บทที่ 58 ดอกยี่เข่ง

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 58
ดอกยี่เข่ง
ชางกวนโม่เผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ ริมฝีปากบางยกขึ้นเล็กน้อย “ฉันแค่อยากจะช่วยนวดขาให้เธอ ไม่คิดว่าเธอจะตกใจขนาดนี้ อ๊า! ในเมื่อเธอรอไม่ได้ ดูเหมือนว่าฉันจะละเลย ฉันน่าจะดูแลคู่หมั้นตัวเองให้ดีกว่านี้…” น้ำเสียงแหบเล็กน้อยและคำพูดสุดท้ายก็ดูน่าเอ็นดู!

มู่หรงเสวี่ยแสดงท่าทางเขินอาย “ฉัน…ฉันไม่…”
“โอ้ จริงเหรอ?” เขาถาม
มู่หรงเสวี่ยลุกขึ้น “โรคจิต!!! คิดอะไรสกปรก…”
ชางกวนโม่ยิ้มกว้าง “เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันคิดสกปรก? ฉันคิดว่าเธอเองก็คิดเหมือนกับฉันแหละ ไม่งั้น…ทำไมเธอช่าง…”
มู่หรงเสวี่ย “ใครจะไปคิดเหมือนคุณ”

“ฮ่าฮ่า มานี่สิ!” เมื่อได้เห็นท่าทางไม่พอใจของเธอ ชางกวนโม่รู้สึกอารมณ์ดีอย่างมาก ในที่สุดเธอก็กล้าที่จะขัดเขาแล้ว นี่ก้าวหน้าใช่ไหม?
เขายื่นมือไปหาเธอ มู่หรงเสวี่ยถามอย่างสงสัย “อะไร?”
ชางกวนโม่ไม่ได้แกล้งเธอแล้ว เขาดึงเธอมานั่ง ยกเท้าเธอขึ้นมาพาดที่ขาเขาและค่อยๆนวดเท้าให้เธอ “วันนี้เธอน่าจะเมื่อย เดินมาทั้งวัน ถ้าไม่นวดให้ดีพรุ่งนี้จะปวดมากกว่านี้อีก…”

มู่หรงเสวี่ยตะลึงไปเลย เขา…เขาคือคุณชายแห่งเมืองหลวง ทำไมถึงลดตัวลงมาทำอะไรแบบนี้

ครั้งหนึ่งเธอเคยบอกกับฟางฉีฮัวว่าการที่ใส่รองเท้าส้นสูงทั้งวันทำให้เธอเจ็บเท้า ในตอนนั้นเขาทำยังไงน่ะเหรอ?! เธอจำได้ว่าแม้แต่ก่อนที่เธอจะออกจากบ้านมู่หรง เขาก็ทำเพียงแค่จับที่หัวเธอและปลอบใจเธอโดยการพูดว่าเหนื่อยหน่อยนะ และแค่ประโยคง่ายๆนี่ก็ทำให้เธอมีความสุขไปได้หลายวัน

ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าชางกวนโม่ไม่คู่ควร…กับผู้หญิงอย่างเธอ…ในชีวิตที่แล้วเธอทำให้คนเกลียดมากมาย
อยู่ดีๆเธอก็อยากที่จะร้องไห้
ทันใดนั้นชางกวนโม่ก็หยุดเพราะหยดน้ำที่มือของเขา และมือที่กำลังนวดขาอยู่ก็หยุดลง เขาตกใจ “มีอะไรเหรอ? ฉันนวดแรงไปเหรอ? เธอเจ็บตรง…”
น้ำตาของมู่หรงเสวี่ยไหลอย่างเงียบๆ ราวกับแม่น้ำเสี่ยวหลิวซิ ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากปากที่ปิดแน่น เธอส่ายหัวเบาๆ

เขากอดเธอไว้อย่างอ่อนโยน จูบลงไปที่ผมที่อ่อนนุ่มของเธอพร้อมพูดอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องร้องนะมู่หรงเสวี่ย เธอร้องไห้เยอะเกินไปจนใจฉันแหลกสลายแล้ว…”

ผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมแขนเขาร้องไห้อย่างเจ็บปวด เขารู้สึกกลัวเพราะความเผด็จการของเขาทำให้เธอโกรธแต่เขาปล่อยเธอไปไม่ได้

ถึงแม้เขาจะอยู่กับเธอไม่นาน แต่เขาก็นึกภาพชีวิตที่จะต้องอยู่โดยไม่มีเธอไม่ได้…ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รักเขา…แต่เขาก็ปล่อยเธอไปไม่ได้…ถึงแม้เธอจะร้องไห้ต่อหน้าเขา หัวใจเขาจะต้องแตกเป็นเสี่ยงๆก็ตาม

เขาทำได้เพียงกอดเธอไว้แบบนี้ และปลอบเธอ “อย่าร้องเลยนะ…”
เขาจะทำดีกับเธอ ให้ดีกว่าคนอื่นๆ ขอแค่เธออย่าไปไหน อย่าทำให้เขาต้องใจสลาย

มู่หรงเสวี่ยร้องไห้อยู่นาน ชางกวนโม่กอดเธอไว้เงียบๆรู้ดีว่าเธอเหนื่อยจากการร้องไห้และในที่สุดก็ผล็อยหลับไป

ชางกวนโม่มองที่ตาเธอที่ทั้งแดงและบวมจากการร้องไห้ ถึงแม้ว่าเธอจะหลับแต่บางครั้งก็ยังสะอื้นออกมา เขารู้สึกอ่อนโยนและสงสารเธอจากหัวใจ

เขาค่อยๆอุ้มเธอไปที่เตียงและถอดชุดที่ไม่สบายนี้ออกอย่างระวัง ในเวลานี้เมื่อได้เห็นผิวที่ขาวผ่อง เขากลับไม่รู้สึกอะไรเลย เขายังติดอยู่กับคำถามที่ว่าเธอร้องไห้ทำไมและคิดเรื่องนี้อยู่นาน
หลังจากนั้นมู่หรงเสวี่ยรู้สึกอายมากที่ร้องไห้ต่อหน้าเขาอยู่บ่อยๆ จึงเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงเหตุการณ์นี้

และชางกวนโม่เองก็กลัวคำตอบที่จะออกจากปากของเธอ เขาจึงเลือกที่จะไม่พูดถึงเช่นกัน
แล้วเรื่องนี้ก็ค่อยๆจางหายไประหว่างพวกเขา
มู่หรงเสวี่ยไม่ได้ไม่พอใจในท่าทางของเขามากเหมือนแต่ก่อน ในเมื่อเธอรู้เจตนาของเขาแล้วจึงรู้สึกดีกับเขามากขึ้น แต่ก็ยังมีความรู้สึกเป็นปมอยู่ในใจนิดหน่อย เธอรู้สึกว่าตัวเองสกปรก ทั้งร่างกายและจิตใจ เธอไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่องและเปรอะเปื้อนไปด้วยความสกปรกที่คนอื่นก่อขึ้นมา แล้วเธอจะคู่ควรกับเขาได้ยังไง
แต่เธอจะทำเป็นไม่สนใจความก้าวหน้าของเขาไปเรื่อยๆไม่ได้ เขาลดกำแพงลงเรื่อยๆเธอจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากแยกตัวเองออกมา เขาคือคุณชายแห่งเมืองหลวงที่ควรจะมองข้ามทุกอย่าง รวมทั้งเธอด้วย…ความอ่อนโยนนี้ทำให้หัวใจของเธอยุ่งเหยิงครั้งแล้วครั้งเล่า

ชางกวนโม่ยุ่งมาก เขาไม่มีเวลาอยู่กับมู่หรงเสวี่ยมากนัก นอกจากนี้มู่หรงเสวี่ยก็ไม่อยากที่จะตัวติดอยู่กับเขาด้วย เขาไม่ใช่ผู้ชายที่มีผู้หญิงอยู่ล้อมรอบตลอดเวลาด้วย ชางกวนโม่ถอนหายใจอย่างโล่งอก ในที่สุดเธอก็ลดความตื่นตระหนกไปได้แล้ว

มู่หรงเสวี่ยที่กำลังดูหินหยกอยู่ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นจึงหยิบขึ้นมาดู เธอมองไปที่เบอร์แปลกๆ “ฮัลโหล ใครคะ?”
เสียงชัดเจนตอบกลับมา “ฮ่าฮ่า เสี่ยวเสวี่ย นี่ฉันเองนะ”
เขาแน่ใจได้ยังไงว่าเธอจะรู้ว่าเขาเป็นใคร? แต่เธอก็รู้ แล้วเขาโทรหาเธอทำไมกัน? “ชางกวนหลิน มีอะไรเหรอ?”

“ฉันบอกให้เรียกฉันว่าหลินไม่ใช่เหรอ?” เขารู้สึกไม่ค่อยดีเมื่อได้ยินน้ำเสียงแปลกตอบกลับมา ช่วงนี้เธอกับพี่ใหญ่ใกล้ชิดกันมาก พวกเขาสนิทกันมากขนาดนั้นเลยเหรอ

เบอร์ส่วนตัวเหรอ?! เธอบอกให้เขาโทรมาเหรอ?! เธอไม่รู้จักเขานะ! “คือฉันคิดว่าเรายังไม่สนิทกันมากพอ การเรียกชื่อเฉยๆมันคงไม่ดีเท่าไร…”

ทำไมห่างเหินจัง พวกเขาก็เป็นเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?! “ดีเลย ตอนนี้เธออยู่ไหนล่ะ? เดี๋ยวฉันไปหา…”

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ฝูงชนรอบๆเธอและบางครั้งก็จะมีเสียงกรีดร้องเมื่อมีการตัดหยกด้วย เธอรีบปิดโทรศัพท์ เดินออกมาให้ห่างจากฝูงชนและแกล้งทำเสียงง่วงและตอบกลับไป “อ่ะ ขอโทษทีนะ ฉันกำลังนอนอยู่…” ระหว่างที่กำลังพูด เธอก็กำลังจะรีบเดินกลับไปที่ห้อง บอกตามตรงเธอไม่อยากที่จะเจอเขา เธอยังจำครั้งสุดท้ายที่เจอเขาได้ ชางกวนโม่ไม่พอใจอย่างมาก เดาว่าสองพี่น้องคงไม่ค่อยถูกกันเท่าไร เธอไม่อยากที่จะทำให้ชางกวนโม่โกรธอีก

เธอยังไม่ทันได้ขึ้นไปที่ชั้นสองเลยด้วยซ้ำ คอเสื้อที่ด้านหลังเธอก็ถูกยกขึ้น
“เสี่ยวเสวี่ย กำลังจะไปไหน…”
มู่หรงเสวี่ยเผยรอยยิ้มที่แย่กว่าการร้องไห้ซะอีก “ฮ่าฮ่า บังเอิญจังนะ…”
“บังเอิญจัง ไม่คิดเลยนะว่าเธอจะนอนในที่เสียงดังขนาดนี้ได้…” ในน้ำเสียงมีความสงสัยปนอยู่ด้วย
“ฮ่าฮ่า ฉันกำลังจะกลับไปพักที่…” รู้สึกอับอายที่ต้องโกหกเขาไปแบบนั้น

ฮ่าฮ่าเหรอ? นี่เธอพยายามจะหลบหน้าเขาเหรอ!? ทำเพื่อคนที่เขาเรียกว่าพี่ใหญ่งั้นเหรอ…ทำไมล่ะ ถ้าเขาได้เจอเธอก่อนนะ เขากับเธอมาจากโลกเดียวกัน “มาเถอะ ไปกับฉันหน่อย…”
ฮ่ะ?! “จะไปไหนเหรอ? ฉัน…ตอนนี้ฉันไม่ว่าง ใช่ ใช่เลย…” แล้วเธอก็พยักหน้าราวกับว่าเป็นเรื่องจริงจัง
“ฉันรู้ว่าเธอว่างมากๆ ไปกันเถอะ…” ดวงตาจ้องตรงไปที่เธอ ไม่มีอะไรที่จะเถียงแล้ว เขาดึงมือเธอและพาเดินออกไป

มู่หรงเสวี่ยขัดขืนอยู่สักพักจนเกือบที่จะล้ม “ปล่อยเถอะ ฉันเดินเองได้…ปล่อยเร็วสิ…” สองพี่น้องนี่ชอบบังคับเหมือนกันเลยจริงๆ

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป มู่หรงเสวี่ยก็เห็นทุ่งดอกไม้ขนาดใหญ่อยู่เบื้องหน้าสายตา ยาวสุดลูกหูลูกตา…สวยจริงๆ

“เป็นไงบ้าง สวยไหม?! นี่เป็นที่ลับของฉันเอง…”
แม้แต่มู่หรงเสวี่ยเองที่ขัดขืนในตอนแรกยังอดไม่ได้ที่แสดงสีหน้าพอใจและยิ้มออกมาอย่างมีความสุข “สวยมากจริงๆ คุณไปเจอสถานที่แบบนี้ได้ยังไง…”

ชางกวนหลินก้มหน้าและทุ่งหญ้าเบื้องหลังเขาก็ส่งกลิ่นที่คุ้นเคย “นี่เป็นสถานที่โปรดของฉันตั้งแต่เด็กแล้ว…” นอกจากนี้เขาไม่ได้บอกเธอว่าที่ดินพื้นนี้เป็นของเขาเพียงคนเดียว ถ้าเขาไม่อนุญาตใครก็เข้ามาที่นี่ไม่ได้
สายลมพัดเย็น พัดกระโปรงสีขาวของเธอเกิดเป็นระลอกคลื่นที่สวยงาม

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ชางกวนหลินที่นอนราบลงไปที่พื้นหญ้า ดวงตาสีม่วงคู่สวยพร้อมด้วยทุ่งดอกยี่เข่งตรงหน้าเธอช่างเป็นภาพที่สวยงามน่ามองจริงๆ

เธอคิดว่ามันแปลกที่ทั้งสองครั้งที่ได้เจอชางกวนหลินเขาดูเหมือนไม่ใช่คนที่น่ารังเกียจเลย แต่กลับสุภาพ ถึงแม้บางครั้งจะเอาแต่ใจไปบ้างแต่ก็บอกได้ว่าไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไร แต่ทำไม ชางกวนโม่ถึงไม่ชอบเขาขนาดนั้น?! ดูเหมือนจะมีเรื่องบาดหมางกันอย่างหนัก
เขารับรู้ได้ถึงความสงสัยของมู่หรงเสวี่ย “นั่งลง หญ้านี่นั่งสบายมากเลยนะและเดี๋ยวฉันจะตอบคำถามเธอ…”

เธอไม่รู้ว่านี่เป็นเพราะดวงตาสีม่วงของเขาหรือเปล่า มู่หรงเสวี่ยรู้สึกว่ามีความสิ้นหวังและความเศร้ามากมายอยู่ในดวงตาคู่นี้ เธออดไม่ได้ที่จะต้องนั่งลง

“มันแปลกมากเหรอที่ฉันไม่สนิทกับพี่ชายน่ะ?” ชางกวนหลินหันมามองมู่หรงเสวี่ย ที่กำลังมองไปทางอื่น

มู่หรงเสวี่ยส่ายหน้า เธอไม่ใช่พวกชอบนินทา เธอไม่อยากที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาของสองพี่น้องนี้

ชางกวนหลินไม่สนใจท่าทางของเธอ เขาแค่หวังว่าจะมีใครสักคนที่จะฟังเขา “ตอนที่ฉันยังเด็ก พี่ใหญ่กับฉันสนิทกันมาก…”
ดูเหมือนจะเป็นความทรงจำที่ไม่สิ้นสุด “ฉันอายุแค่ 5 ขวบ พี่ใหญ่อายุ 8 ขวบ ฉันยังไม่รู้เรื่องเท่าไร เวลาที่ฉันสร้างปัญหา พี่ใหญ่มักจะออกรับหน้าพ่อแม่แทนฉันตลอด…”

“ฉันจำได้ว่าตอนที่ฉันยังเด็ก พ่อกับแม่มักจะไม่ค่อยอยู่บ้าน และพี่ใหญ่ก็มักจะทำทุกวิธีเพื่อที่จะให้ฉันมีความสุข…จนกระทั่ง…” หลังจากนั้นชางกวนหลินก็ไม่ได้พูดออกมา

มู่หรงเสวี่ยไม่ได้ถามอะไรต่อ…นั่นไม่ใช่เรื่องที่เธอจะถามได้
เธอเป็นอย่างที่เขาหวังไว้เลย เธอเงียบไม่ถามอะไรต่อ นั่งนิ่งอยู่แบบนั้น
ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดใส ก้อนเมฆค่อยๆลอยผ่านไปทำให้คนทั้งสองรู้สึกสงบและสบายอย่างบอกไม่ถูก บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้สนิทกันแต่ในวินาทีนี้เกิดความรู้สึกที่ดีมากภายในหัวใจของพวกเขา
ทันใดนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาทำลายบรรยากาศในตอนนี้ไปจนหมด
ที่หน้าจอแสดงว่า: ชางกวนโม่!
มู่หรงเสวี่ยถือโทรศัพท์ที่กำลังดังไว้ในมือ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกลังเลว่าจะรับโทรศัพท์ดีไหม
เสียงโทรศัพท์ยังดังต่อไปเรื่อยๆ มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเหมือนมันนานเป็นชาติ เธอมองไปที่ชางกวนหลินที่ดูเหมือนจะไม่สนใจเสียงโทรศัพท์ที่ร้องดังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เงียบขนาดนี้ แต่กลับจ้องไปที่ก้อนเมฆบนท้องฟ้าด้วยดวงตาสีม่วงแสนสวย
มู่หรงเสวี่ยหายใจเข้าลึกๆและกดรับโทรศัพท์ “ฮัลโหล…”
“เธออยู่ไหน?” น้ำเสียงที่ตอบมาดูร้อนรน
มู่หรงเสวี่ยใจเต้นรัว นี่มันอะไรกัน! เธอเป็นเด็กเล็กๆที่ดูแลตัวเองไม่ได้หรือไง? ถึงต้องเป็นห่วงอะไรกันขนาดนี้?!! เธอกำอีกมือที่ว่างไว้แน่นเพราะกลัวว่าจะลืมตัว “ฉัน..ฉันอยู่ข้างนอก…”
“บอกที่อยู่มา เดี๋ยวฉันจะออกไปรับ”
ฮ่ะ?! “ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันจะกลับแล้วค่ะ”
ท่าทางของชางกวนโม่ที่อยู่ปลายสายเย็นชา น้ำเสียงของมู่หรงเสวี่ยดูเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ “เธออยู่กับใครเหรอ?”
“ฉัน…ฉัน…ฉันอยู่กับบางคน…” เธอเป็นกังวล เธอยังไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลย
หะ?! “มู่หรงเสวี่ย!!! เธอกำลังอยู่กับใคร? ผู้ชายงั้นเหรอ? เธอมีคนอื่นงั้นเหรอ?”
น้ำเสียงระดับ 100 ดังคำรามออกมาจากปลายสาย มู่หรงเสวี่ยเบลอไปหมด สามคำนี้หมายความว่ายังไง? คุณชาย นี่เขาปัญญาอ่อนหรือไงกัน? หรือว่าสมองมีปัญหา? เขายังมีอารมณ์มาคิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง “เปล่า ฉันเจอเพื่อนเฉยๆ เดี๋ยวฉันจะกลับแล้ว แค่นี้นะคะ บายค่ะ!” แล้ววางสายไป!

“ฮัลโหล! ฮัลโหล! ฮัลโหล!” ชางกวนโม่กระแทกโทรศัพท์อย่างดัง บ้าเอ๊ย!
เมื่อกดวางสายหัวใจของมู่หรงเสวี่ยเต้นรัวกว่าเดิม
“เธออายเหรอ ขอโทษนะ…” ชางกวนหลินขอโทษพร้อมรอยยิ้ม
เดิมทีมู่หรงเสวี่ยไม่ค่อยพอใจแต่ตอนนี้ต้องเปลี่ยนความคิดในทันที…ทำไมอีกคนถึงได้สุภาพขนาดนี้…บางทีเธออาจจะไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะคุยกับคนอื่น ถึงแม้เมื่อคิดแล้วเขาจะเป็นคนที่พาเธอมา แต่เขาก็กลับขอโทษเธออย่างสุภาพ ใช่ไหม?! อีกอย่างเขาเพียงแค่นอนอยู่บนหญ้าและเล่าเรื่องเกี่ยวกับชางกวนโม่…เธอลืมเรื่องนี้ไม่ได้เลย