หลินจือตกใจกับฉากที่เกิดขึ้นนั้น ร่างเต็มไปด้วยเหงื่อ
ซูซีตกลงไปก็ให้สลบไปทันที หน้าผากถูกกระแทกมีเลือดไหลไม่หยุด ภาพนั้นสยดสยอง
หลินจือให้เข้าใจแล้วว่าทำไมตอนที่ซูซีหันหลังให้กับบันไดนั้นถึงสีหน้าซีดเซียว ตัวซูซีรู้อยู่แล้วว่าการตกลงไปอย่างนี้มันเจ็บสาหัสมากเพียงใด ในใจก็ให้รู้สึกหวาดกลัว
แผนนี้ทำให้ตัวเองเจ็บสาหัส หลินจือไม่เข้าใจว่าทำไมซูซีถึงต้องทำอย่างนี้
ในเมื่ออดีตแฟนของเธอก็ได้ช่วยเธอในยามยากแล้ว ทำไมเธอไม่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับอดีตแฟนไม่ต้องมาก่อเรื่องอีก
เพราะซูซีเลยตกลงไปแล้วสลบเลย และเป็นเพราะก่อนหน้านี้เธอร้องตะโกนว่าหลินจือผลัก ดังนั้นคนที่เข้ามาร่วมงานเลี้ยงตอนค่ำก็ต่างพากันมาล้อมรอบ มีคนแจ้งตำรวจแล้วก็มีคนต่อว่าหลินจือว่าทำไมถึงลงมืออย่างโหดเหี้ยมอย่างนี้
ผลักซูซีตกลงบันไดจากที่สูงอย่างนี้ นี่อยากให้ซูซีตายชัดๆ
วินาทีแรกสายตาของผู้คนที่มองมาทางหลินจือนั้นมีความซับซ้อนขึ้น พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าเด็กผู้หญิงที่ดูเหมือนอ่อนโยนมีเมตตานั้นจะใจอำมหิตขนาดนี้
ถึงแม้ว่าซูซีจะเป็นคนน่ารังเกียจเพียงใด เธอก็จะมาทำร้ายอย่างนี้ไม่ได้นะ
หลินจือรู้สึกถึงความเข้าใจผิดที่อยู่ในสายตาของผู้คน เธอยืนอยู่กับที่และพูดล้างมลทินให้ตัวเองอย่างไม่ทำให้ตัวเองนั้นดูต้อยต่ำ “ฉันไม่ได้ผลักเขา เขาเป็นคนมาจับฉันก่อนและตัวเขาก็ตกลงไปเอง”
ในกลุ่มผู้คนนั้นมีคนพูดขึ้นว่า “มีใครจะคิดแผลงๆอย่างนี้ให้ตัวเองกลิ้งตกลงมาจากบันไดที่สูงออกอย่างนั้น หรือเขาไม่กลัวตายเลยหรอ?”
หลินจือยิ้มอย่างเยือกเย็นก็มีคนคิดแผลงๆอย่างนี้แหละ เพื่อให้เธอนั้นได้รับโทษทางกฎหมายว่าเจตนาทำร้ายคนอื่น เลยยอมก่อเรื่องอย่างนี้ดีกว่า
ผู้คนที่มาล้อมรอบไม่เชื่อคำพูดของหลินจืออยู่แล้ว แต่หลินจือก็ไม่ได้ลุกลี้ลุกลน เธอยืนตัวตรง เธอไม่ได้ทำผิดอะไรไม่มีอะไรให้ต้องลุกลี้ลุกลน
นานิรีบวิ่งเข้ามาจากกลุ่มผู้คน และถามหลินจือด้วยใบหน้าซีดเซียวว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
หลินจือเล่าเรื่องคร่าวๆให้นานิฟัง นานินั้นเชื่อหลินจืออยู่แล้ว เธอโมโหสุดขีด
มองซูซีที่นอนเป็นสลบไปอยู่กับพื้น นานิมีใจที่อยากจะเข้าไปเหยียบซูซีให้ตาย เธอแค่ออกไปรับโทรศัพท์เอง ซูซีก็มาใส่ร้ายหลินจือ
ประสาทจริงๆ!
หลินจือห้ามนานิทันที “รอให้ตำรวจมาดีกว่านะ”
ตอนนี้สายตาจำนวนมากจับจ้องพวกเธออย่างนี้ พวกเธอจะผิดพลาดอะไรอีกไม่ได้แม้สักนิดเดียว
ครูสได้ยินลาดเลาทางนี้ก็ให้รีบตามเข้ามา เธอยืนอยู่ต่อหน้าหลินจือและนานิเพื่อป้องกันสองสาวนี้ “หลินจือเป็นเป็นลูกศิษย์ของผม ผมรับประกันได้เลยว่าเธอไม่วันจะทำเรื่องร้ายๆอย่างนี้แน่นอน ทุกคนแยกย้ายก่อน เรื่องนี้มอบให้เป็นหน้าตำรวจก็พอค่ะ”
ขณะที่ครูสให้ผู้คนแยกย้ายกันไปนั้น ตำรวจกับรถฉุกเฉินก็เข้ามา ซูซีถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล หลินจือกลับถูกตำรวจพาไปสอบปากคำ
เทาเท่ไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงตอนค่ำด้วย เพราะหลินจือไม่อยากให้ตัวพวกเขาเข้าร่วมกันเพื่อกระตุ้นความสนใจของผู้คน บวกกับเทาเท่ก็ได้จัดการหาบอดี้การ์ดให้เธอถึงสองคน เขาก็เลยไม่ได้ตามมา
บอดี้การ์ดทั้งสองคนก็คิดไม่ถึงว่าซูซีจะใช้วิธีการนี้ใส่ร้ายหลินจือ
ครั้งนี้ร่างของหลินจือไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่ชื่อเสียงของเธอในตอนนี้ก็ถูกซูซีทำลาย
เมื่อซูซีบอกว่าหลินจือเจตนาทำร้ายเธอ งั้นโทษที่จะได้รับก็ไม่เบาแน่นอน
เทาเท่กำลังอยู่ในทางที่จะไปสถานีตำรวจ เขาได้โทรหานทีบดีให้เขารีบกลับประเทศให้เร็วที่สุดเพื่อรับผิดชอบคดีของหลินจือ
หลังจากที่ตามมาถึงสถานนีตำรวจแล้ว บอดี้การ์ดทั้งสองก็ต่อว่าตัวเองไม่หยุด เทาเท่ไม่ได้โทษพวกเขา แผนการของซูซีนั้นชั่วช้าและต่ำทราม ใครต่างก็คิดไม่ถึงด้วยกันทั้งนั้น
มีช่วงแวบนึงเทาเท่อยากที่จะให้ซูซีที่ตกลงมานั้นตายเข้าจริงๆ เพื่อไม่ให้เธอไปหาเรื่องใครได้อีก
แม้ว่าตัวนทีบดีจะอยู่ที่ต่างประเทศ แต่ว่าเขายังส่งทนายที่มีความสามารถที่สุดในสำนักงานตัวเองไปสถานีตำรวจเป็นเพื่อนเทาเท่ เพื่อประกันตัวหลินจือออกมา
ในเวลานี้ซูซีได้ฟื้นคืนสติอยู่ในโรงพยาบาลแล้ว บนร่างของเธอเต็มไปด้วยแผลที่ตกลงมาจากบันได แล้วยังมีอาการไขสันหลังถูกกระทบอย่างแรง และเวลาแรกเธอก็โพสต์ผ่านไกรภพอดีตแฟนเก่าของเธอว่าตอนนี้หลินจืออิจฉาเธอที่ได้ครอบครองทุกอย่างและบวกกับความแค้นที่มีกับเธอในอดีตก็เลยลงมือทำร้ายเธอ ผลักเธอตกลงบันได
ซูซียังคงโพสต์ผลการตรวจของตัวเองและบอกว่าจะฟ้องหลินจือเข้าคุกให้ได้
เพราะสิ่งที่ซูซีได้รับนั้นมันน่าเวทนาอย่างเหลือทน ดังนั้นบนอินเทอร์เน็ตก็ให้ด่าหลินจือยกใหญ่ต่างก็พูดว่าหน้าใสซื่อแต่ใจร้ายกาจ
ตอนที่หลินจือตามเทาเท่ออกมาจากสถานีตำรวจ ข้างนอกต่างรุมล้อมด้วยนักข่าว
หลินจือถูกเทาเท่ป้องเอาไว้ในอ้อมกอด บอดี้การ์ดทั้งสองยืนอยู่ด้านหน้าเพื่อเปิดทาง ทนายจากสำนักของนทีบดีก็เดินอยู่อีกข้างของหลินจือเพื่อกันนักข่าวที่อยู่ด้านข้าง
“คุณหลินจือคะ ขอถามหน่อยค่ะเรื่องที่คุณผลักซูซีจริงมั้ยคะ?”
“ตกลงว่าตอนนั้นพวกคุณทั้งสองเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ซูซีบอกว่าจะฟ้องคุณเข้าคุก คุณมีความคิดเห็นกับเรื่องนี้ยังไงคะ?”
นักข่าวถามคำถามติดกันเป็นพืดๆ ช่วงเท้าของหลินจือก็สั่นแต่เธอก็กัดริมฝีปากยืนนิ่งอยู่กับที่ และยกมือขึ้นดึงแขนเสื้อของเทาเท่เพื่อบอกกับเขาเป็นนัยว่าตัวเองต้องการจะพูด
เทาเท่หยุดลงทันใด แขนที่กำยำนั้นโอบกอดเธอไว้อย่างแข็งขัน
หลินจือมองไปที่พวกนักข่าวนั้นและพูดอย่างกระชับรวบรัดว่า “ฉันจะพูดชัดๆอีกครั้งนะคะว่าฉันไม่ได้ผลักซูซี ใครทำฟ้าดินเห็น ฉันจะยอมรับอย่างนี้”
ตอนที่เรื่องเพิ่งเกิดหลินจือยังมีความรู้สึกตะลึง แต่ว่าตอนนี้เธอใจเย็นลงไปแล้ว เธอไม่ได้ทำเรื่องที่โหดเหี้ยมอย่างนั้นก็เลยให้มั่นอกมั่นใจมาก
“ฉันเชื่อความยุติธรรมและความตรงไปตรงมาของกฎหมาย และก็เชื่อว่ากฎหมายจะคืนความเป็นธรรมให้กับฉัน” หลังจากที่หลินจือพูดจบก็ก้มหน้าอยู่ในการดูแลของเทาเท่และเดินจากไป
หลังจากที่เข้ามานั่งในรถและรถได้เคลื่อนออกไปแล้ว ทนายของสำนักนทีบดีก็หันมาพูดกับเทาเท่และหลินจือว่า “ผมเพิ่งได้รับข้อมูลจากทางตำรวจ เรื่องนี้มันค่อนข้างจัดการยากนะครับ”
“ตำรวจบอกว่าพวกเขาไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดของโรงงานที่จัดงานเลี้ยง กล้องวงจรปิดทั้งหมดที่ถ่ายให้เห็นมุมของคุณหลินจือที่อยู่ในตอนนั้นได้ถูกทำลายทั้งหมด ไม่มีหลักฐานพิสูจน์อะไรเลยครับ”
“ตอนนี้ซูซีเป็นผู้เคราะห์ร้าย คำพูดของเธอเป็นหลักฐานเดียวเท่านั้นครับ”
ตอนนี้ซูซียืนยันว่าหลินจือเจตนาผลักเธอ ในสถานการณ์ที่ไม่มีหลักฐานอะไร หลินจือก็เถียงไม่ขึ้น
คำพูดของทนายทำให้ใบหน้าของหลินจือซีดเซียวลง เธอเพิ่งพูดล้างมลทินให้กับตัวเองไปว่าเธอไม่ได้ผลักซูซี ตอนนี้ดูเหมือนว่าซูซีวางแผนไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว
ถ้าเธอไม่หาหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง งั้นโทษทางกฎหมายที่ว่าเธอเจตนาทำร้ายผู้อื่นก็สำเร็จ ถึงเวลานั้นเธอไม่เพียงแต่จะเสื่อมเสียชื่อเสียงแต่ยังต้องเผชิญกับการเข้าคุกด้วย
เจตนาทำร้ายผู้อื่นไม่ใช่เรื่องเล็กเลย มันเป็นคดีอาญา
หลินจือสูดหายใจเข้า
เทาเท่พอเห็นหน้าเธอจากสถานีตำรวจก็จับมือเธอไว้ตลอด ในเวลานี้รู้สึกถึงความหวดกลัวของเธอ เลยเอาเธอมาไว้ในอ้อมกอดแล้วพูดว่า “ไม่ต้องกลัว พวกเราจะต้องหาหลักฐานเจอแน่”
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะต้องปกป้องเธอให้ดี