วันนั้นที่ย้ายเข้ามาในบ้านใหม่ ซูซีก็โพสต์อวดอย่างภาคภูมิรูปภาพประกอบเป็นบรรยากาศด้านนอกของตัวบ้าน แล้วยังมีประโยคที่ลึกซึ้งอีกว่า ผ่านมาหลายปีแล้วฉันถึงได้มองเห็นว่าคุณถึงเป็นคนนั้นที่รักฉันมากที่สุด
การกระทำของซูซีนั้นก็ทำให้เธอติดการค้นหายอดนิยม
เบลซติดคุก ได้ยินมาว่าคนที่อยู่เหนือไปกว่าเขานั้นก็เกิดเรื่องขึ้น ดังนั้นทุกคนต่างพากันนึกว่าตระกูลโดโนแวนนั้นจะจบสิ้นกันคราวนี้ ซูซีไม่มีทางรอดแล้ว คิดไม่ถึงว่าเธอจะไม่ได้ไปนอนอยู่ข้างนอกอย่างน่าเวทนา แต่กลับเข้าไปอยู่ในบ้านหลังใหญ่เสียด้วยซ้ำแล้วไหนยังจะคำพูดลึกซึ้งอีก
เรื่องให้เผือกมากขนาดนี้ ทุกคนไม่เผือกยังไงไหว คนที่วิพากษ์วิจารณ์เยอะมาก ซูซีก็ให้ติดการค้นหายอดนิยมอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่ช้าก็มีคนแคปหน้าโพสต์ของซูซี เธอก็ตอบคอมเม้นต์ของเพื่อน เฮ้อ คนนั้นที่ฉันบอกรักเป็นอดีตแฟนของฉันเอง เขาตั้งใจกลับมาจากต่างประเทศเพื่อช่วยฉัน ฉันซาบซึ้งมากก็เลยพูดซะหน่อย
พอคอมเม้นต์นี้ออกไปก็ไปกระตุ้นกลุ่มชอบเผือกให้คอมเม้นต์อย่างบ้าคลั่ง
ทุกคนต่างก็คิดไม่ถึงว่าคนที่มาช่วยซูซีนั้นจะเป็นอดีตแฟนก็ให้พูดด้วยความรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมากว่ารักแท้ไม่ข้องเกี่ยวสิ่งใด
นานิโทรศัพท์หาหลินจือ กัดฟันด่าว่า “อดีตแฟนของนังซูซีนั่นเป็นบ้าอะไร? เขาตาบอดหรอถึงได้ดีกับนังซูซีที่แรดเงียบนั่นเหลือเกิน?”
แต่ไหนแต่ไรนิสัยของนานิรักเกลียดก็แสดงออกมาชัดเจน หลินจือหัวเราะพูดปลอบเธอว่า “ผู้หญิงที่ต่อให้เลวแค่ไหนก็มีคนรักนะ”
นานิพูดด้วยความโกรธว่า “ผู้หญิงขยะแบบนังซูซีนั่นไม่เหมาะให้มีคนรักหรอ!”
นานิก็พูดอย่างกลุ้มใจขึ้นมาอีก “ฉันนี่เห็นภาพนังซูซีในตอนนี้เลยว่ามันกำลังยิ้มอย่างภาคภูมิ เดี๋ยวอีกไม่กี่วันพวกเราก็จะมีงานเลี้ยงตอนค่ำไม่ใช่หรอ ฉันไม่อยากเจอมันเลยสักนิด”
ใกล้จะสิ้นปีพวกอุตสาหกรรมภาพยนตร์และโทรทัศน์ต่างมีพิธีงานมอบรางวัลและงานเลี้ยงการกุศล นานิเป็นนักแสดงหญิงยอดฮิตแน่นอนว่าต้องอยู่ในแถวที่ถูกเชิญแน่นอน ปีนี้หลินจือก็ถูกเชิญมาเยอะด้วยเพราะได้ฉายแววอยู่ในวงการเขียนบทบวกกับความสัมพันธ์ของจอร์แดนด้วย
แต่หลินจือเลือกที่จะเข้าร่วมเพียงแค่หนึ่งงาน เพราะงานนี้ถือว่าครูสเป็นเจ้าภาพหลัก เธอต้องให้เกียรติครูส
เธอพูดปลอบนานิด้วยเสียงที่อ่อนโยนว่า “ใจเย็น พวกเราไม่ต้องไปสนใจเขาก็พอ”
นานิพูดอย่างโมโหว่า “แล้วเกี๊ยวน้ำที่เธอทำไว้ให้ฉันครั้งที่แล้วล่ะ? ตอนนี้ฉันโมโหแทบบ้าต้องกินของอร่อยเพื่อคลายอารมณ์”
หลินจือพูดอย่างยากลำบากว่า “ถ้าฉันบอกว่าเทาเท่กินหมดแล้วจะเป็นไรมั้ย?”
นานิโมโหอย่างสุดขีด “เขาเป็นหมูหรอ? กินซะขนาดนั้น!”
หลินจือพูดง้อเธอว่า “เดี๋ยวฉันคอยทำให้เธอนะ ครั้งนี้จะเป็นของเธอหมดเลย”
นานิถึงคลายโมโหไป “อย่างนี้ค่อยคุยกันได้หน่อย”
หลินจือเพิ่งวางสายจากนานิไปก็ฟังเทาเท่พูดอย่างรู้สึกไม่พอใจว่า “นานินิสัยแบบนี้ แม่ของนัตสึยอมให้เธอเข้าบ้านสิแปลก”
เรื่องคนในใจของนานิคือนัตสึ พวกเทาเท่ต่างให้รู้ดี
ตระกูลมัสตะเป็นตระกูลเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง มีการสืบทอดความรู้และวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามจากรุ่นสู่รุ่น นานิเป็นผู้หญิงที่ใช้ความงามมาอยู่ในวงการบันเทิงอย่างนี้ ตระกูลมัสตะอาจจะไม่ชอบและก็ได้ยินมาว่าไม่ชอบจริงๆ ในปีนั้นคุณแม่นัตสึเลยได้มาแยกทั้งคู่
หลินจือถอนหายใจเบาๆ “ไม่ต้องแม่ของเขาหรอก นัตสึได้ฆ่าโทษเธอไว้แล้ว ตอนนี้เขาเกลียดเธออยู่นะ”
เทาเท่มีความรู้สึกอยากจะพูดอะไรต่ออีก แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา เลยพูดสั้นๆว่า “คงไม่ขนาดนั้นมั้ง”
หลินจือเงยหน้ามองเขา ถามด้วยความสงสัยว่า “คุณสนิทกับนัตสึหรอ?”
เทาเท่ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่รู้จัก”
แม้ว่าเขาจะไม่เคยเจอกับนัตสึ แต่ก็รู้ดีว่าในส่วนของต้นทุนของวงการภาพยนตร์และโทรทัศน์นั้นจริงๆแล้วมีนักลงทุนยักษ์ใหญ่ที่ไม่เปิดเผยตัวอยู่
ตามที่เทาเท่ได้รู้นั้นยักษ์ใหญ่คนนั้นอยู่ที่ต่างประเทศ ชื่อจริงๆคืออะไรไม่รู้ รู้แต่แค่สกุลมัสตะ
สิ่งที่น่าแปลกคือละครที่เยอะแยะมากมายของนักลงทุนยักษ์ใหญ่อย่างสกุลมัสตะคนนี้ได้ให้นานิเข้าร่วมแสดงด้วย ไม่รู้ว่าเจตนาที่จะปูทางให้นานิอย่างลับๆหรือว่าให้ความสำคัญกับศักยภาพของนานิเท่านั้น
ตอนที่นานิยังไม่ได้ดัง ยักษ์ใหญ่คนนี้ก็ลงทุนละครที่เธอเข้าร่วมแสดง ต่อให้บทที่เธอเล่นนั้นจะเป็นแค่ตัวประกอบเล็กๆก็ตาม
ดังนั้นเทาเท่เลยสงสัยว่าคนลงทุนผู้ลึกลับคนนั้นก็คือนัตสึ
แต่นี่ก็เป็นแค่ความสงสัยของเขาเท่านั้น ไม่ได้มีข้อมูลที่แน่ชัดเขาก็ไม่มีทางที่จะบอกความสงสัยของตัวเองกับหลินจือ
หลินจือไม่ได้พูดว่าอะไรอีก เธอกับนานิไม่รู้ตัวบุคคลหรือเรื่องราวเหล่านั้นที่อยู่ในโลกของเงินทุน ดังนั้นพวกเธอเลยไม่เคยสงสัยว่านัตสึจะลงทุนในวงการบันเทิง
หลักๆก็เป็นเพราะตระกูลมัสตะมีการสืบทอดความรู้และวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามจากรุ่นสู่รุ่น แทบไม่มีใครหันมาทำธุรกิจ ส่วนมากคนของตระกูลมัสตะโลดแล่นในวงการวิชาการ และนัตสึที่ท่าทางคร่ำเรียนอย่างนั้นก็ไม่เหมือนนักลงทุน
หลินจือกับนานิคิดไว้แล้วว่าจะต้องมาเจอซูซีในงานเลี้ยงตอนค่ำ และก็คิดไว้แล้วว่าซูซีต้องมีท่าทางภาคภูมิใจเหลือล้น แต่พวกเธอต่างคิดไม่ถึงว่าซูซีจะมีแผนร้ายอีกครั้ง
หลังจากที่งานเริ่มแล้วหลินจือก็ไม่ได้ใกล้ชิดอะไรกับซูซี ต่อมาหลินจือได้ไปเข้าห้องน้ำ ตอนที่ออกมาก็เห็นซูซียืนรอที่ปากบันไดตรงนั้น
ใบหน้าของหลินจือไม่ได้แสดงอาการอะไรและเตรียมตัวที่จะไป เธอยอมรับว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทักทายกับซูซี
ซูซีที่เดินใส่ลงเท้าส้นสูงนั้นหลับหันมาขวางหน้าของหลินจือ หลินจือถอยหลังไปอย่างระมัดระวังแล้วถามเธออย่างไม่พอใจว่า “มีเรื่องอะไร”
ไม่รู้ว่าทำไม หลินจือรู้สึกว่าตอนที่ซูซีหันตัวกลับมานั้น สีหน้าถึงมีความซีดเซียว
แต่เธอยังคงรักษาท่าทางทะนงของเธอเองเอาไว้ได้ ยืนกอดอกมองไปทางหลินจือและพูดว่า “หลินจือ แกคงโมโหแทบบ้าใช่ป่ะ?”
หลินจือหัวเราะขึ้นมา “ฉันมีอะไรให้ต้องโมโห?”
ซูซีพูดน้ำเสียงไม่พอใจ “แกโมโหที่ฉันไม่ได้ถูกพวกแกเหยียบจนมิดนั่นสิ โมโหที่ฉันมีอดีตแฟนที่มาช่วยฉันในยามลำบาก”
หลินจือเข้าใจจึงพูดให้ตรงจุดมากขึ้น “เธอคงคิดว่าฉันจะอิจฉาความรักที่สวยงามเหมือนเทพนิยายของเธอน่ะสินะ”
ซูซีพูดอย่างภาคภูมิ “ก็ใช่น่ะสิ”
หลินจือรู้สึกขำมาก “แต่ฉันก็มีอดีตสามีที่ช่วยฉันในยามลำบากครั้งแล้วครั้งเล่านะ”
หลินจือพูดทับอีกในขณะที่ซูซีใบหน้าแข็งทื่อ “อีกอย่างนะอดีตสามีคนนั้นยังเป็นผู้ชายที่เธอพยายามใช้แผนการก็แล้วแต่ไม่ได้เขามาอีกด้วย เธอว่าฉันจะอิจฉาอะไรเธอล่ะ?”
“คงเป็นเธอไม่ใช่หรอที่ควรอิจฉาฉัน?”
“แก….” ซูซีโดนคำพูดของหลินจือเข้าไปทำให้พูดไม่ออก
อาจจะเป็นเพราะรูปลักษณ์ภายนอกของหลินจือนั้นเป็นลวงตาที่ให้คนคิดว่าน่าอ่อนแอรังแกง่าย ซูซีถึงกับลืมว่าตัวเองครั้งนึงนั้นเคยถูกหลินจือปะทะอย่างเหี้ยมโหดมาแล้ว
หลินจือเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ซูซี หลังจากพวกเราไม่ต้องมาล้ำเส้นกัน ขอให้ดูแลตัวเองให้ดี!”
การยั่วยุของซูซีนี้ไม่ได้ทำให้หลินจือโกรธ แต่กลับทำให้เธอโกรธขึ้นมาเอง
เธอจ้องมองหลินจือกัดฟันกรอดๆ “ไม่ต้องมาล้ำเส้นหรอ?”
“แกฝันไปเถอะ!” พอซูซีพูดจบสีหน้าก็ให้เปลี่ยนเป็นร้ายทันที หลินจือยังไม่ทันตอบสนองอะไรก็เห็นซูซียื่นมาจับที่เธอแล้วตะโกนร้องเสียงดังว่า “หลินจือ เธอผลักฉันทำไม?”
หลินจือรู้สึกว่าซูซีแปลก เพิ่งจะยกมือมาสลัดเธอไป แต่ซูซีนั้นเอาตัวเธอเองเดินถอยหลังไป ข้างหลังของเธอเป็นบันไดชั้นสอง แต่ซูซีก็ไม่สนอะไรกลิ้งตกลงไปทั้งอย่างนั้นเลย