ภาคที่ 1 บทที่ 75 ขุดรากถอนโคน (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 75 ขุดรากถอนโคน (2)

เป็นการต่อสู้ที่ปราศจากความลังเลใด

ถึงอีกฝ่ายจะมีกำลังมากถึงสามร้อยคน ทว่ายามเมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด คนจำนวนสามร้อยคนนั้นมีแต่จะถูกสังหารทิ้ง

คนชุดดำนั้นเหมือนเทพสงครามที่ลงมายามค่ำคืน ต่างพุ่งตัวไปด้านหน้า ใช้ทักษะพลังต้นกำเนิดแปลกตามากมายในการต่อสู้ สังหารเหล่าโจรอย่างไร้ความปรานี

ส่วนปาหลงนั้นดั่งเซียนสวมชุดเกราะทองคำ เขายืนเด่นอยู่ด้านหน้าสุด ไม่ใส่ใจการโจมตีที่เข้ามารอบด้าน กระทั่งเกราะหลอมทองก็ไม่ได้สวมไว้ ปล่อยให้ทั้งคมดาบลูกศรและหอกจากพวกโจรทิ่มแทงเข้าร่างโดยตรง เขาไม่จำเป็นต้องใช้วิชาป้องกันใด ๆ ทว่าสามารถใช้ร่างกายอันแข็งแกร่งของตนป้องกันการโจมตีทั้งหมดได้ ดาบใหญ่ในมือฟาดฟันไปในอากาศอย่างง่ายดายพร้อมกับวาดเส้นแสงดาบออกมาในทุกการโจมตี ไม่ว่าฟาดไปโดนสิ่งใดก็แยกออกเป็นสองส่วน

ส่วนสถานการณ์การต่อสู้ของหลีนั้นแตกต่างจากปาหลงอย่างสิ้นเชิง เขาเดินผ่านฝูงโจรอย่างสบายใจ ดูท่าพวกมันจะไม่สามารถมองเห็นเขาได้ ด้วยเพราะไม่มีการโจมตีใดถูกส่งมาทางเขาแม้แต่ครั้งเดียว ตอนนั้นเอง หลีก็เสือกไม้เท้าอสรพิษไม้ดำในมือทะลวงหัวใจศัตรู ตัวไม้เท้ายาวเพียงหนึ่งฉื่อ ทำจากไม้สีดำแกะสลักเป็นรูปร่างอสรพิษ ที่ปลายไม้เท้าเป็นใบมีดแหลม ศัตรูล้มลงสิ้นใจในทันที ไม่รู้แม้กระทั่งว่าตนถูกโจมตีจากทิศทางใด บางครั้งหากต้องเผชิญหน้ากับศัตรูจำนวนมาก ร่างของเขาก็จะปล่อยหมอกดำออกมา ยามเมื่อหมอกดำปกคลุมทั่วพื้นที่ ร่างของพวกโจรก็ถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ เป็นการตายที่เชื่องช้าและทรมานยิ่งนัก

การโจมตีของอาหลุนรวบรัดกว่าหลีมาก เขากระโจนเข้าใส่เหยื่อราวกับเสือดาว นัยน์ตาเป็นประกาย ในมือกวัดแกว่งดาบเนื้อบางราวกระดาษเล่มหนึ่ง ทุกคราที่แทงดาบออกไปสามารถโจมตีโดนจุดอ่อนของศัตรู เช่น หัวใจ ลำคอ หรือกระทั่งจุดพลังปราณ การโจมตีแต่ละครั้งของเขารวดเร็วนัก หลายครั้งที่ดูราวกับการโจมตีนั้นเป็นเพียงแสงเส้นหนึ่ง ทว่ายามอาหลุนเดินจากไปศัตรูก็พากันล้มลงสิ้นใจกับพื้น ถึงมีขั้นพลังเพียงด่านก่อเกิดลมปราณระดับสูง ทว่าการโจมตีของเขานั้นทั้งดุร้ายและสังหารคนได้ในเวลาอันสั้น เขาใช้เวลาสังหารคนน้อยกว่าปาหลงเสียด้วยซ้ำ

ทว่าเขายังไม่ใช่ผู้ที่สังหารศัตรูได้มากที่สุด

ผู้ที่สังหารคนมากที่สุดคือเยียนหั่ว

เยียนหั่วคือหนึ่งในผู้มีขั้นพลังด่านกลั่นโลหิตจากกลุ่มคนชุดดำเจ็ดคน เขาชอบแผดเผาสิ่งของดั่งชื่อเสียงเรียงนามของตน (1)

เขาเป็นนักฆ่าที่สว่างไสวกว่าใครในยามค่ำคืน ยามเมื่อยืนอยู่ตรงจุดใด ทิศทั้งสี่รอบตัวเขาก็จะมีเปลวไฟลุกโชนขึ้นมา กองเพลิงเหล่านี้ราวกับมีตามอง ไม่ทำอันตรายคนฝั่งเดียวกันแม้สักนิด ทว่ากลับลามไปโจมตีเหล่าโจรแทน เปลวเพลิงลุกโชนเลื้อยเข้าโจมตีศัตรูดั่งงูตัวหนึ่ง มันส่องแสงสว่างไสวไปทั่วทั้งผืนป่าในยามราตรี จัดการเหล่ากองโจรเสียหนึ่งในสาม

พวกที่เหลือต่างพากันอกสั่นขวัญหนี ตัดสินใจหนีตาย ทว่าต้นไม้ที่ถงลู่โปรยเมล็ดปลูกล้อมไว้ก็ได้กลายเป็นฝันร้ายสุดท้ายที่พวกมันต้องเผชิญ

ต้นไม้เหล่านี้คือต้นไม้ที่มีใบหน้าชั่วร้ายอยู่กลางลำต้น มันจะไม่เคลื่อนไหวก่อน ทว่าถ้าพวกโจรวิ่งเข้าไปในระยะกิ่งก้านสาขาของมันเมื่อไหร่ เหล่ากิ่งก้านต่าง ๆ ก็จะพากันพุ่งออกไปมัดพวกมันไว้ราวกับเชือก จากนั้นใบหน้าปีศาจที่อยู่กลางลำต้นของต้นไม้หน้าผีก็จะอ้าปากกว้าง ค่อย ๆ ส่งเหยื่อที่ถูกจับไว้ได้เข้าปากไป ระหว่างที่ตัวก้านกำลังลากร่างของคนพวกนั้นเข้าไปนั้น พวกมันก็พากันดิ้นอย่างบ้าคลั่ง ใบหน้าตื่นกลัวอย่างขีดสุดของคนพวกนี้เป็นดั่งเครื่องชูรสชั้นดีของต้นไม้หน้าผี ก่อนที่สุดท้ายต้นไม้หน้าผีจะกัดกินเหยื่อ เคี้ยวจนร่างแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ในระหว่างที่มันเคี้ยวยังสามารถได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนบาดแก้วหูของมนุษย์ที่ถูกมันกินเข้าไปดังมาให้ได้ยิน

ต้นไม้กินคนเหล่านี้ทำลายทางหนีของกองโจรจนสิ้น พวกมันไม่อาจหนีไปทางใดได้อีก และไม่มีใจจะต่อสู้ต่ออีกด้วย

ซูเฉินเป็นเพียงผู้เดียวที่ไม่ลงมือ

ทุกครั้งที่พวกโจรดาหน้ากันเข้ามา กังเหยียนที่สวมเกราะหลอมทองก็จะป้องกันการโจมตีทั้งหมดไว้ พยายามปกป้องเจ้านายตนอย่างถึงที่สุด ทำหน้าที่เป็นทหารผู้ซื่อสัตย์ของซูเฉิน

มีบางครั้งที่กังเหยียนไม่อาจป้องกันการโจมตีไว้ได้ ทว่าเรื่องนี้ไม่เป็นปัญหา ซูเฉินยังมีชิงไป๋อยู่ข้างกาย

ชิงไป๋คือเด็กหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลา เป็นผู้มีขั้นพลังด่านก่อเกิดลมปราณหนึ่งในสามคนที่ทางองค์กรส่งตัวมา

เขามิได้โหดร้ายทารุณดั่งอาหลุน จริง ๆ แล้วท่าทางเขานั้นเหมือนพี่ชายข้างบ้านยิ่งนัก ยามเมื่อเอ่ยปากพูดคำใด บางคราหน้าก็จะแดงน้อย ๆ ดูแล้วเป็นบุรุษอ่อนโยนผู้หนึ่ง

ทว่าการโจมตีของคนผู้นี้ไม่อ่อนโยนเลยแม้แต่น้อย

ชิงไป๋ไม่มีอาวุธ ทว่าเขาใช้หมัดตนเองเป็นอาวุธ

หมัดของเขานั้นเป็นสีขาวซีด ทว่ากลับแข็งแกร่งดั่งหินหยก

ยามเมื่อมีพลังถูกซัดเข้ามาทางเขา ชิงไป๋ก็จะใช้มือคว้าจับการโจมตีนั้นเอาไว้ราวกับมันเป็นแมลงตัวหนึ่ง จากนั้นก็จะคลายมือให้ร่างของมันร่วงลงสู่พื้น

พลันมีศรดอกหนึ่งพุ่งมา ชิงไป๋คว้ามันไว้ ทว่าอาจเพราะหมัดของเขากำหลวมเกินไป หัวลูกศรจึงเลื่อนผ่านมือเขาออกมาได้จนบาดเปลือกตาซูเฉิน

เปลือกตาของซูเฉินไม่ขยับแม้แต่นิดราวกับว่าเขามองไม่เห็นและไม่ได้รับรู้สถานการณ์อันใดด้านนอก

“ขออภัยด้วย ข้าเกือบทำให้เจ้ารับบาดเจ็บแล้ว” ชิงไป๋กล่าวคำขอโทษออกมาด้วยใบหน้าอับอาย

“ไม่เป็นไร เกือบ…… หมายความว่ายังไม่เกิดขึ้น ใช่หรือไม่?” ซูเฉินหัวเราะขึ้นเสียงเบา ราวกับไม่ได้รับรู้ว่าเมื่อครู่ชีวิตตนตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงขนาดไหน

“หากเจ้าไม่ติดใจก็ดีแล้ว” ชิงไป๋เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ากระดากอาย

เห็นดังนั้น ซูเฉินจึงมุ่งหน้าต่อไปพร้อมกับชิงไป๋ที่เดินตามหลังไปติด ๆ

ถึงซูเฉินจะไม่พบคลังสมบัติลับใดในร้านนามทองคำ หากแต่ปาหลงไม่ปล่อยให้เขาได้มีโอกาสค้นหาสมบัติเองอีก

การต่อสู้เป็นไปด้วยความรวดเร็วนัก จำนวนพวกโจรลดลงเร็วจนน่าใจหาย

เมื่อเดินทางมาถึงกระโจมหลักของค่าย ก็ไม่ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกจากภายนอกอีกต่อไป เห็นเพียงเปลวเพลิงลุกโชนส่องสว่างขึ้นไปบนท้องฟ้ายามราตรี

“มีสมบัติหรือไม่ ชิงไป๋?” ปาหลงเอ่ยถามแล้วเดินขึ้นมาด้านหน้า

“ไม่มีเลยท่านหัวหน้า ท่านสังหารพวกมันเร็วเกินไป” ชิงไป๋ตอบเสียงเบา

“พวกมันก็แค่พวกไร้ค่าอ่อนแอกลุ่มหนึ่ง สังหารพวกมันไม่สนุกแม้แต่น้อย” ปาหลงตอบ หันไปตะโกนสั่งคนข้างหลัง “อย่าเพิ่งฆ่ามันหมด ปล่อยให้รอดชีวิตบ้าง!”

คนกลุ่มหนึ่งหลังจากถูกทำให้หมดสติก็ถูกโยนกองไว้ด้านข้าง

คนที่กองอยู่ราวสิบกว่าคนคนถูกดึงมาสังหารต่อ

ควันดำกลุ่มหนึ่งพลันปรากฏขึ้น ไม่นานเงาควันก็สลายเห็นเป็นเงาร่างเยี่ยเม่ย ที่มือนางคว้างร่างสตรีในชุดงดงามคนหนึ่งไว้

“ที่หลังเขามีอุโมงค์ลับอยู่ มีพวกโจรสิบสี่คนจะใช้เส้นทางนั้นหลบหนี ข้าจัดการพวกมันเรียบร้อยแล้ว นี่คือภรรยาของลี่หมิงถัง นางน่าจะรู้ที่ซ่อนสมบัติ”

เมื่อได้ยินว่าเยี่ยเม่ยจับกุมตัวสตรีของลี่หมิงถังมาได้ ทุกคนก็ดูสนใจในทันที

“หลี หยุดมือก่อน ไปสอบปากคำสตรีนางนั้นกับเยี่ยเม่ย!” ปาหลงเอ่ยขึ้น

“รับทราบ” หลีหัวเราะชั่วร้ายจากนั้นกระโดดลอยเข้ามา

ปรมาจารย์ภาพมายาเป็นผู้สอบปากคำชั้นดี ไม่มีใครสามารถพูดปดต่อหน้าพวกเขาเหล่านี้ได้ด้วยวิชามายาวิญญาณสามารถมองทะลุคำลวงต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย

ทว่าสตรีนางนี้ดูท่าจะไม่ปกปิดเรื่องใดไว้แม้แต่น้อย นางคุกเข่าอยู่กับพื้นและก้มหัวคำนับไม่หยุด หลีถามนางเพียงหนึ่งประโยค นางกลับเอ่ยทุกอย่างที่นางรู้ออกมาเสียสิ้น

เมื่อนางบอกที่ซ่อนสมบัติออกมา ลี่ฮูหยินก็ยังคงก้มคำนับไม่หยุดจนพื้นไม้กระแทกเสียงดัง นางยังร้องขึ้นไม่หยุด “ไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าบอกทุกอย่างที่รู้ไปจนหมดแล้ว……”

“หนวกหู!” หลีกล่าวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ ซัดฝ่ามือลงบนศีรษะของนางจนกะโหลกนางแตก อาจเป็นเพราะเขาใช้พลังมากไป ใบหน้าจึงพลันซีดขาวก่อนจะเซไปเล็กน้อย

ถงลู่หัวร่อ “ใจเย็นเถิดหลี อย่าเปลืองแรงไปกับสตรีนางหนึ่งเลย”

ประโยคนี้มีสองความหมาย ทำให้คนชุดดำคนอื่น ๆ พากันหัวเราะ มีเพียงเยี่ยเม่ยที่ส่งเสียง “ฮึ่ม” ไม่พอใจออกมา

“เอาล่ะ ในเมื่อรู้ที่ซ่อนสมบัติแล้วก็ไปกันเถอะ” ปาหลงลุกขึ้น

เมื่อมุ่งหน้าตามคำบอกเล่าของลี่ฮูหยินไป ในที่สุดก็เจออุโมงค์ลับที่ซ่อนอยู่หลังกองหินปลอมด้านหลังภูเขา

อุโมงค์ลับแห่งนี้มีเส้นทางมุ่งหน้าไปยังห้องห้องหนึ่ง เมื่อเปิดประตูออกก็พบกับทองคำมากมาย เงิน และหินมีค่าต่าง ๆ

ถึงสมบัติล้ำค่าเหล่านี้จะเป็นของทางโลกมิใช่สมบัติเกี่ยวพันกับการฝึกตน ทว่าสมบัติล้ำค่าเหล่านี้ยังนำมาแลกเป็นหินพลังต้นกำเนิดได้มากพอสมควร

อาหลุนและกังเหยียนรับผิดชอบขนสมบัติทั้งหมดออกมา ไม่นานก็สามารถสรุปยอดทั้งหมดได้

มีอยู่ทั้งหมดสองหมื่นตำลึงทองคำบริสุทธิ์

เงินเหล่านี้ไม่ใช่เงินน้อย ๆ ทว่าก็ไม่อาจนับได้ว่ามากเมื่อมองว่าของเหล่านี้เป็นของที่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดขั้นพลังด่านทะลวงลมปราณหลงเหลือไว้

“บ้าเอ๊ย ยังไงก็ยังเป็นถึงกองกำลังหุบเขาเงาเชียวนะ เหตุใดจึงมีของมีค่าแค่นี้ได้” ถงลู่เอ่ยขึ้นน้ำเสียงไม่พอใจ

“พวกโจรอย่างไรก็เป็นพวกโจรอยู่วันยังค่ำ หากพวกมันสะสมเงินได้เยอะกว่านี้ก็คงเลิกเป็นโจรไปนานแล้ว” เยี่ยเม่ยกลับไม่รู้สึกว่าแปลก

“ไปเค้นคอถามพวกมันคนอื่น ๆ ว่ายังมีสมบัติซ่อนอยู่อีกหรือไม่” ปาหลงเอ่ยขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ยังไม่พอใจกับเงินเหล่านี้

ผลลัพธ์ที่ออกมาน่าผิดหวังยิ่ง ดูแล้วกองกำลังลับหุบเขาเงาคงมีเพียงเท่านี้

ปาหลงถึงกับถอนหายใจ “น้องซูเฉิน ดูท่าครั้งนี้เจ้าจะโชคไม่ดีเท่าไหร่ ที่เราตกลงกันก่อนหน้านี้คือหากของมีมูลค่ามากถึงหินพลังต้นกำเนิดสองหมื่นก้อน จะหักออกก่อนหกพัน จากนั้นที่เหลือหนึ่งหมื่นสี่พันก้อน เจ็ดพันก้อนเป็นของเจ้า ทว่าตอนนี้.. หากลบค่าเช่าเครื่องมือและค่าคนออกแล้ว เจ้ายังติดค้างเราอยู่อีกหนึ่งพันก้อน”

ซูเฉินหัวเราะ “กลับถึงเมืองหลินเป่ยแล้วข้าจะจ่ายหนึ่งพันก้อนให้พวกท่าน ส่วนการเดินทางครั้งนี้ ได้เท่านี้ข้าก็พอใจแล้ว”

“เจ้าก็รู้จักกาลเทศะเหมือนกันนี่” อาหลุนส่งเสียงฮึ่มฮั่มขึ้น

“หือ?” ปาหลงเหลือบตามองอาหลุน อาหลุนจึงไม่กล้าพูดอะไรต่อ

ถึงตอนค้นสมบัติจะต่างคนต่างไม่ไว้ใจกัน ปาหลงก็ยังไม่อยากเป็นศัตรูกับซูเฉินอยู่ดี

เพราะอย่างไรเรื่องเงินเรื่องเล็ก แผนขององค์กรสำคัญกว่าเรื่องเงินมากนัก

หากแผนการต้องล่มเพราะเงินเพียงเล็กน้อยแล้ว เช่นนั้นคงเป็นปัญหาใหญ่แน่นอน

ดังนั้นเขาจึงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนเอ่ยขึ้น “ถึงน้องชายจะไม่ใส่ใจ ทว่าข้ายังรู้สึกผิด ในเมื่อข้าเป็นผู้สังหารลี่หมิงถังและได้รับกงล้อจันทร์เคลื่อนของมันมาแล้ว ถือว่าข้าได้รับส่วนแบ่งมาเกินพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้หินพลังต้นกำเนิดสี่พันก้อนในส่วนของข้าอีก คิดเสียเวลาเป็นของขวัญส่วนตัวให้คุณชายซู……”

ซูเฉินรีบกล่าว “ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เราตัดสินใจเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นแล้ว อย่างไรกฎก็ต้องเป็นกฎ และเราไม่ควรทำผิดกฎหากไม่จำเป็น ไม่ว่าข้าจะได้รับกำไรเท่าไหร่ขอให้ท่านมั่นใจว่าเรื่องนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายอย่างแน่นอน”

เด็กหนุ่มปฏิเสธตามตรง

ได้ยินดังนั้นปาหลงก็ถอนหายใจก่อนหัวเราะออกมา “คุณชายซูกล่าวเช่นนี้ ข้าจึงโล่งใจได้เสียที”

เดิมทีเขาอยากจะพูดอะไรอีกสักสองสามประโยค ทว่าในตอนนั้นเอง เสียงร้องแหลมบาดหูก็ดังขึ้นมาเสียก่อน “นายน้อยซู…… นายน้อยซู ช่วยข้าด้วย……”

เชิงอรรถ

(1) เยียนหั่ว แปลว่า ควันไฟ