“ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ” เธอเอ่ยขอบคุณคุณหมออย่างสุภาพ 

 

 

คุณหมอมองเธอด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เขาผงกศีรษะให้เธอเล็กน้อยพลางเอ่ย “ไม่ต้องเกรงใจครับ เป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้ว” เอ่ยจบแล้วหมุนตัวเดินจากไปทันที 

 

 

เฉียวซือมู่หน้านิ่วคิ้วขมวดพลางหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องคนไข้ด้วยความกลุ้มใจ ในใจกำลังคิดหาคำพูดว่าควรจะบอกคุณแม่อย่างไรดี เพราะเมื่อวานเธอยังได้ยินคุณแม่บ่นอยู่เลยว่าไม่อยากอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว อยากจะกลับบ้านเต็มทน 

 

 

เธอเดาว่าอีกเดี๋ยวถ้าได้ฟังคำตอบของเธอแล้วคุณแม่ต้องไม่พอใจเป็นแน่ 

 

 

และเป็นอย่างที่เธอคาดเดาไม่มีผิด คุณนายเฉียวที่กำลังนอนพักผ่อนอยู่บนเตียงคนไข้ได้ยินคำตอบของเธอแล้วถอนหายใจเฮือกจนทำให้เธอรู้สึกแย่มาก ตอนนี้เธอเหลือคุณแม่เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ส่วนคุณพ่อที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนั้นเธอถือว่าเขาตายจากเธอไปนานแล้ว เพราะฉะนั้น เวลาที่เธอเห็นคุณแม่อารมณ์ไม่ดีแล้วมันทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ตามไปด้วย 

 

 

เธอใช้ความคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยปลอบคุณแม่เสียงเบา “อย่าใจร้อนสิคะ คุณหมอบอกแล้วว่าอาการของคุณแม่กำลังค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ อีกไม่นานก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วค่ะ” 

 

 

คุณนายเฉียวไม่ได้ถอนหายใจเพราะเรื่องนี้ เธอฟังคำพูดของเฉียวซือมู่แล้วจับมือลูกสาวเอาไว้แน่น “ไหนเล่าให้แม่ฟังซิว่าหลังจากแม่สลบไปแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง” 

 

 

คุณนายเฉียวพอจะเดาได้บ้างแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง เธอจึงรู้สึกสงสารลูกสาวเป็นเท่าทวี เอ่ยจบแล้วลูบศีรษะลูกสาวเบาๆ เธอถอนหายใจพลางเอ่ยขึ้นใหม่ “เป็นเพราะพ่อแม่ไม่ได้เรื่องแท้ๆ ถึงทำให้ลูกต้องลำบากแบบนี้” 

 

 

 แม้เธอจะไม่รู้อะไรเลยแต่ก็พอเดาออกว่าลูกสาวของตัวเองต้องตกทุกข์ได้ยากและทนทุกข์ทรมานมากขนาดไหน ทรัพย์สินถูกอายัด บ้านถูกยึด แล้วยังจะค่ารักษาของตัวเองอีก ปัญหาทุกอย่างทับถมอยู่ที่ลูกสาวเพียงคนเดียว แค่คิดเธอก็รู้สึกสงสารลูกสาวจับใจ 

 

 

เฉียวซือมู่ยิ้มให้คุณแม่ “ไม่ลำบากเลยค่ะ ขอแค่คุณแม่หายดี ต่อให้ลำบากแค่ไหนหนูก็ไม่กลัว” 

 

 

คุณนายเฉียวสะเทือนใจจนน้ำตาไหลพราก “เด็กโง่” 

 

 

เฉียวซือมู่ค่อยๆ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากคุณนายเฉียวนอนสลบไม่ได้สติ คุณนายเฉียวฟังแต่ละเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง สุดท้ายพอได้รู้ว่าจิ้นหยวนเป็นคนยื่นมือเข้าช่วยเหลือจึงทำให้เธอรู้สึกขอบคุณเขาเป็นอย่างมาก “โชคดีที่ได้เขาช่วยเอาไว้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็…” เธอจิตนาการถึงผลลัพท์แล้วรู้สึกเสียวสันหลังวาบขนลุกขึ้นฉับพลัน นึกๆ แล้วก็รู้สึกโมโหมาก เธอเคยเจอหยางฉี่หลายครั้ง ทั้งๆ ที่เธอรู้สึกดีกับเขามากแท้ๆ แต่ไม่นึกเลยว่าเขาจะเปลี่ยนใจเป็นอื่นรวดเร็วปานนั้น 

 

 

“ช่างเถอะ ไหนๆ เขาก็ได้รับบทเรียนที่สาสมแล้ว พวกเราก็อย่าไปยุ่งกับเขาอีกเลย ต่อไปก็หาที่มันดีกว่านี้” เธอกลัวเหลือเกินว่าลูกสาวจะเสียใจจึงรีบเอ่ยปลอบใจ 

 

 

เฉียวซือมู่พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เธอทำตัวเป็นเด็กน้อยว่านอนสอนง่ายต่อหน้าคุณแม่คนเดียวเท่านั้น ถ้าเกิดจิ้นหยวนมาเห็นเข้าเขาต้องตกใจยกใหญ่เป็นแน่ 

 

 

“จริงสิ ดูเหมือนคนที่ชื่อจิ้นหยวนคนนั้นจะไม่ใช่คนธรรมดา แล้วลูกไปรู้จักเขาได้ยังไง” จู่ๆ คุณนายเฉียวก็เอ่ยถามขึ้น 

 

 

เมื่อก่อนคุณนายเฉียวอยู่แต่ในบ้านและไม่เคยสนใจข่าวเศรษฐกิจเลยจึงทำให้เธอไม่รู้จักแม้กระทั่งจิ้นหยวนผู้มีชื่อเสียงระบือไกล 

 

 

หัวใจเธอกระตุกวูบ เธอเงยหน้าขึ้นมองคุณแม่ด้วยสีหน้าลังเล สมองประมวลทันทีว่าควรจะอธิบายเรื่องระหว่างเธอและเขากับคุณแม่อย่างไรดี 

 

 

คุณนายเฉียวเห็นสีหน้าของลูกสาวแล้วนิ่งเงียบไปเล็กน้อย เธอเข้าใจลูกสาวของตัวเองที่สุด ทุกครั้งที่ลูกสาวทำสีหน้าเช่นนี้ นั่นหมายความจะต้องเกิดเรื่องอะไรสักอย่างที่เธอไม่อยากบอกให้เธอรู้ 

 

 

ขณะที่เธอกำลังจะซักไซ้พลันสายตาเหลือบไปเห็นรอยแดงบนต้นคอของเฉียวซือมู่พอดี ในฐานะที่เธออาบน้ำร้อนมาก่อน ทำไมเธอจะไม่รู้ว่ารอยแดงนั่นเป็นรอยอะไร สีหน้าของเธอเข้มขึ้น “มู่มู่ บนคอลูกมันคืออะไร?” 

 

 

“คอ? ไม่มีอะไรนี่คะ” ตอนแรกเธอยังไม่เข้าใจว่าคุณแม่หมายความว่าอย่างไร แต่เมื่อนึกขึ้นได้เธอถึงกับหน้าซีดเผือดทันที เธออ้ำอึ้งอยู่นานสองนานกว่าจะเอ่ยตอบกลับไป 

 

 

“ลูกกับเขาเป็นแฟนกันเหรอ” เธอครุ่นคิดชั่วครู่ เมื่อเห็นว่าลูกสาวไม่ยอมตอบเสียทีจึงเอ่ยถามอย่างอดรนทนไม่ไหว  

 

 

เฉียวซือมู่กัดฟันพยักหน้ายอมรับแล้วไม่ปริปากเอ่ยอะไรอีก 

 

 

“เด็กโง่ ทำไมถึงไม่กล้าบอกแม่ล่ะ” เธอรู้สึกดีอย่างคาดไม่ถึง ในสายตาเธอ จิ้นหยวนมีครบทุกอย่างทั้งรูปร่างหน้าตาและความสามารถ นับว่าเป็นว่าที่ลูกเขยที่เหมาะสมมาก สายตาในการดูคนของเธอแม่นมาก เธอมั่นใจว่าตัวเองดูคนไม่ผิดอย่างแน่นอน 

 

 

แต่พอสังเกตสีหน้าของลูกสาวแล้วกลับรู้สึกผิดปกติราวกับว่าเธอยังมีความลับที่บอกไม่ได้ เธอจึงนึกถึงความเป็นไปได้อีกข้อขึ้นมาในฉับพลัน เธอเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยถามออกไปอย่างยากเย็นแสนเข็ญ “อย่าบอกนะว่าเขาแต่งงานแล้ว? รีบพูดมาเดี๋ยวนี้นะ นี่ลูกอยากให้แม่ตายนักใช่ไหมถึงไปเป็นเมียน้อยเขา นี่ลูก…” 

 

 

เฉียวซือมู่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับจินตนาการอันล้ำเลิศของคุณแม่ เธอรีบเอ่ยขัดก่อนที่จะเลยเถิดไปกว่านี้ “ไม่ใช่นะคะ เขายังไม่ได้แต่งงาน คุณแม่อย่าคิดว่าหนูเป็นผู้หญิงแบบนั้นได้ไหมคะ” 

 

 

คุณนายเฉียวได้ยินแล้วเงียบทันที แต่เธอยังคงคลางแคลงใจไม่หาย “นี่ลูกพูดจริงใช่ไหม ลูกไม่ได้โกหกแม่ใช่ไหม”  

 

 

เธออธิบายอย่างจนปัญญา “จริงค่ะ หนูไม่ได้โกหกจริงๆ เขายังไม่ได้แต่งงานและเขามีแต่หนูคนเดียวเท่านั้น เราสองคนเข้ากันได้ดีมากเลยนะคะ” 

 

 

คุณนายเฉียวค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง “แล้วเมื่อกี้ทำไมถึงอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ยอมพูดล่ะ แม่ก็นึกว่า…” 

 

 

“ก็เพราะหนูกลัวคุณแม่เป็นห่วงนะสิคะ ตอนนี้เราสองคนยังไม่ได้เปิดเผยว่าคบกัน ถ้าพูดออกไปเดี๋ยวคุณแม่จะเป็นกังวลเสียเปล่าๆ“ เฉียวซือมู่รีบปั้นแต่งเหตุผลที่ฟังดูสมบูรณ์แบบออกมาได้อย่างทันท่วงทีจนสามารถโกหกคุณนายเฉียวได้อย่างแนบเนียน เธอจะให้คุณแม่รู้เรื่องที่เธอทำสัญญากับจิ้นหยวนไม่ได้เด็ดขาด ถ้าท่านรู้เข้าจะต้องโกรธมากแน่ๆ 

 

 

หลังจากคุณนายเฉียวหมดห่วงแล้วก็คอยย้ำกับเธอว่าก่อนจิ้นหยวนจะมาถึงให้เตือนเธอด้วย เธอจะได้จัดการตัวเองให้ดูดีเพื่อต้อนรับว่าที่ลูกเขยในอนาคตด้วยภาพลักษณ์ที่ดูดีที่สุด 

 

 

เฉียวซือมู่รู้สึกขำที่เห็นคุณนายเฉียวกระตือรือร้นมากขนาดนี้ คุณหมอพูดมีเหตุผล เธอมองดูสีหน้าแจ่มใสของคุณแม่ในตอนนี้แล้วแทบไม่เหลือเค้าความเหนื่อยอ่อนเหมือนสภาพที่เธอเข้ามาเห็นในตอนแรก ตอนนี้คุณแม่กำลังยิ้มเบิกบานจากใจจริงจนทำให้คนที่มีความกังวลในใจอย่างเธอพลอยยิ้มตามไปด้วย 

 

 

ตอนที่จิ้นหยวนมาถึงเขาจึงได้รับการต้อนรับอย่างกระตือรือร้นและมิตรจากคุณนายเฉียว แต่สายตากระตือรือร้นและเป็นมิตรนั้นทำให้เขารู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก เพราะมันไม่ได้มีเพียงความดีใจหากแต่ยังแอบซ่อนการจับผิดและแฝงรอยเศร้าอยู่ในนั้นด้วย ความรู้สึกนี้ทำให้จิ้นหยวนจับต้นชนปลายไม่ถูกจนต้องแอบส่งสายตาเป็นเชิงถามให้มู่มู่อันเป็นที่รักของเขาแทน 

 

 

 แต่เธอกลับแกล้งเขาโดยการปิดปากเงียบและยิ้มกรุ้มกริ่มให้เขาแทน เห็นท่าทางทั้งน่ารักทั้งซุกซนของเธอแล้วมันทำให้ใจเขาร้อนเป็นไฟจนอยากจะจับเธอนอนใต้ร่างเขาแล้วปราบพยศเธอเสียให้หนำใจเดี๋ยวนั้นเสียให้รู้แล้วรู้รอด 

 

 

สายตาร้อนเป็นไฟของเขาทำให้เฉียวซือมู่รู้สึกกระสับการะส่าย เขาถูกเธอตวัดสายตามองตาเขียวปั๊ดถึงยอมเก็บอาการให้สงบเสงี่ยม 

 

 

ทุกการกระทำของทั้งสองไม่มีทางรอดพ้นสายตาของคุณนายเฉียว เธอรู้สึกพึงพอใจในตัวจิ้นหยวนเป็นอย่างมาก ดูชายหนุ่มคนนี้สิ กิริยามารยาทงดงาม แถมยังดีกับลูกสาวของเธอมากอีกต่างหาก เมื่อก่อนเธอคิดว่าหยางฉี่เป็นคนที่ไม่เลวเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับชายหนุ่มตรงหน้าแล้วกลับเทียบกันไม่ติด 

 

 

แต่คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ รูปลักษณ์ภายนอกอาจจะดูดี แต่ใครจะไปรู้ใจของเขาได้ล่ะ เธอต้องหาโอกาสลองใจเขาเสียหน่อยแล้ว