ภาคที่ 4 ตอนที่ 101 ปราการเหล็กกำแพงทองแดงให้เจ้ารุกถอยไม่ได้

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

คนใต้หล้าล้วนรู้ว่าเฉิงกั๋วกงได้รับความโปรดปรานจากอดีตฮ่องเต้ยิ่งนัก แม่ทัพคนอื่นกรำศึกนานปีเคี่ยวกรำจนเส้นผมขาว ได้บรรดาศักดิ์ปั๋วสักอันก็หายากอย่างที่สุดแล้ว เฉิงกั๋วกงกำลังวัยฉกรรจ์เป็นชนชั้นสูงหน้าใหม่กลับได้รับบรรดาศักดิ์กงแล้ว

 

 

“ตอนนั้นเรื่องนี้แทนที่จะพูดว่าอดีตฮ่องเต้ไม่ฟังคำทัดทานใคร ไม่สู้บอกว่าองค์รัชทายาทพยายามช่วยสุดกำลังจะดีกว่า”

 

 

ในห้องหนังสือของหวงเฉิงพลพรรคนั่งอยู่เต็มอีกครั้ง สาวงามบ่าวหญิงสะสวยเดินตัดผ่านปะปนข้างใน กลิ่นสุรากลิ่นชากลิ่นแป้งฝุ่นปนเปทำให้คนมัวเมา

 

 

หวงเฉิงนั่งอยู่หลังโต๊ะแต่ผู้เดียว ดื่มชาเขียวถ้วยหนึ่งเอ่ยอ้อยอิ่ง

 

 

“เรื่องนี้ข้ารู้” บุรุษคนหนึ่งรีบชูจอกสุราเอ่ยขึ้น “ครั้งนั้นตอนองครัชทายาทกราบทูลอดีตฮ่องเต้ที่ห้องทรงพระอักษร ข้าอยู่ที่นั่น”

 

 

“ใช่ใช่ ข้าก็เคยได้ยินมา เพราะเรื่องนี้อดีตฮ่องเต้กับองค์รัชทายาทถึงโต้เถียงกัน องค์รัชทายาทดูไปแล้วร่างกายบอบบางอ่อนโยนแต่ดื้อรั้นอย่างที่สุด ทะเลาะกับอดีตฮ่องเต้ขึ้นมา อดีตฮ่องเต้พิโรธคว้าแท่นฝนหมึกเขวี้ยงไป พระเศียรขององค์รัชทายาทยังถูกขว้างแตกแล้ว” บุรุษอีกคนหนึ่งรีบผลักบ่าวหญิงคนงามข้างกายออกชิงเอ่ยวาจาขึ้นมา

 

 

หวงเฉิงยิ้มพลางพยักหน้า ดื่มชาเขียวคำเดียวหมด

 

 

“ใช่แล้ว องค์รัชทายาทคนผู้เนี้ร่างกายอ่อนแอป่วยกระเสาะกระแสะ แต่หัวใจกลับห้าวหาญ” เขาเอ่ยท่าทางย้อนคำนึง “ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งอาณาจักรห้าวหาญเป็นบุญของแว่นแคว้น ฮ่องเต้ผู้ธำรงอาณาจักรนี่ห้าวหาญเกินไปก็ไม่ค่อยดีแล้ว ดูสิผลาญเลือดหัวใจของตนเองหมด สิ้นพระชนม์เสียแล้ว”

 

 

คนที่นั่งอยู่ล้วนหัวเราะ

 

 

“ดังนั้นถึงบอกว่านี่คือฟ้าเลือกเจ้าแผ่นดินผู้ปรีชาอย่างไรเล่า” ทุกคนพากันเอ่ยขึ้น

 

 

หวงเฉิงยกถ้วยชา

 

 

“มา มา ถวายพระพรเจ้าแผ่นดินผู้ปรีชา” เขายิ้มเอ่ย “คุ้มครองต้าโจวของเราให้ร่มเย็นเป็นสุข”

 

 

ผู้คนล้วนชูถ้วยยิ้มพลางอวยพรขอทรงพระเจริญหมื่นปีเสียงพร้อมเพรียง

 

 

“บรรดาศักดิ์ รางวัลพระราชทานเป็นคุณงามความชอบขององค์รัชทายาท หลังจากนั้นที่เฉิงกั๋วกงมือเดียวปิดฟ้าแดนเหนือได้ก็เพราะได้องค์รัชทายาทคุ้มครองอยู่มาก” หวงเฉิงวางถ้วยชาลงเอ่ยต่อ “องค์รัชทายาทมักกล่าวกับอดีตฮ่องเต้ว่าแม่ทัพอยู่ข้างนอกย่อมไม่ฟังคำสั่งเจ้าแผ่นดินบ้าง แล้วตำหนิผู้ตรวจการหลายครั้งว่าอย่านั่งเฉยลืมทุกข์ของประชาชน สนใจแต่การต่อสู้ในราชสำนักไม่สนเรื่องใหญ่ของประเทศชาติ”

 

 

พูดไปแล้วองค์รัชทายาทกับอดีตฮ่องเต้ก็จากโลกไปยังไม่ถึงสิบปี คนที่นั่งอยู่ส่วนใหญ่ตอนนั้นก็เข้าสู่วงการขุนนางแล้ว บางคนตำแหน่งต่ำอยู่บ้างไม่เคยได้สัมผัสองค์รัชทายาทกับอดีตฮ่องเต้ แต่การกระทำขององค์รัชทายาทกับอดีตฮ่องเต้กลับล้วนรู้สิ้น

 

 

เวลานี้นึกย้อนไปก็รู้สึกเลือนรางอยู่บ้าง

 

 

“เรื่องในอดีตเหล่านี้ไม่พูดถึงก็ช่าง” มีคนเอ่ยขึ้น รู้สึกไม่ใคร่สบายใจอยู่บ้างอย่างประหลาด

 

 

หวงเฉิงยิ้ม

 

 

“ใช่แล้ว เรื่องในอดีตไม่พูดได้ แต่ลืมไม่ได้” เขาเอ่ย “องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ไหวอ๋องยังถูกปีศาจเกาะติดกายอีก พวกเราในใจล้วนเสียใจยิ่ง เฉิงกั๋วกงคงยิ่งเป็นห่วงกระมัง?”

 

 

พูดพลางหัวเราะทีหนึ่ง

 

 

“อย่างไรเฉิงกั๋วกงก็เป็นคนที่กระทั่งชาวบ้านตาดำๆ ยังรักประหนึ่งลูก ยอมสละชีวิตก็ต้องคุ้มครองประชาชนทั้งหลาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบุตรของอดีตองค์รัชทายาทที่เคยได้รับบุญคุณ”

 

 

“ใช่แล้ว อากาศร้อนจัดนี่ หากส่งไปสุสานหลวง ไร้คนดูแล ยังไม่รู้ว่าจะทนผ่านหน้าร้อนไปได้หรือไม่เลย” บุรุษคนหนึ่งส่ายศีรษะถอนหายใจ

 

 

“นั่นแล้วอย่างไร? ฮ่องเต้ก็ไร้หนทาง นี่ไม่ใช่โรคที่เชิญแพทย์หมอเทวดาสักคนมาตรวจก็หายแล้วเสียหน่อย” อีกคนหนึ่งก็ส่ายศีรษะเอ่ยบ้าง “เขาจะคัดค้านอะไร? หรือจะตำหนิว่าฮ่องเต้คิดทำร้ายไหวอ๋องหรือ?”

 

 

คนทั้งหลายพูดพลางสบตากันทีหนึ่งแล้วหัวเราะลั่นพร้อมกัน

 

 

“หากเฉิงกั๋วกงไม่คัดค้านเล่า?” บุรุษคนหนึ่งคิดอะไรขึ้นได้พลันเอ่ยออกมา

 

 

ในห้องเงียบไปครู่หนึ่ง

 

 

“นั่นก็ไม่มีอะไร เฉิงกั๋วกงก็แค่นี้เท่านั้น คนเช่นนี้พระราชทานรางวัลน้ำพระทัยมากอีกเท่าใดก็เป็นสุนัขที่เลี้ยงไม่เชื่องเท่านั้น” หวงเฉิงเอ่ย “ใช้ไหวอ๋องคนเดียวทำให้ทุกคนรู้ชัดสิ่งนี้ก็นับว่าใช้ได้คุ้มที่สุดแล้ว”

 

 

อย่างไรพวกเราก็ไม่เสียอะไร

 

 

ผู้คนสบตากันทีหนึ่ง

 

 

“แต่ยังมีปัญหาสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง” บุรุษคนหนึ่งขมวดคิ้วเอ่ย

 

 

เพิ่งอ้าปากก็มีคนรีบร้อนเข้ามา

 

 

“ใต้เท้า” เขาคำนับแล้วรายงาน “บุตรชายเฉิงกั๋วกงอยู่นอกวังไหวอ๋องขอรับ”

 

 

คำนี้ออกมาปุบคนในห้องล้วนสีหน้าเคร่งเครียด

 

 

“นี่เป็นคนที่ก่อเรื่องเก่งที่สุด”

 

 

“หากเขาฝืนฝ่าเข้าไป มีพ่อเขาคุ้มครองอยู่ บอกประโยคเดียวว่าก่อเรื่องต่อยตียกหนึ่งขังไว้ก็จบแล้ว ไม่อาจสังหารเขาได้”

 

 

“ให้คนเด็กเป็นกองหน้า คนแก่เป็นเขาหนุนอยู่ข้างหลัง พ่อลูกสองคนนี้ไม่ใช่ทำเช่นนี้เป็นครั้งแรก”

 

 

“หน้าไม่อายเกินไปแล้ว”

 

 

ทุกคนพากันเอ่ยขึ้น

 

 

คนที่มารีบยกมือขัดทุกคน

 

 

“แต่” เขาเอ่ยต่อ “องครักษ์เสื้อแพรขวางไว้แล้วขอรับ”

 

 

คำพูดนี้ทำให้ทุกคนตะลึงอีกหน

 

 

“ขวางอยู่หรือ?” บุรุษคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างไม่ทันคิด

 

 

ผู้ที่มาพยักหน้า

 

 

“ยอมตายไม่ถอยขอรับ” เขาเอ่ย

 

 

คำสั่งเคร่งครัดเช่นนี้เชียว คนที่อยู่ที่นั่นสบตากันทีหนึ่ง สีหน้ายังคงประหลาดใจ คล้ายกระทั่งพวกเขาเองก็ยังไม่เชื่อ

 

 

หวงเฉิงหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว

 

 

“ไป เอาน้ำแกงที่ตุ๋นเสร็จบนเตาส่งไปให้องค์หญิงจิ่วหลี” เขาเอ่ยขึ้นมา พูดพลางก็หัวเราะอีกหน “แล้วก็บอกใต้เท้าลู่ ไหวอ๋องด้านนี้ไม่จำเป็นต้องกังวล ฝ่าบาทรงเมตตา ต่อให้ส่งไปสุสานหลวงก็จะดูแลไหวอ๋องอย่างดีเช่นกัน”

 

 

ต่อให้ฮ่องเต้ไม่อยาก เขาก็กล่อมให้ฮ่องเต้ดูแลให้ดีได้ เขาหวงเฉิงเป็นคนที่เอ่ยวาจาย่อมมีคนเชื่อ ในเมื่อหัวหน้ากองพันลู่ให้เขายืมรถม้า ถ้าเช่นนั้นเขาย่อมต้องคืนสิ มียืมมีคืน ยืมอีกถึงจะไม่ยาก

 

 

ผู้ที่มาขานรับถอยออกไปแล้ว

 

 

“ดี เรื่องนี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว” หวงเฉิงเอ่ย ชูถ้วยชาให้ทุกคนอีกครั้ง

 

 

ผู้คนในห้องรีบชูจอกสุราถ้วยน้ำชาเผยดวงหน้ายิ้มแย้มใหม่อีกหนเช่นกัน

 

 

“อ้อใช่แล้ว ปั๋วชิง เจ้าอยากพูดอะไร?” หวงเฉิงมองไปทางบุรุษคนหนึ่งอีกหน

 

 

เมื่อครู่เขากำลังจะพูดก็ถูกคนที่มาขัด

 

 

เขาหัวเราะแล้ว

 

 

“ข้าก็กำลังจะบอกความกังวลเรื่องบุตรชายเฉิงกั๋วกงเหมือนกัน” เขาเอ่ยบอก “ดูท่าข้าจะกังวลมากไปแล้ว ใต้เท้ามีแผนอยู่ก่อนแล้ว”

 

 

พูดพลางชูจอกสุราขึ้นสูง ค้อมร่าง

 

 

“ใต้เท้าผู้เฒ่าคิดแผนถี่ถ้วนไร้ช่องโหว่ ศิษย์นับถือ”

 

 

คนอื่นก็พากันชูจอกสุราค้อมร่างด้วย

 

 

“ศิษย์นับถือ”

 

 

“ผู้น้อยนับถือ”

 

 

ได้ยินคำยกยอนี้ เห็นคนในห้องก้มศีรษะพร้อมเพรียง หวงเฉิงพลันหัวเราะฮ่าฮ่า

 

 

“โชคดีน่ะ โชคดี” เขาเอ่ยตอบ จากนั้นดื่มชาคำเดียวหมด

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

จูจั้นมองคนแถวหนึ่งตรงหน้าล้มอยู่ตรงพื้น แต่จากนั้นก็ลุกขึ้นมาไม่สนไม่ใส่ใจพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่งอีกหน แล้วมององครักษ์เสื้อแพรมากกว่าเดิมด้านหลังดาหน้ามาอีก

 

 

ไม่เหมือนกับความดุร้ายก่อนหน้านี้ ครั้งนี้เหล่าองครักษ์เสื้อแพรยังคงดุร้าย แต่โยนศาสตราวุธทิ้ง ตั้งท่าจะเอาเลือดเนื้อปะทะพลีชีพ

 

 

บนพื้นองครักษ์เสื้อแพรที่บาดเจ็บหรือถูกเล่นงานจนสลบนอนอยู่ไม่น้อย

 

 

จูจั้นกำหมัดแน่น มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปตรงเอว

 

 

ที่ซ่อนอยู่หลังเอวคือดาบสั้นเล่มนั้นที่เขามักใช้

 

 

แสงอัสดงค่อยๆ ถดถอย ราตรีมาเยือนอย่างช้าๆ วังไหวอ๋องตรงหน้าค่อยๆ พร่าเลือน

 

 

แม้พร่าเลือน แต่ก็ใกล้เพียงเอื้อมมือ

 

 

จูจั้นจับดาบสั้น ก้าวเท้าไปข้างหน้าอีกหน มีคนหลายคนพุ่งออกมาจากด้านหลังกอดเอวเขาไว้

 

 

“พี่รอง อย่าก่อเรื่องเลย”

 

 

“หยุดมือเถอะ ทำเช่นนี้ใช่ไม่ได้”

 

 

ซื่อเฟิ่งเอ็ดเสียงเบา

 

 

จูจั้นจะสลัดออก ไม่สนว่าคนสามคนกอดเขาไว้แน่น

 

 

“หากท่านสังหารองครักษ์เสื้อแพรหลายคนจริงๆ ย่อมเป็นอย่างที่พวกเขาหวัง” ซื่อเฟิ่งกดหัวไหล่เขาไว้รีบร้อนเอ่ยบอก “นี่คือวังไหวอ๋อง ถึงเวลาโทษของท่านย่อมไม่อาจแก้ไขได้

 

 

“ใช่แล้ว พวกเขาตัดสินใจแน่วแน่ตายก็ไม่ถอย พี่รอง ท่านฝืนฝ่าไม่ได้นะ” จางเป่าถังก็เอ่ยด้วย

 

 

จูจั้นหน้าคล้ำเขียวมองด้านหน้า ร่างกายเกร็งเครียด แต่เท้าหยุดลง

 

 

ซื่อเฟิ่งโล่งอกส่งสายตาให้พวกจางเป่าถัง ทุกคนปล่อยมืออกอย่างระวัง

 

 

จูจั้นไม่ได้พุ่งเข้าไปอีก

 

 

“พี่รอง แม้นี่เป็นวังขององค์ชาย” ซื่อเฟิ่งก็มองไปทางวังไหวอ๋อง เสียงเคร่งขรึมไม่มีรอยยิ้มร่าท่าทางสบายๆ อย่างวันวาน “ทว่าฮ่องเต้ไม่ใช่ฮ่องเต้ในอดีตแล้ว”

 

 

บนถนนชะงักนิ่งไปวูบหนึ่ง

 

 

พวกเขาไม่ขยับ องครักษ์เสื้อแพรด้านนั้นก็ไม่ขยับอีกเช่นกัน เหมือนกำแพงดำทะมึนผืนหนึ่งกองสุมอยู่ตรงหน้า

 

 

“วางแผนระยะยาวเถอะ” ซื่อเฟิ่งเอ่ยเสียงเบาอีกครั้ง

 

 

จูจั้นไม่พูดจา หมุนตัวก้าวยาวเดินจากไปแล้ว

 

 

……………………