ภาคที่ 1 บทที่ 74 ขุดรากถอนโคน (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 74 ขุดรากถอนโคน (1)

สุดท้ายปาหลงก็ยังพาคนชุดดำเข้าไปค้นในร้านนามทองคำอีกครั้งอยู่ดี

เมื่อทุกคนกลับมาถึงรถม้า ซูเฉินและกังเหยียนก็เข้าไปนั่งด้านในครู่หนึ่งแล้ว ซูเฉินถึงขนาดใช้เวลาที่นั่งรอพวกเขาในการบ่มเพาะพลังเลยทีเดียว

เมื่อได้ยินว่าปาหลงกลับมาแล้ว เด็กหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นทั้งทั้งที่ยังหลับตาอยู่ “ไม่เจอสิ่งใดเลยหรือ?”

“ไม่เลย แต่หากผู้ว่าจ้างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ พวกข้าก็ไม่จำเป็นเช่นกันจริงหรือไม่?” ปาหลงหัวเราะขณะที่ปีนขึ้นรถม้ามา

รถม้าจึงมุ่งหน้าไปยังหุบเขาเงาในทันที

ตอนนี้ในที่สุดก็สามารถผ่อนคลายลงได้บ้าง กังเหยียนจึงถอดชุดเกราะที่สวมอยู่ตลอดออก และนำไปเก็บไว้ในหีบดังเดิม

เมื่อปาหลงเห็นดังนั้น เขาก็หัวเราะออกมา “มอบเกราะหลอมทองที่มีมูลค่าเทียบเท่าหินพลังต้นกำเนิดเจ็ดพันก้อนให้ข้ารับใช้ใส่เพื่อพังข้าวของเท่านั้นหรือ? เจ้านี่ฟุ่มเฟือยไม่น้อยเลย”

“ท่านปาหลงสายตากว้างไกลนัก” ซูเฉินหัวเราะ “ข้าเพียงใช้มันเพื่อนป้องกันเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ อย่างไรเมื่อการต่อสู้เริ่มต้นขึ้น ไม่อาจมีผู้ใดรู้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง ข้าจึงหยิบมันติดมือมาใช้พังข้าวของห้องหับ ทำให้ท่านปาหลงต้องหัวเราะแล้ว”

ปาหลงเห็นด้วย “ทว่าการนำเกราะหลอมทองระดับ 9 ให้ข้ารับใช้เผ่าหินผาใช้นั้นพอเข้าใจได้”

พลังป้องกันของเกราะหลอมทองนั้นสูงมาก สามารถเทียบได้กับชุดเกราะระดับ 8 ข้อเสียเพียงข้อเดียวคือมันเป็นชุดเกราะที่หนักมาก ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดธรรมดาอาจใช้มันไม่ไหว เผ่าหินผามีพละกำลังกล้าแข็ง ดังนั้นชุดเกราะชุดนี้จึงนับว่าเป็นสิ่งที่เหมาะกับกังเหยียนเป็นที่สุด ตอนที่กังเหยียนกำลังบุกค้นภายในตัวบ้าน ก็ยังสามารถใช้เกราะป้องกันการโจมตีจากกลไกเข็มบินได้แม้จะยังไม่ได้เปิดใช้งานชุดเกราะ หากใช้หินพลังต้นกำเนิดในการเปิดใช้งานชุดเกราะ ชายร่างยักษ์ก็จะยิ่งมีพลังป้องกันสูงขึ้นอีก กระทั่งลายสลักเลือดยังไม่อาจทำอันตรายใดได้

แน่นอนว่าสำหรับปาหลง แค่ลงดาบคราเดียวก็สามารถทำลายเกราะนี่ได้แล้ว ชุดเกราะของปาหลงเป็นเกราะหลอมทอมระดับ 6 น้ำหนักเบากว่าของกังเหยียนนัก ทว่าความสามารถในการป้องกันกลับมีมากกว่าหลายเท่า

ในตอนที่ซูเฉินกำลังจะพูดขึ้นนั้นเอง ปาหลงจู่ ๆ ก็ส่งเสียงชู่เบา ๆ ทำท่าทางไม่ให้ส่งเสียงใด

ที่ด้านนอกมีคนส่งเสียงอึกทึกครึกโครม เมื่อเห็นว่าเกิดเสียงดังเอะอะราวกับมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น กองทหารกองหนึ่งจึงพากันมุ่งหน้าเข้ามารถม้าพยับหมอก

รถม้าพยับหมอกเคลื่อนผ่านกองทหารไปได้ราวกับเคลื่อนผ่านอากาศ เหล่าทหารยังคงมุ่งหน้าต่อไปโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว ทุกคนในรถม้าต่างก็เงียบไม่ส่งเสียงใด

นิ่งเงียบราวกับคนตาย

ในตอนนั้นเอง เสียวครวญคล้ายจังหวะเพลงเสียงต่ำแปลกหูก็ลอยมาให้ได้ยินเหนือตัวรถม้าพยับหมอก เป็นเสียงราวกับหอนาฬิกาตีบอกเวลา

ใจคนทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นพลันสั่นไหว กระทั่งตัวรถม้าพยับหมอกเองยังส่งเสียงร้องดังออกมา

เสียงดังเสียงนี้ทำให้เหล่าทหารตกใจ พวกเขาเริ่มมองหาต้นเสียงไปทั่ว “เสียงอะไรน่ะ?”

ใจทุกคนในรถม้าดิ่งลงทันที ก่อนที่เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาจะดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง

ตัวนิ่มน้ำที่กำลังลากรถม้าหยุดเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงกัน ทำท่าราวกับว่าอยากจะตะโกนกู่ร้อง ค่ายกลพลังต้นกำเนิดบนตัวรถม้าพลันเปล่งแสงจ้าออกมาราวกับต้องการหลีกหนีควันหมอกที่โรยตัวอยู่รอบคันรถ

ในตอนนั้นเอง คนชุดดำผู้หนึ่งก็เปิดผ้าคลุมหัวออก เป็นคนชุดดำที่มีฝีมือการต่อสู้อ่อนด้อยผู้นั้นที่ซูเฉินสังเกตเห็นเมื่อก่อนหน้า

ใบหน้าของเขาขาวซีด นัยน์ตาสีน้ำเงินเปล่งแสงแปลกตาออกมา

เขาประกบมือสองข้างเข้าหากัน ก่อนจะร่ายคาถาออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ

ซูเฉินไม่อาจได้ยินคำที่เขาร่ายออกมาได้ชัดเจนนัก เจ้าตัวนิ่มน้ำทั้งหลายอ้าปากส่งเสียงหอนออกมา กระทั่งตัวรถม้าพยับหมอกเองก็เริ่มสั่นไหวจนใกล้จะปรากฏตัวให้เหล่าทหารด้านนอกเห็นอยู่รอมร่อ เสียงระฆังตีบอกเวลายังคงดังต่อไป

ทว่าเหล่าทหารก็ดูเหมือนยังมองไม่เห็นรถม้า ในที่สุดจึงพากันแยกย้ายจากไป

รถม้าพยับหมอกมุ่งหน้าต่อไป ในขณะที่เสียงระฆังยังคงดัง ภาพของรถม้าก็ยังคงสั่นสะเทือนจนคนนอกสามารถเห็นได้ ทว่าคนที่อยู่โดยรอบดูท่าจะไม่สามารถสัมผัสถึงการมีอยู่ของรถม้าได้ จึงลงมือค้นหาต้นตอเสียงต่อไป

เหตุการณ์เป็นไปเช่นนี้ตลอดการเดินทางออกจากเมือง

จากนั้นเสียงนาฬิกาตีบอกเวลาก็หยุดลง แล้วรถม้าพยับหมอกก็กลับมาเป็นปกติดังเดิม คนชุดดำนัยน์ตาสีน้ำเงินคลายมือออก ร่างเซเล็กน้อยราวกับใช้พละกำลังไปจนสิ้น

ปาหลงรีบเข้ามาจับตัวเขาไว้ทันทีแล้วเอ่ยขึ้น “ทำได้ดีมาก หลี”

“ดีมาก” ทุกคนเอ่ยแสดงความยินดีกับคนชื่อหลี

คนชุดดำผู้หนึ่งหัวเราะออกมาเสียงดัง “ยังดีที่หลีอยู่ด้วย ครั้งนี้พวกคนจากกรมตรวจสอบคงได้แต่ไล่ตามอากาศ ฮ่า ๆ”

เมื่อเห็นว่าซูเฉินไม่เข้าใจสถานการณ์ เยี่ยเม่ยจึงอธิบาย “หลีเป็นปรมาจารย์ภาพมายา มีฝีมือด้านการสร้างภาพมายาหลอกตาคนสูงนัก เสียงระฆังเป็นเสียงจากพวกกรมตรวจสอบ พวกมันใช้เสียงระฆังตื่นรู้เพื่อรบกวนการใช้พลังต้นกำเนิดและวิชาพรางตัวต่าง ๆ หากไม่ใช่เพราะวิชาวิญญาณมายาของหลี พวกเราคงถูกพบไปแล้ว”

ภาพมายาเป็นวิชาวิญญาณที่สามารถส่งผลกระทบโดยตรงต่อจิตวิญญาณของผู้คน ลวงให้คนผู้นั้นเห็นภาพหลอนได้ ดังนั้นจึงมีเพียงผู้ที่มีวิญญาณแข็งแกร่งจึงเหมาะสมที่จะเรียนวิชาวิญญาณมายาเช่นนี้  หลีเป็นปรมาจารย์ภาพมายาที่มีวิญญาณแข็งแกร่งโดยแท้จริง ทางองค์กรฝึกฝนเขามาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ หน้าที่หลักของเขาคือการพรางตัวให้ทุกคนและปกปิดร่องรอยต่าง ๆ

เมื่อได้รู้เช่นนี้ ซูเฉินจึงเข้าใจหลีมากขึ้น แท้ที่จริงแล้วคนผู้นี้เก็บกำลังตนไว้เพื่อรอใช้ในจังหวะนี้มาโดยตลอดนี่เอง

ในใต้หล้าแห่งนี้ แน่นอนว่าไม่มีกลยุทธ์หรือวิธีใดที่ไร้ข้อบกพร่อง

ถึงรถม้าพยับหมอกจะสามารถอำพรางตัวได้ดีมาก ทว่าก็ยังสามารถทำลายการอำพรางนั้นลงได้ วิชามายาของหลีผู้นั้นก็ทำให้ซูเฉินต้องถอนใจออกมาด้วยความชื่นชม

การต่อสู้ไร้เสียงครั้งนี้ทำให้หูตาของซูเฉินเปิดกว้างขึ้น ความเข้าใจของเขาต่อผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดเพิ่มขึ้นอีกครั้ง

ยามเมื่อเดินทางออกจากเมืองมาแล้ว พวกเขาก็มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเพื่อมุ่งหน้าไปยังหุบเขาเงา

รังของกองกำลังหุบเขาเงานั้นหลบซ่อนอยู่ในป่าใหญ่ กองโจรเหล่านี้เจ้าเล่ห์นัก พวกมันมักไม่กระตุกหนวดเสือหาเรื่องใส่ตัว บางครั้งจะมีกองทัพติดอาวุธเข้ามาในป่าอยู่บ้าง ทว่าพวกมันจะไม่ต่อสู้ กลับยอมแพ้และหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าเขาแทน รอให้กองทหารล่าถอยไปจากนั้นจึงใช้ชีวิตต่อตามปกติอย่างอิสรเสรี

เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นหลายครั้งหลายครา กระทั่งตำหนักเซียนเหินยังไม่อาจทำอะไรพวกมันได้

ทว่าเรื่องในครั้งนี้นับว่าทำให้กองกำลังหุบเขาเงาต้องล่มสลายเป็นแน่แท้

หัวหน้ากองโจรทั้งสี่ถูกสังหารจนสิ้น ทว่าจนกระทั่งตอนนี้กองกำลังหุบเขาเงายังไม่ได้ยินข่าวร้ายนี้แม้แต่นิด

ยามเมื่อรถม้าพยับหมอกเดินทางมาถึงหน้าค่ายของกองกำลังหุบเขาเงา โจรที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูค่ายยังนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว

“เป็นกองกำลังที่น่าขันนัก” ปาหลงคำรามขึ้น

สีหน้าของปาหลงนั้นเป็นสีหน้าดูถูกที่อาชญากรชั้นสูงมีต่อพวกโจรชั้นต่ำผู้ซึ่งวัน ๆ คิดแต่จะปล้นชิงทรัพย์ผู้คน

“หัวหน้า ให้ดำเนินการอย่างไรดี?” มีคนผู้หนึ่งถามปาหลง

“จัดการกับพวกขยะเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมีแผน ล้อมพวกมันไว้ก็พอ ถงลู่ เจ้าเฝ้าอยู่ที่ประตูหน้า อย่าให้ใครหนีออกมาได้ เยี่ยเม่ยเจ้าแทรกซึมเข้าไปในค่าย ค้นหาอุโมงค์ลับหรือคลังลับ ส่วนคนอื่น ๆ มากับข้า เราจะบุกฝ่าประตูหน้าเข้าไปพร้อมกัน”

“รับทราบ!” ทุกคนตะโกนรับคำสั่ง

เยี่ยเม่ยเป็นคนแรกที่ทำตามคำสั่ง หายตัวไปท่ามกลางค่ำคืนมืดมิด จากนั้นคนชุดดำนามถงลู่ก็ได้โยนเมล็ดพืชออกไป และเมื่อใช้วิชาเร่งการเจริญเติบโตแล้ว ป่าย่อม ๆ ก็พลันปรากฏล้อมรอบค่ายหุบเขาเงาแห่งนี้ไว้จนทั่ว

ในเวลาเดียวกันนั้น คนชุดดำที่เหลือก็พากันบุกเข้าค่ายพวกโจรป่า ไม่เปลืองแรงซ่อนตัวเสียด้วยซ้ำ

ในที่สุดยามเฝ้าประตูจอมขี้เกียจก็ตื่นขึ้นหลังจากได้ยินเสียงต้นไม้ใหญ่เติบโตแทรกแผ่นดินขึ้นมา เมื่อเห็นว่าที่หน้าประตูค่ายมีชิ้นส่วนกระดาษปลิวจนว่อน เขาจึงได้ตะโกนร้องขึ้นเสียงดังด้วยความตกใจ “สวรรค์!”

อย่างน้อยมันก็ยังไม่ได้ลืมหน้าที่ตนเองไปจนสิ้น เจ้าโจรผู้นั้นวิ่งไปยังระฆังขนาดใหญ่ก่อนจะออกแรงสั่นระฆังพร้อมกับตะโกนเสียงดัง “ตื่น ศัตรูบุกค่าย! พวกเราถูกศัตรูบุกค่าย!”

เสียงจากระฆังยักษ์ดังไปทั่วทั้งหุบเขา ส่งผลให้ฝูงนกตกใจบินพุ่งขึ้นฟ้า หลังจากเสียงระฆังก็มีเสียงเหล่ากองโจรตะโกนโหวกเหวก

ปาหลงและคนอื่น ๆ ไม่ได้ขัดขวางการแจ้งข่าวนี้ พวกเขาทำเพียงยืนรออย่างเงียบเชียบ

ในที่สุดพวกโจรก็รวมกลุ่มกัน เมื่อมองเห็นกลุ่มคนมากมายยืนรวมตัวกันแล้ว ใบหน้าปาหลงพลันปรากฏรอยยิ้มหนึ่ง

ริ้วความกระหายเลือดปรากฏขึ้นในดวงตาทั้งสองข้าง

จากนั้นเขาก็ตะโกนขึ้น “ได้เวลาสังหารคน!”

จากนั้นคมดาบก็เผยออกมา