ภาคที่ 4 ตอนที่ 100 อาการป่วยของไหวอ๋องเพื่อใคร

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ตอนลู่อวิ๋นฉีปรากฏตัว คนบนถนนเส้นนี้ก็วิ่งหนีไปหมดแล้ว เวลานี้คนทั้งหลายที่ยืนอยู่ไกลๆ มุงดูอยู่เงียบๆ เห็นภาพนี้เข้า สีหน้าล้วนตื่นเต้นอยู่บ้าง 

 

 

แม้ก่อนหน้านี้ลู่อวิ๋นฉีกับคุณหนูจวินพูดอะไรกันจะฟังไม่ได้ยิน แต่เสียงตะโกนนี้ของจูจั้นทุกคนล้วนได้ยินอยู่เลือนราง 

 

 

“หรือคุณหนูจวินถูกหัวหน้ากองพันลู่ทำให้หวั่นไหวแล้ว?” 

 

 

“จะเป็นไปได้อย่างไร” 

 

 

“ท่านชายนี่คงโมโหหึงแล้ว” 

 

 

เสียงวิพากษ์วิจารณ์เบาๆ ดังขึ้น 

 

 

คุณหนูจวินย่อมไม่มีทางคิดว่าจูจั้นหึงเช่นนั้นอย่างที่ทุกคนคาดเดา 

 

 

ในสายตาไม่มีเขาอยู่ ย่อมเป็นการย้ำเตือนนางว่าเขาก็ทำได้เช่นกัน 

 

 

คุณหนูจวินมองจูจั้น สีหน้าลังเล 

 

 

เขาทำได้ แต่… 

 

 

“เจ้าทำไม่ได้” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น 

 

 

จูจั้นมือหนึ่งคว้าข้อมือคุณหนูจวินไว้ มือหนึ่งชี้ลู่อวิ๋นฉี 

 

 

“ไสหัวไป” เขาคิ้วตั้งเสียงเข้ม “เจ้าอยากพนันว่าข้าฆ่าเจ้าได้หรือไม่จริงๆ ใช่หรือไม่?” 

 

 

ประโยคนี้เมื่อครู่ลู่อวิ๋นฉีก็พูด 

 

 

ตั้งแต่หลังเข้าเมืองหลวงประมือกันสองครั้ง ล้วนไม่ปิดบังเจตนาจะสังหารที่มีอยู่ในหัวใจสักนิด ทว่าพวกเขาต่างรู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่จังหวะที่จะสังหารอีกฝ่าย 

 

 

ต่างฝ่ายต่างมีความกังวลของตนเอง 

 

 

แต่ที่คนเป็นคนก็เพราะมีสติปัญญาและมีอารมณ์ เมื่ออารมณ์เหนือกว่าติปัญญาจริงๆ พวกเขาย่อมไม่สนไม่ใส่ใจ คิดถึงแค่ต้องการสังหารอีกฝ่ายตามอารมณ์ชั่ววูบได้จริงๆ 

 

 

“ข้าไม่กลัวเจ้าสังหารข้า” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น สายตาจับอยู่บนร่างคุณหนูจวินอีกหน “ข้ากลัวว่าเจ้าสังหารข้า นางก็ลำบากแล้ว” 

 

 

พูดจบก็หมุนตัวก้าวเดิน 

 

 

“เจ้าคิดเสร็จแล้ว มาหาข้าได้ตลอดเวลา” 

 

 

ประโยคนี้ย่อมเอ่ยกับคุณหนูจวิน 

 

 

คุณหนูจวินมองแผ่นหลังของเขาด้วยสีหน้าสับสน 

 

 

จูจั้นยื่นมือวางบนศีรษะนางให้หันมา 

 

 

“ดูอะไรฮึ มีอะไรน่าดู” เขาเอ็ด 

 

 

คุณหนูจวินไม่หันศีรษะไปอีก แต่ขานอืมทีหนึ่งก้มศีรษะลง เชื่อฟังจนทำให้คนโมโห 

 

 

จูจั้นสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปแล้ว 

 

 

หลิ่วเอ๋อร์ที่ถูกเฉินชีกับฟางจิ่นซิ่วขังไว้ในประตูไม่ให้ไม่รู้กาลเทศะเพิ่มความวุ่นวายก็ถูกปล่อยออกมาด้วย 

 

 

“คุณหนู” นางโกรธแค้นทั้งยังกังวลโถมเข้ามา “ไม่เป็นไรนะเจ้าคะ?” 

 

 

คุณหนูจวินเงยหน้าขึ้นยิ้มลูบศีรษะของนาง 

 

 

“ไม่เป็นไร ยังสบายดี” นางว่า 

 

 

………………………………………. 

 

 

………………………………………. 

 

 

“สืบมาได้แล้วขอรับ” 

 

 

เวลาเที่ยงวัน ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วกับเฉินชีก็รีบร้อนเข้ามา ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วไม่ทันสนใจนั่งลงก็พูด 

 

 

พวกคุณหนูจวินที่กำลังทานอาหารอยู่รีบลุกขึ้นยืน 

 

 

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ป่วยเป็นอะไร? ทำไมกะทันหันเช่นนี้?” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยถามรวดเดียว 

 

 

“ไม่ได้ป่วย” เฉินชีโบกมือเอ่ย 

 

 

ไม่ได้ป่วย? 

 

 

บาดเจ็บรึ? 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีทำร้ายจิ่วหรงบาดเจ็บรึ? 

 

 

คุณหนูจวินกำมือที่อยู่ด้วยกันแน่น 

 

 

“ปีศาจรังควาน” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วสีหน้าปั้นยากเอ่ยขึ้น 

 

 

ปีศาจ? นี่นับเป็นอะไร? 

 

 

ฟางจิ่นซิ่วสีหน้าอึ้ง คุณหนูจวินสีหน้าตะลึงวูบหนึ่งจากนั้นก็คิดถึงอะไรได้ 

 

 

“ไม่ใช่ลู่อวิ๋นฉีทำ” นางเอ่ยพึมพำ สีหน้ากลายเป็นสับสน 

 

 

หรือก็คือไม่ได้เจตนาเล่นงานนาง 

 

 

ปีศาจไม่ใช่โรค นี่ทำให้นางโล่งอกเล็กน้อย ทว่าความโกรธแค้นรวมถึงความรันทดที่จู่โจมเข้ามามากกว่าเดิม 

 

 

จิ่วหรงของนางมีชีวิตเป็นคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง แล้วยังถูกจับเอามาเป็นเครื่องมือให้พวกเขาเพิ่มสีสัน 

 

 

ปีศาจรังควาน ปีศาจรังควานจริงๆ คนที่เดิมควรเป็นทายาทอ๋อง เป็นองค์รัชทายาท เป็นฮ่องเต้ กลับมีชีวิตกลายเป็นสภาพเช่นนี้ 

 

 

นางนั่งลงช้าๆ ก้มศีรษะลงอีกครั้ง 

 

 

ส่วนในจวนสกุลลู่เวลานี้ ได้ยินว่าลู่อวิ๋นฉีกลับมา องค์หญิงจิ่วหลีที่นั่งสงบไม่สนใจไยดีมาตลอดก็ลุกขึ้นยืนทันที ก้าวเร็วไวมารับนอกประตู 

 

 

“จิ่วหรงเขา…” นางเอ่ยถาม แม้สีหน้าเหมือนเช่นวันวาน แต่น้ำเสียงร้อนใจยากปิดบังอยู่บ้าง 

 

 

“องค์ชายไม่เป็นไร” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย 

 

 

องค์หญิงจิ่วหลียังคงเชื่อคำพูดของลู่อวิ๋นฉี คนผู้นี้เรื่องร้ายเรื่องดีไม่เคยโกหก สำหรับเขาแล้วไม่จำเป็น 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นปีศาจรังควานคือเรื่องอะไรกัน?” จิ่วหลีเอ่ยถาม “ฝันร้ายแล้วหรือ?” 

 

 

“ไม่ใช่” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น “สิ่งใดล้วนไม่เกิดขึ้น” 

 

 

จิ่วหลีมองเขา สีหน้าคลางแคลงอยู่บ้าง 

 

 

“ข่าวโคมลอย” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย จากนั้นชะงักนิดหนึ่ง “เป็นข่าวที่คนของหวงเฉิงแพร่ออกมา” 

 

 

หวงเฉิง? 

 

 

พรรคพวกของหวงเฉิงกระจายอยู่ทั่วในราชสำนัก ขุนนางในวังอ๋องย่อมไม่น้อยเช่นกัน 

 

 

แต่วังไหวอ๋องไม่เหมือนวังอ๋องแห่งอื่น ไม่ได้ตั้งขุนนางวังอ๋อง มีลู่อวิ๋นฉีคุมแต่ผู้เดียว ไม่ได้รับคำอนุญาตจากเขาข่าวของไหวอ๋องแพร่ออกไปไม่มีทางเป็นไปได้ 

 

 

นอกเสียจากเป็นพระบรมราชานุญาตของฮ่องเต้ 

 

 

จิ่วหลีมองลู่อวิ๋นฉี ในดวงตาประหลาดใจคลางแคลงวิตก อารมณ์เปลี่ยนแปรไปมาท้ายที่สุดสลายไปสิ้นฟื้นกลับมานิ่งสงบ 

 

 

ปีศาจรังควานแล้วอย่างไร ความเป็นความตายเป็นเพียงเรื่องประโยคเดียวเท่านั้น มีสิ่งใดให้ตกอกตกใจ 

 

 

ดูท่าชีวิตพักนี้จะสบายเกินไปแล้ว นางล้วนลืมแล้วว่าตนเองเป็นใคร 

 

 

จิ่วหลียิ้ม หมุนตัวเดินเข้าไปด้านใน 

 

 

“ไม่ได้เล่นงานไหวอ๋อง” ลู่อว๋นฉีเอ่ยขึ้นด้านหลัง “ท่านไม่ต้องกังวลใจ” 

 

 

ก้าวเท้าของจิ่วหลีไม่หยุด 

 

 

“ข้าไม่กังวล” นางเอ่ยทั้งที่ไม่หันกลับมา “มีสิ่งใดน่ากังวลใจเล่า” 

 

 

กังวลใจแล้วมีประโยชน์อันใด? 

 

 

ไปตกตายด้วยกันกับผู้อื่นเช่นนั้นอย่างจิ่วหลิงหรือ? 

 

 

คิดถึงตรงนี้นางพลันหยุดฝีเท้า 

 

 

แม่นางคนนั้นเล่า? 

 

 

นางนึกขึ้นมาอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ 

 

 

“พวกท่านจะบีบนางหรือ?” นางหันหน้ามาเอ่ยถาม 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง 

 

 

“ท่านก็รู้สึกว่าเรื่องนี้บีบนางได้เหมือนกันหรือ?” เขาเอ่ยขึ้น 

 

 

รู้สึก? 

 

 

ใช่แล้ว ทำไมจึงรู้สึกว่าความปลอดภัยของไหวอ๋องบีบนางได้อย่างไม่มีสาหตุ? นางเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกนางสักนิดชัดๆ 

 

 

องค์หญิงจิ่วหลีกำมือ 

 

 

“เพราะนางเป็นคนดีคนหนึ่ง” นางเอ่ย 

 

 

ลู่อวิ๋นฉียิ้มแล้ว 

 

 

“ความรู้สึกของคนผู้หนึ่งอาจผิด สองคนก็อาจผิด สามคนรู้สึกเช่นนี้ นั่นดูท่าความรู้สึกนี้คงไม่ผิดแล้ว” เขาเอ่ยขึ้นมา “เรื่องนี้เดิมทีไม่ใช่เพื่อนาง แต่ตอนนี้สำหรับข้าแล้ว ก็เพียงเพื่อนาง” 

 

 

เขาพูดจบก็ยกมือขึ้น 

 

 

“ใครมานี่ซิ” 

 

 

นอกประตูองครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งเดินเข้ามา ค้อมกายขานรับทันที 

 

 

“วังไหวอ๋อง ไม่อนุญาตให้จูจั้นบุตรชายเฉิงกั๋วกงเข้าไปเด็ดขาด” ลู่อวิ๋นฉีเอียงศีรษะเอ่ย “ไม่ว่าแลกด้วยอะไร” 

 

 

องครักษ์เสื้อแพรขานรับ ก้มศีรษะถอยออกไปแล้ว 

 

 

องค์หญิงจิ่วหลีเดินกลับมาใหม่อีกหน 

 

 

“พวกท่านที่แท้ต้องการทำอะไร?” นางเอ่ยถาม 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีส่ายศีรษะให้นาง 

 

 

“ไม่ ไม่ใช่พวกท่าน” เขาเอ่ย “ข้าก็แค่ข้า ข้าเพียงต้องการข่มขู่แม่นางคนนั้นเท่านั้น ส่วนผู้อื่น ดูท่าพวกเขาคงอยากมอบของขวัญชิ้นหนึ่งให้เฉิงกั๋วกงกระมัง” 

 

 

เพื่อเฉิงกั๋วกง? 

 

 

จิ่วหลีตะลึงนิดหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะขมขื่นนิดๆ อีก 

 

 

“พวกเขาคงไม่คิดว่าเฉิงกั๋วกงเป็นพรรคพวกเก่าของพระบิดาข้าหรอกกระมัง” นางเอ่ยขึ้น 

 

 

“ใช่หรือไม่ใช่ ลองดูก็รู้แล้ว” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยตอบ 

 

 

………………………………………. 

 

 

………………………………………. 

 

 

ยามราตรีดึกดื่นก็สืบข่าวมากกว่าเดิมมาได้แล้ว 

 

 

“บอกว่าเป็นปีศาจรังควานทำให้ป่วยต้องส่งไหวอ๋องไปยังสุสานหลวง เช่นนี้ภายใต้การคุ้มครองของบรรพบุรุษจะปลอดภัยไม่เป็นไร” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยเสียงเบา “นี่เป็นข่าวที่เพิ่งแพร่ออกมาจากในราชสำนัก” 

 

 

คุณหนูจวินนั่งอยู่ ในมือถือชาถ้วยหนึ่งคล้ายเหม่อลอยอยู่บ้าง 

 

 

“คนที่ไหว้วานเป็นบ่าวในจวนของใต้เท้าสภาอำมาตย์คนหนึ่ง จริงแท้แน่นอน การประชุมขุนนางวันพรุ่งนี้จะหารือกัน” เฉินชีเอ่ยต่อ 

 

 

คุณหนูจวินได้สติกลับมา ส่ายศีรษะ 

 

 

“ข่าวไม่มีทางมีข่าวปลอม ในเมื่อกระจายข่าวนี้ย่อมเพื่อให้คนรู้ ไม่มีทางปิดบัง” นางเอ่ยขึ้น 

 

 

เฉินชีถอนหายใจ 

 

 

“ไหวอ๋องน่าสงสารจริง” เขาเอ่ย “สุสานหลวงด้านนั้นจะเทียบกับวังอ๋องได้อย่างไร เขาเด็กอายุน้อยเช่นนี้คนหนึ่ง ได้ยินว่าไม่ให้พาคนรับใช้ประจำไปด้วย” 

 

 

พูดถึงตรงนี้ดวงตาเขาก็กลิ้งกลอกนิดหนึ่ง 

 

 

“ทำไมยอมไม่ได้นะ” 

 

 

ประโยคนี้แผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน 

 

 

แต่คนในห้องยังคงล้วนได้ยิน คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร ในหัวใจทุกคนรู้กระจ่าง ที่พูดถึงคือฮ่องเต้ยอมทนการมีอยู่ของไหวอ๋องไม่ได้ ในที่สุดก็จะขับไล่เขาออกจากเมืองหลวง ถึงเวลาอ้างว่าปีศาจรังควานไม่สบายตายอยู่ข้างนอกแล้วก็คือตายแล้ว 

 

 

แม้ได้ยินแล้ว แต่เพราะคำพูดนี้พูดไม่ได้จริงๆ ทุกคนจึงล้วนแสร้งเป็นไม่ได้ยิน 

 

 

“ก็ไม่ใช่แค่เพื่อไหวอ๋องหรอก” คุณหนูจวินเอ่ยพลางเงยหน้าขึ้น “ที่พวกเขาต้องการยิ่งกว่าคือดูว่ามีใครก้าวออกมาคัดค้าน ดูว่าใครยังเป็นพรรคพวกเก่าขององค์รัชทายาท” 

 

 

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วกับเฉินชีสบตากันทีหนึ่ง ในใจสะดุ้ง 

 

 

เฉิงกั๋วกง 

 

 

พวกเขาผุดความคิดนี้ขึ้นมาพร้อมกัน 

 

 

“ท่านชายกลับมาแล้วไหม?” ฟางจิ่นซิ่วพลันเอ่ยถาม 

 

 

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วกับเฉินชีในใจสะดุ้งโหยงอีกครั้ง มองไปทางคุณหนูจวินโดยไม่รู้ตัว 

 

 

ตั้งแต่หลังลู่อวิ่นฉีก่อเรื่องจบ เฉินชีไปสืบข่าวคราว จูจั้นก็ออกไปแล้ว บอกว่าไปสืบข่าว จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา 

 

 

ในห้องจมสู่ความเงียบงัน 

 

 

…………………………