หากไม่ใช่เห็นคนตรงหน้าชัดเจนแจ่มแจ้ง ฟางจิ่นซิ่วยังคิดว่าเป็นหนิงอวิ๋นเจามาอีกหน
เอาเถอะ ไม่ว่าหนิงอวิ๋นเจาหรือลู่อวิ๋นฉี ขอเพียงปรากฏตัวล้วนเป็นเพื่อสตรีคนนั้น
ฟางจิ่นซิ่วยื่นมือคว้ากรอบประตูอีกด้านหนึ่ง ขวางหน้าประตู เหมือนคืนนั้นในหยางเฉิง เผชิญหน้าแขกไม่ได้รับเชิญที่มาเยือนกะทันหัน ไม่หลบไม่หลีก
“ท่านอยากพูดสิ่งใดก็พูดตรงนี้เถอะ” นางเอ่ย
สายตาของลู่อวิ๋นฉีจนกระทั่งถึงเวลานี้ก็ยังไม่จับบนร่างนาง เพียงมองด้านใน
“อย่าขวางทาง” เขาเอ่ยขึ้น
ดวงหน้าดั่งรูปสลักหิน แววตาเลื่อนลอย รวมถึงคำสามคำที่ฟังแล้วเรียบง่ายยิ่งนักนี่ผสมรวมด้วยกันกลับทำให้คนหนาวเหน็บจากก้นบึ้งหัวใจ
ฟางจิ่นซิ่วจับกรอบประตูไว้แน่นไม่ขยับสักนิด
เฉินชีพุ่งเข้ามาจากด้านหลัง ดึงนางไปอยู่หลังร่าง
“ใต้เท้าลู่ ไม่ได้เชิญอย่าบุกรุก” เขาเอ่ย
สายตาของลู่อวิ๋นฉีหมุนมาจับบนร่างเขาเล็กน้อย คล้ายรู้สึกว่าคำพูดของเขาน่าขันอยู่บ้าง
“แต่ไหนแต่ไรข้าล้วนเข้าไปอย่างไม่ได้รับคำเชิญ” เขาเอ่ย
ใช่แล้ว สิ่งที่เขาทำล้วนเป็นเรื่องจำพวกริบทรัพย์ล่มตระกูล เรื่องเช่นนี้ไม่มีใครจะเชิญเขาเข้าประตู เขาล้วนทุบประตูทุบหน้าต่างใช้ดาบฟันไม่เชิญก็เข้ามา
“ใต้เท้าลู่ ที่นี่ของพวกเราตอนนี้ไม่ใช่เพียงร้านยา บุตรชายเฉิงกั๋วกงกับภรรยาท่านชายล้วนอยู่ที่นี่ พวกเราที่นี่ก็คือจวนเฉิงกั๋วกง ไม่มีใครให้ท่านเข้าจวนเฉิงกั๋วกงโดยไม่ได้รับเชิญหรอก” เฉินชีเอ่ยขึ้น
ขณะที่เอ่ยประโยคนี้ออกมาพลางมองบุรุษตรงหน้า นอกจากความเคร่งเครียด เฉินชียังมีความภาคภูมิใจอันไร้สาเหตุจางๆ ด้วย
คิดถึงว่าเขาเฉินชีคนกระจอกงอกง่อยเยี่ยงขอทานคนหนึ่งของหยางเฉิง กระทั่งพนักงานร้านสุราคนหนึ่งก็ขับไสไล่ส่งตามใจได้ วันนี้ถึงกับด่าทอขุนนางยศสูงมากอำนาจที่ใครๆ ล้วนหวาดกลัวคนหนึ่ง
ลู่อวิ๋นฉีไม่อับอายโกรธเกรี้ยว สีหน้านิ่งสนิทมองเขา
“ที่จริงก่อนหน้านี้ข้าก็เคยคิดเช่นนี้” เขาพลันเอ่ยขึ้น คล้ายมองทะลุความคิดน้อยๆ ของเฉินชี
เขาก่อนหน้านี้?
เฉินชีอึ้งนิดหนึ่ง
ถูกต้องแล้ว ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ลู่อวิ๋นฉีก็เป็นแค่คนกระจอกงอกง่อยเยี่ยงขอทานคนหนึ่งเหมือนกัน อยู่ในกรมองครักษ์เสื้อแพรถูกคนข่มเหง อยู่บนท้องถนนถูกพ่อค้าพนักงานกลั่นแกล้ง
ต่อมาคนเช่นนี้อย่างเขากลับบุกประตูจวนของขุนนางยศสูงคนสูงศักดิ์เท่าไร แล้วมองดูขุนนางยศสูงผู้มีอำนาจเท่าไรวิงวอนร้องไห้ตะโกนอเนจอนาถต่อหน้าเขา
ความรู้สึกเช่นนี้….
“ไม่มีสิ่งใดน่าภูมิใจ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย “ล้วนเหมือนกัน”
อะไรล้วนเหมือนกัน? เขากำลังจะบอกว่าตนเหมือนกับเขาหรือ? ไม่เหมือนกันสักหน่อย! เฉินชียังไม่ทันเอ่ยวาจา หัวไหล่ก็ถูกคนผลักทีหนึ่งล้มไปด้านหลังแล้ว
“ท่านทำอะไร?” เสียงกรีดร้องของฟางจิ่นซิ่วดังขึ้นข้างหู
ลู่อวิ๋นฉีก้าวข้ามเฉินชีเดินเข้ามาในห้องโถง
ฟางจิ่นซิ่วเหวี่ยงมือเข้าใส่เขา เฉินชีกลัวจนทั้งร่างเหงื่อกาฬแตกพลั่ก รีบยื่นมือจะคว้าไว้
มีคนชิงก่อนก้าวหนึ่งแซงเขา หิ้วฟางจิ่นซิ่วโยนไปด้านข้าง ประจันหน้ากับลู่อวิ๋นฉี
“ออกไป!”
ควบคู่กับเสียงตวาดนี้ เสียงร่างกายกระทบกันก็ดังขึ้นต่อเนื่อง เฉินชีรู้สึกเพียงตาลายสับสน มองอีกทีก็เห็นลู่อวิ๋นฉีถอยมาถึงนอกประตูแล้ว ส่วนจูจั้นยืนอยู่ข้างประตู
“ไสหัวไป” เขายื่นมือชี้พลางเอ่ยขึ้น
“ท่านชาย ท่านอยากพนันสักครั้งไหม?” ลู่อวิ๋นฉีมองเขาแล้วเอ่ยขึ้นมา
พนันอะไร?
“พนันว่าข้าสังหารท่านได้หรือไม่” เขาเอ่ยต่อ
จูจั้นสบถทีหนึ่ง ยกเท้ากำลังจะก้าว
คุณหนูจวินตามมาคว้าเขาไว้
“ท่านทำอะไร?” นางมองไปหาลู่อวิ๋นฉีแล้วเอ่ยถาม
ลู่อวิ๋นฉีมองนาง
“เจ้ามากับข้า” เขาเอ่ย
“เจ้าเห็นนางโง่รึ? จูจั้นเอ่ย
หลังคุณหนูจวินปรากฎตัว สายตาของลู่อวิ๋นฉีก็ไม่มองผู้อื่นอีก แล้วไม่สนใจจูจั้นด้วย
“ไหวอ๋องประชวรแล้ว” เขาเอ่ยบอก
สีหน้าจูจั้นพลันเปลี่ยน รีบยื่นมือแต่ยังคงช้าไปก้าวหนึ่ง คุณหนูจวินพุ่งมาถึงหน้าร่างลู่อวิ๋นฉีแล้ว
นางไม่เอ่ยวาจา ไม่ลงมือ เพียงมองลู่อวิ๋นฉี แววตาโกรธแค้น จ้องเขาเขม็ง
ลู่อวิ๋นฉีก็มองนาง
ดวงหน้านี้ยังคงไม่มีตรงไหนคล้ายคลึงสักนิด แววตาโกรธแค้นเช่นนี้เขาก็ไม่เคยเห็นจากตัวจิ่วหลิง
แต่เพราะเหตุใด เขาจึงรู้สึกว่านางคือนางกันนะ?
“บางทีเขาอาจหลอกลวง” เฉินชีที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น
เขาไม่มีทางใช้เรื่องเช่นนี้หลอกคน คุณหนูจวินไม่สงสัย ลู่อวิ๋นฉีคนเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เรื่องเช่นนี้มาหลอก ทำให้คนผู้หนึ่งป่วยสำหรับเขาแล้วง่ายดายเหลือเกิน เรื่องที่กำเริบเสิบสานทำได้ง่ายดั่งยกฝ่ามือ ไยต้องเปลืองความคิดหลอกลวงเล่า?
“เสียใจจนเป็นบ้า” คุณหนูจวินมองเขาแล้วเอ่ยขึ้นมา “ในสายตาท่าน ผู้ใดล้วนไม่ใช่คน ล้วนถูกท่านเอามาเป็นเครื่องมือบีบผู้อื่นได้รึ?”
นั่นคือจิ่วหรงนะ
นั่นคือจิ่วหรงที่เขาดูแลอย่างจริงใจอ่อนโยนเมื่อตอนนั้นนะ
เวลานั้นนางรู้ว่าเป็นสิ่งต้องห้าม น้อยนักจะเป็นฝ่ายเอ่ยถึงจิ่วหรง ทุกครั้งล้วนเป็นเขาเล่าให้นางฟังว่าจิ่วหรงวันนี้ทำอะไร เล่นอะไร อ่านหนังสืออะไร แล้วยังเคยพานางไปพบจิ่วหรงหลายครั้งนักด้วย
แรกสุดที่แต่งงานจิ่วหรงกัดเขาคำหนึ่ง ตอนหลังจิ่วหรงเห็นเขาเข้าจะหัวเราะร้องเรียกพี่เขย เด็กน้อยไม่หลอกลวงคน เพราะสัมผัสได้ถึงความดีของเขาอย่างชัดเจนถึงเป็นเช่นนี้
ตอนนี้ไม่ต้องเสแสร้งก็เผยสันดานออกมาแล้ว
ลู่อวิ๋นฉีมองนาง
“ทำไมมั่นใจปานนี้ว่าหากข้าใช้ไหวอ๋องมาบีบเจ้า เจ้าก็จะถูกบีบ?” เขาเอ่ยขึ้น
คำนี้ฟังดูแล้วพิกลอยู่บ้าง แต่คุณหนูจวินฟังเข้าใจทันที สีหน้าแข็งทื่อไปนิดหนึ่ง
ใช่แล้ว ไหวอ๋องกับนางไม่ใช่ญาติไม่ใช่มิตร หากจะพูดถึงอดีตให้ได้ ที่จริงก็เป็นแค่คนไข้ในอดีต
เพื่อหลบเลี่ยงลู่อวิ๋นฉี นางเอาราชโองการออกมา นางออกจากเมืองหลวงระหกระเหินพันลี้ นางยอมรับว่ามีสัญญาหมั้นกับผู้อื่น เรื่องอันตรายอีกเท่าใดบ้าบออีกเท่าใดนางล้วนทำ แต่เพียงเพื่อประเดียวว่าไหวอ๋องประชวร นางไม่ลังเลสักนิดก็เดินมาถึงข้างกายลู่อวิ๋นฉีเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟ
นี่เพราอะไร?
“เพราะไหวอ๋องเป็นคนที่ข้ารักษาหาย เคยพนันเรื่องนี้กับสำนักแพทย์หลวงไว้ หากไหวอ๋องประชวรสวรรคต ชื่อเสียงฝีมือเยี่ยมโรคร้ายหายดีของข้าจวินจิ่วหลิงก็จบสิ้นแล้ว” คุณหนูจวินเชิดคางขึ้นเล็กน้องมองลู่อวิ๋นฉีที่ก้มสายตาลงมา “ใครก็อย่าคิดทำลายชื่อโรงหมอของข้า”
ลู่อวิ๋นฉีมองนาง บนหน้าที่นิ่งสนิทมาเสมอพลันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน มุมปากปรากฏรอยยิ้ม
เขาไม่เอ่ยวาจาอีก ยื่นมือออกมา
“มา” เขาเอ่ยขึ้น
การเคลื่อนไหวนี้ก่อนหน้านี้เขาก็เคยทำ ตอนที่จูจั้นสังหารใต้เท้าน้อยหวงจนถูกจับขังคุกแล้วนางไปคุยเงื่อนไข ตอนนั้นเขาก็ทำท่านี้
แต่เวลานั้นสิ่งที่นางต้องการทำไม่ใช่สิ่งที่ถูกเขาบีบ จึงใช้การออกจากเมืองหลวงหลอกล่อเขา ดังนั้นไม่มาได้ ถอยได้
แต่ตอนนี้เล่า?
นางจากไปแล้ว จูจั้นรอดได้ จิ่วหรงล่ะ? ใครจะสนจิ่วหรง? ใครจะดูแลจิ่วหรงได้? นอกจากนาง
คุณหนูจวินมองลู่อวิ๋นฉี ลู่อวิ๋นฉีมองนาง ยื่นมือออกมาอีกครั้ง
มือข้างนี้ในอดีตนางเคยจับแกว่งไกวอย่างมีความสุขดีอกดีใจนับครั้งไม่ถ้วน
คุณหนูจวินยกมือขึ้น แต่นาทีต่อมาก็มีคนชิงก่อนหน้านางก้าวหนึ่งวางมือลงในมือของลู่อวิ๋นฉี
จูจั้นมองลู่อวิ๋นฉี
“มา” เขาเอ่ย มือที่วางอยู่ในมือลู่อวิ๋นฉีพลิกกลับกำทีหนึ่งแล้วสะบัด “ข้าส่งเจ้าไสหัวไป”
ลู่อวิ๋นฉีถูกสะบัดออก แต่ไม่ได้อเนจอนาถเท่าไร สองสามก้าวก็หยัดร่างยืนมั่นคงได้แล้ว
จูจั้นไม่ได้ไล่ตามมาต่อยตีเช่นนั้นอย่างที่คาดคิด แต่หันหน้าไปมองคุณหนูจวิน
“ในสายตาเจ้ายังมีข้าหรือไม่?” เขาตวาดเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “ทำอะไรยื้อๆ ยุด ๆ กับบุรุษคนอื่น”
………………………