ภาคใต้ฟ้ากว้างใหญ่ บทที่ 44 ท่านได้มันไปแล้ว! (3)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

สายตาของตงฟางเจ๋อไหวระริก จ้องดวงตาอันสุกสกาวดุจดวงดาราของนาง รอยยิ้มสดใสดุจบุปผาบาน เขาเอื้อมมือเด็ดดอกหลี แล้วเสียบไว้ในเรือนผมนางเบาๆ จากนั้นก็ลูบดวงหน้านาง แย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “ข้าน้อยตงฟางเจ๋อ หลงรักคุณหนูตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น ลุ่มหลงงมงายจนเก็บไปเฝ้าฝันถึง วันนี้ตั้งใจมาเยี่ยม และมอบป่าดอกหลีให้เป็นของขวัญ หวังจะได้รับความรักจากคุณหนู!”

ซูหลีอดหัวเราะไม่ได้ นางเดินเข้าไปในอ้อมแขนเขา หัวใจอบอุ่นดุจสายน้ำ พึมพำเสียงเบาว่า “ท่านได้มันไปแล้ว”

วันเวลาราวกับเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ปัดสิ่งเลวร้ายทั้งหมดในอดีตให้จางหายไปจนสิ้น นางลดกำแพงในใจลง และใกล้ชิดกับเขาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ตงฟางเจ๋อกอดนางแน่น จูบขมับนาง แล้วกล่าวว่า “ได้สมบัติล้ำค่าเช่นนี้มาครอง เจ๋อจะเก็บรักษาอย่างดี ไม่ทำให้คุณหนูผิดหวังแน่นอน”

ซูหลีหลับตา แล้วกอดตอบเขาแน่นกว่าเดิม

ท่ามกลางป่าดอกหลี ริมฝั่งทะเลสาบน้ำตื้น คู่รักโอบกอดกันอย่างเงียบงัน ช่วงเวลาอันสงบสุขและล้ำค่านี้ งดงามเสียจนไม่อาจบรรยาย

“ฝ่าบาท! ผู้บัญชาการกู้แห่งวังหลวงติ้งมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”

ขณะที่ทั้งสองกำลังพลอดรักกันอย่างดื่มด่ำ เสียงของเซิ่งฉินก็พลันดังมา

“กู้เซี่ยงเทียน?” ซูหลีรีบผละออกจากอ้อมกอดของตงฟางเจ๋อ ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “เขามาหาที่นี่ จะต้องมีเรื่องสำคัญแน่ๆ!”

กู้เซี่ยงเทียนสาวเท้าเข้ามาอย่างเร่งรีบ ไม่นานก็มาถึง ครั้นเห็นซูหลีก็รีบคุกเข่า แล้วน้อมส่งฎีกาขึ้นมา ตราประทับสีแดงสะดุดตาแสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน

“ทูลฝ่าบาท เกิดเหตุเร่งด่วนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ซูหลีรีบเปิดอ่านอย่างรวดเร็ว อารมณ์หอมหวานผ่อนคลายก่อนหน้านี้ พลันมลายหายไปในพริบตา

ตงฟางเจ๋อถาม “เกิดอะไรขึ้น?”

ซูหลีปิดฎีกา แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าหนักใจ “สะพานหินขาวที่มุ่งหน้าสู่เมืองหลิงโจวถล่มลงมา ขบวนบรรเทาสาธารณภัยที่นำโดยเสิ่นเจี้ยนอันติดอยู่ที่ริมสะพานหินขาว…”

นางค่อยๆ เงยหน้า ตงฟางเจ๋อยืนอยู่ริมฝั่งด้วยร่างกายสูงเพรียว ด้านหลังคือทะเลสาบสีเขียวมรกต ดอกไม้สีขาวนับหมื่นส่องสะท้อนบนผิวน้ำที่ใสดุจกระจก ราวกับสวนดอกหลีบนสวรรค์ แต่นางกลับไม่มีแก่ใจชื่นชม ลึกๆ ในใจอดเศร้าโศกไม่ได้ ช่วงเวลาอันงดงามของนางกับเขามักแสนสั้นเช่นนี้เสมอ

ซูหลีถอนหายใจ เอ่ยอย่างรู้สึกผิดว่า “ข้าต้องกลับแล้ว”

“ช้าก่อน” ตงฟางเจ๋อรั้งนาง “เจ้าคิดจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร?”

ซูหลีส่ายหน้า สะพานหินขาวมั่นคงแข็งแรงมาโดยตลอด จู่ๆ ก็ถล่มลงมาอย่างไม่คาดคิด เกรงว่าจะไม่สามารถหาทางแก้ไขได้โดยเร็ว นางมองตงฟางเจ๋อ สีหน้าของเขาสุขุมเยือกเย็น ยืนเอามือไพล่หลัง คล้ายไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้เลย นางจึงอดรู้สึกสงสัยไม่ได้

ตงฟางเจ๋อเดินเข้ามา แล้วพูดกับนางว่า “วันนี้หลังจากว่าราชการช่วงเช้า ข้าก็ได้รับฎีกาเร่งด่วนเหมือนกัน ถนนที่มุ่งหน้าสู่เมืองจิ้นหยางถูกหินขนาดใหญ่บนหน้าผากลิ้งตกลงมาขวางทาง เส้นทางน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง ยากจะขนส่งเสบียงอาหาร สถานการณ์คล้ายกับที่เจ้าพูดเมื่อครู่”

ซูหลีตกตะลึง “เหตุใดท่านจึงไม่รีบบอกเล่า?”

เขายังคงพูดด้วยน้ำเสียงใจเย็น “เรื่องนี้แม้จะเร่งด่วน แต่ก็ไม่ด่วนถึงเพียงนั้น”

ซูหลีอดขมวดคิ้วไม่ได้ แต่ว่า…ขบวนบรรเทาสาธารณภัยถูกขัดขวาง ชาวบ้านผู้ประสบภัยที่เขตชายแดนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ในฐานะกษัตริย์ ควรจะทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อหาทางแก้ไขปัญหา ไม่ควรมาเที่ยวเล่นผ่อนคลายอยู่ที่นี่ นางรู้สึกผิดลึกๆ ข้างใน แต่ทว่า ครั้นครุ่นคิดอีกที ตงฟางเจ๋อมิใช่คนที่จะมองข้ามความความมั่นคงของบ้านเมืองและชีวิตของชาวบ้าน เขาวางเรื่องเร่งด่วนของบ้านเมืองไว้ก่อน แล้วพานางมาที่นี่ จะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน

ตงฟางเจ๋อกุมมือนางเบาๆ แล้วเอ่ยปลอบโยนว่า “ยิ่งเป็นสถานการณ์คับขัน ยิ่งต้องผ่อนคลายเข้าไว้ มีเพียงต้องตั้งสติให้มั่น จึงจะไม่ถูกผู้อื่นจูงจมูกเดิน”

นัยน์ตาลึกล้ำ คล้ายมีพลังที่มองไม่เห็นอยู่ขุมหนึ่ง ปลอบโยนอารมณ์ที่กำลังร้อนรุ่มของนาง ซูหลีกล่าวอย่างครุ่นคิด “ท่านหมายถึง…จั้นอู๋จี๋?” ถึงแม้จะเป็นประโยคคำถาม แต่ในใจนางกลับมีคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว

ตงฟางเจ๋อเดินทอดน่องริมทะเลสาบไปพร้อมกับนาง เขาเดินไปพลาง พูดไปพลาง “ในเมื่อเขาก่อเหตุจลาจลที่ชายแดน มีหรือจะไม่คิดแผนสำรองไว้ ข้าได้รับการรายงานเร่งด่วนจากหยวนเซี่ยง ก็คิดว่ามิใช่แค่แคว้นเฉิงแน่นอนที่ถูกกีดขวางเส้นทาง ผ่านไปไม่ถึงครึ่งวัน แคว้นติ้งจะต้องได้รับฎีกาแบบเดียวกันอย่างแน่นอน”

ซูหลีไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะบอกว่าเขารู้ทุกอย่างดั่งเทพเซียน หรือมีความคิดยากแท้หยั่งถึงกันแน่ ครึ่งวันที่ผ่านมานี้ เขาดูผ่อนคลายสบายอารมณ์ และทำให้นางลืมเรื่องวุ่นวายใจไปชั่วขณะ ดูไม่ออกแม้แต่น้อยว่าลึกๆ ในใจกำลังขบคิดเรื่องบ้านเมืองอยู่ จำต้องยอมรับว่า ยามเผชิญหน้ากับปัญหา นางยังขาดความใจเย็น และไม่อาจมองภาพรวมได้

ในเมื่อรู้ว่าเป็นฝีมือของจั้นอู๋จี๋ และการซ่อมแซมสะพานหินขาวก็มิใช่เรื่องที่สามารถทำได้ในวันสองวัน ซูหลีจึงใจเย็นลง จากนั้นก็เดินทอดน่องอย่างผ่อนคลายตามเขา นางหันไปมองเขา เห็นเพียงดวงตาของเขาเปล่งประกายดุจเปลวเพลิง ภายใต้ท้องฟ้าอันปลอดโปร่ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น ราวกับไม่เคยหวั่นเกรงต่อเรื่องใดในโลกนี้

ซูหลีเอ่ยพลางครุ่นคิด “ใช่แล้ว สะพานหินขาวไม่มีทางถล่มลงมาอย่างไร้สาเหตุ จะต้องเป็นฝีมือของใครคนหนึ่ง ที่ต้องการชะลอความช่วยเหลือจากขบวนบรรเทาสาธารณภัยไม่ให้ไปถึงพื้นที่ประสบภัยอย่างแน่นอน…แต่เขาถ่วงเวลาไปเพื่ออะไรเล่า? หรือว่า…” นางหยุดฝีเท้า แล้วเงยหน้าด้วยความตกตะลึง “เขากำลังรอฟังข่าวจากแคว้นเปี้ยน?!”

ตงฟางเจ๋อมองนางด้วยสายตาชื่นชม แค่บอกใบ้เล็กน้อย นางก็มองภาพรวมออกหมดแล้ว “ถึงแม้แผนการชั่วที่จั้นอู๋จี๋ตั้งใจเล่นงานข้ากับเจ้าจะถูกเปิดโปงแล้ว แต่ขอเพียงหยางจิ้นชิงบัลลังก์สำเร็จ หยางเซียวตกอยู่ในกำมือพวกเขา พวกเขาก็จะบีบบังคับเจ้าได้ เมื่อถึงยามนั้น จั้นอู๋จี๋ยึดครองเมืองหวั่น สถาปนาให้กลับไปเป็นแคว้นหวั่น ยึดเมืองหลิงโจว เมืองจิ้นหยางเพื่อใช้เป็นแนวป้องกันให้แคว้นหวั่น ข้ากับเจ้าก็ไม่อาจทำอะไรได้”

“เช่นนี้ก็หมายความว่า พวกเราต้องหาทางขัดขวางไม่ให้แผนร้ายของเขาสำเร็จ”

“เจ้ามีความคิดใดหรือไม่?” ตงฟางเจ๋อถาม

ซูหลีนิ่งคิด แล้วกล่าวว่า “สะพานหินขาวถล่ม เส้นทางเดียวที่สามารถมุ่งหน้าสู่เมืองหลิงโจวได้มีเพียงต้องอ้อมผ่านภูเขา แต่เส้นทางนั้นทั้งสูงชันและอันตราย เดิมเพียงกองทัพใหญ่ใช้เส้นทางนั้นก็ถือว่าเสี่ยงอันตรายมากแล้ว รถม้าขนส่งเสบียงไม่สามารถสัญจรผ่านไปได้อยู่แล้ว…แผนรับมือในยามนี้ มีเพียงต้องเรียกตัวเซี่ยอวิ๋นเซวียนเข้าวัง แล้วดูว่าจะสามารถสร้างรถม้าที่สามารถวิ่งบนภูเขาสูงชันเพื่อแก้ปัญหาได้หรือไม่”

ตงฟางเจ๋อส่ายหน้า “วิธีที่เจ้าคิดนั้นดีมาก แต่เวลาคับขัน อาจไม่ทันการณ์”

“แต่นอกจากวิธีนี้ ข้าก็คิดวิธีอื่นไม่ออกอีกแล้ว…” ซูหลีปวดหัว อดยกมือกุมหน้าผากไม่ได้ โดยโม่รู้ตัว ทั้งสองเดินทอดน่องมาได้เกือบครึ่งหนึ่งของทะเลสาบแล้ว ยามนี้พวกเขายืนอยู่บนเส้นทางสู่ตัวอาคารหลักของคฤหาสน์

หญิงงามขมวดคิ้วมุ่น ตงฟางเจ๋อจึงยกนิ้วลูบไล้คิ้วของนาง แย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องคิดมากถึงเพียงนี้”

ปัญหาเร่งด่วนมารอจ่ออยู่ตรงหน้า นางจะไม่คิดมากได้เช่นไรเล่า? ซูหลีดึงมือเขาลง ไม่รู้เพราะเหตุใด นางมักรู้สึกว่าเขามั่นอกมั่นใจเสมอ หรือเขามีแผนการดีๆ?

ซูหลีหมายจะเอ่ยปากถาม จู่ๆ ก็มีคนเดินมารายงานด้วยท่าทางเร่งรีบ “ทูลฝ่าบาท มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

ใครกัน? ซูหลีนึกสงสัย ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้มกว้าง จูงมือนางเดินไปที่ห้องโถงด้านหน้าซึ่งอยู่นอกสวนดอกหลี

ยามก้าวเท้าเหยียบบันไดศิลา ซูหลีพลันตะลึงงันไปทันที

ท่ามกลางห้องโถงใหญ่ มีเงาร่างของชายสูงอายุผู้หนึ่งที่มีสภาพโรยแรงจากการเดินทางไกลยืนอยู่ตรงนั้น ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้า ชายชราค่อยๆ หันกลับมา สายตาพลันเปล่งประกายด้วยความยินดี รีบขานเรียกด้วยน้ำเสียงดีใจ “ซูซู!”

……………………