม่มีเสีย!”
เฉิงเมี่ยนครุ่นคิด และนึกถึงศักยภาพที่น่าอัศจรรย์ของหลิงหยุนที่ผ่านๆมาก็ได้แต่แอบคิดอยู่ในใจว่า
‘ขนาดพี่ใหญ่ยังศรัทธาในตัวเขามาก! แล้วทำไมฉันถึงจะไม่เชื่อล่ะ?’
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ใบหน้าของเฉิงเมี่ยนก็เริ่มแดงขึ้น เธอสอดส่ายสายตาไปรอบๆ และเมื่อเห็นว่านักเรียนคนอื่นๆต่างก็วุ่นวายไม่มีใครสนใจ เธอจึงรีบร้องเรียกหลิงหยุนเสียงเบา
“พี่เขย..”
หลิงหยุนได้ยินก็ถึงกับหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ.. ถ้าคุณมีปัญหาตรงใหน ให้ส่งสัญญาณบอกผม ว่าแต่คุณนั่งตรงใหน?”
ถึงแม้ว่าเฉิงเมี่ยนจะถูกหลิงหยุนหลอกล่อให้เธอยอมรับเขาเป็นพี่เขยจนได้ แต่เธอกลับรู้สึกมีความสุขกับฐานะปัจจุบันที่หลิงหยุนเป็นฝ่ายเลือกให้ และรีบตอบหลิงหยุนทันที
“แถวที่สามจากด้านหน้า โต๊ะที่สองนับจากด้านซ้าย”
หลิงหยุนคิดในใจว่าแบบนี้ก็ยิ่งสะดวกสำหรับเขา เขาจึงตอบกลับไปยิ้มๆ “เอาล่ะ.. ไม่ต้องห่วงเรื่องสอบ ผมจะช่วยคุณเอง!”
ตอนนี้เฉิงเมี่ยนตื่นเต้นดีใจอย่างมากจนสามารถเรียกหลิงหยุนว่าพี่เขยได้อย่างไม่กระดากปาก
“พี่เขย.. แล้วจะบอกคำตอบฉันด้วยวิธีใหนล่ะ?” เฉิงเมี่ยนถามงงๆ
“ด้วยกระแสจิต!” หลิงหยุนทำเสียงลึกลับ
เฉิงเมี่ยนถึงกับตกใจ แต่แล้วประกาศเสียงเรียกนักเรียนเข้าห้องสอบก็ดังขึ้น ทั้งคู่จึงต้องหยุดคุย และเตรียมตัวเข้าห้องสอบ
นักเรียนทุกคนต่างถือบัตรเข้าสอบไว้ในมือ บางคนก็ตื่นเต้น บางคนก็ประหม่า บางคนก็ดูสงบนิ่ง
ส่วนหลิงหยุนนั้นสงบนิ่งอย่างมาก แต่เมื่อยื่นบัตรให้กับผู้คุมสอบที่หน้าประตู เขากลับถูกสั่งให้หยุด
“เดี๋ยวก่อน..!”