“เสด็จพ่อ!” ซูหลีตื้นตันใจอย่างไม่อาจควบคุม นางรีบสาวเท้าเดินเข้าไปหา แล้วค้อมกายต่อหน้าหลีเฟิ่งเซียน พลางกล่าวเสียงปนสะอื้น “ถวายบังคมเสด็จพ่อเพคะ!”
หลีเฟิ่งเซียนตกตะลึง รีบประคองนางขึ้น แล้วเอ่ยว่า “เจ้าเป็นถึงฮ่องเต้แล้ว ห้ามก้มหัวให้ผู้อื่นเช่นนี้เด็ดขาด”
ซูหลีส่ายหน้า กล่าวว่า “ไม่ว่าลูกจะฐานะสูงส่งเพียงใด ก็ยังเป็นลูกสาวของเสด็จพ่อเสมอ! บุญคุณที่เสด็จพ่อเลี้ยงดูมา ลูกไม่มีวันลืมแน่นอนเพคะ!” ยังกล่าวไม่ทันสิ้นประโยค ซูหลีก็สะอื้น
ดวงตาของหลีเฟิ่งเซียนรื้นไปด้วยน้ำตา ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ตั้งแต่ที่แยกจากกันอย่างฉุกละหุกที่แคว้นเปี้ยน ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปสี่ปีแล้ว พ่อลูกเจอกันอีกครั้ง ลูกรักของเขากลับกลายเป็นกษัตริย์ไปแล้ว เขาอดกล่าวอย่างทอดถอนใจไม่ได้ “นึกไม่ถึงว่าเจ้ากลับมีสายเลือดของราชวงศ์ติ้ง แล้วยังได้เป็นฮ่องเต้หญิงอีก…หากพบกันในราชสำนัก พ่อยังต้องเรียกเจ้าว่า…ฮ่องเต้แคว้นติ้ง”
ซูหลีละอายใจยิ่งนัก นางเอ่ยเสียงปนสะอื้น “ลูกมิอาจอยู่เคียงข้างเสด็จพ่อทำหน้าที่ลูกกตัญญูได้ ล้วนเป็นความผิดของลูก”
หลีเฟิ่งเซียนลูบผมนาง แล้วยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ลูกสาวของพ่อ ใครกล้าว่าไม่ดี? เจ้าได้ขึ้นครองราชย์ ปกครองแคว้นใหญ่ มีโอกาสได้แสดงความสามารถของเจ้า พ่อภูมิใจในตัวเจ้ายิ่งนัก!
ซูหลีอมยิ้มทั้งน้ำตา เส้นผมตรงขมับของเสด็จพ่อนางหงอกขาวทั้งสองข้าง ใบหน้าซูบผอม แก่ชรากว่าสี่ปีก่อน หัวใจของนางพลันเปรี้ยวฝาดขึ้นมาทันที
ตงฟางเจ๋อเห็นเช่นนั้น ก็กล่าวว่า “เซ่อเจิ้งอ๋องคงเดินทางมาเหนื่อยมาก”
หลีเฟิ่งเซียนจึงเพิ่งตระหนักได้ รีบหันมาค้อมกายทำความเคารพ ตงฟางเจ๋อรีบประคองเขา “เซ่อเจิ้งอ๋องไม่ต้องมากพิธี! คาดว่าของน่าจะมาถึงหมดแล้ว ไปกันเถิด ไปดูด้วยกัน”
ด้านหน้าจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง มีสิ่งของขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่งวางอยู่บนพื้น หุ้มด้านบนไว้โดยผ้าไหมสีแดง เห็นเพียงเสาไม้หนาๆ ไม่กี่ต้นที่โผล่ออกมา
ซูหลีสงสัย “นี่อะไรหรือ?”
ตงฟางเจ๋อสั่งให้คนเปิดผ้าไหมสีแดงออก ซูหลีพลันตะลึงงัน
สิ่งที่อยู่ตรงหน้า จะว่าเป็นรถก็ไม่ใช่ ม้าก็ไม่เชิง ทำจากไม้ ความยาวหกฉื่อ สูงเกินไหล่คน หัวเป็นม้า ตัวเป็นรถ เสาไม้ที่มองเห็นก่อนหน้านี้ ก็คือขาทั้งสี่ข้างของมันนั่นเอง
เซิ่งฉินเดินเข้าไปตบเบาๆ แล้วมันก็ขยับเขยื้อน เท้าทั้งสี่ข้างเคลื่อนที่ไปข้างหน้า และไต่ขึ้นบันไดไป ฝีเท้ามั่นคงและคล่องแคล่ว นั่นก็คือรถม้าเครื่องกลที่นางพูดถึงก่อนหน้านี้!
ซูหลีหันไปมองบุรุษข้างกายด้วยความตกตะลึง “ที่แท้ท่านก็วางแผนไว้แต่แรกแล้ว!”
ตงฟางเจ๋อยกมือส่งสัญญาณ เซิ่งฉินรีบทำให้รถม้าคันนั้นหยุดวิ่งทันที เขาจ้องรถม้าเครื่องกลคันนั้นด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ กระดกคิ้วแล้วกล่าวว่า “ตอนนั้นจั้นอู๋จี๋โชคดีหนีไปได้ จากนั้นเขาก็ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดและวางแผนชั่วมาโดยตลอด อย่างไรก็ต้องเกิดสงครามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในสักวัน ข้าศึกษาสภาพภูมิประเทศรอบด้านแคว้นหวั่น หากไม่ใช่ภูเขาก็เป็นน้ำ มีพื้นที่ราบไม่มาก หากทำศึกเมื่อใด อาจมีปัญหาเรื่องเสบียงอาหาร เพื่อป้องกันปัญหานั้น จึงได้สั่งให้คนสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้ขนส่งเสบียงอาหารโดยใช้เส้นทางภูเขาขึ้นมา เผื่อเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน”
ความคิดลึกล้ำและมองการณ์ไกลถึงเพียงนี้ นางรู้สึกว่าตนเองช่างโชคดีเหลือเกินที่เขาเป็นคนรักของนาง ไม่ใช่ศัตรู ซูหลีครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “ขนส่งมาจากแดนไกลอย่างนี้ คงไม่ได้มีแค่คันเดียวกระมัง?”
หลีเฟิ่งเซียนกล่าวว่า “มีทั้งหมดห้าสิบกว่าคัน ตามรับสั่งของฝ่าบาท ครึ่งหนึ่งได้ส่งไปยังเมืองหลวงแคว้นติ้งแล้ว”
ซูหลีจ้องมองอย่างละเอียด ค้นพบว่ากล่องบรรจุสิ่งของของรถม้าเครื่องกลคันนี้ สามารถบรรจุเสบียงอาหารน้ำหนัก หลายร้อยจิน[1]ได้อย่างไม่มีปัญหา จำนวนรถม้าทั้งหมดยี่สิบกว่าคันขนส่งกลับไปกลับมา สามารถแก้ไขวิกฤติที่เมืองหลิงโจวได้อย่างแน่นอน ปัญหากวนใจถูกแก้ไขไปได้กว่าครึ่งในชั่วพริบตา
มิน่าเล่าเขาถึงได้ดูมั่นใจนัก ที่แท้ก็มีแผนการอยู่แล้วแต่แรก ซูหลีตื้นตันใจ อดไม่ได้ที่จะก้าวเข้าไปกุมมือเขา เขารีบกุมมือตอบ สอดประสานนิ้วทั้งสิบทันที ทั้งสองต่างสัมผัสได้ถึงจิตใจที่สื่อถึงกันจากนิ้วมือที่กุมกันแน่น
ซูหลีมองหน้าเขาพร้อมกับแย้มยิ้ม กลีบปากแดงอิ่มขยับเล็กน้อย คล้ายกำลังกล่าวขอบคุณโดยไม่มีเสียง
สายตาเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นลึกซึ้ง จู่ๆ ก็ชะโงกหน้าเข้าใกล้นาง แล้วกระซิบด้วยเสียงที่เบาจนแทบไม่ได้ยินว่า “อยากขอบคุณข้า? มิสู้คืนนี้…”
ซูหลีรีบถมึงตาจ้องหน้าเขา เห็นเขาหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ นางก็หยิกฝ่ามือเขาแรงๆ แต่กลับถูกเขากุมมือแน่น นางทั้งขุ่นเคืองและอับอาย แต่กลับจนใจทำอะไรเขาไม่ได้
ตงฟางเจ๋ออารมณ์เบิกบาน เขามีความสุขจนแทบอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ
ครั้นกลับมาถึงวังหลวง ตงฟางเจ๋อพูดได้ทำได้ดังคาด เขารับของขวัญแทนคำขอบคุณจนพอใจ ถึงค่อยยอมรามือในที่สุด
ครึ่งเดือนต่อมา เสิ่นเจี้ยนอันส่งฎีกามา เหตุการณ์จลาจลที่เมืองหลิงโจวสงบลงแล้ว และได้จับกุมตัวผู้นำในการก่อจลาจลนามว่า ‘หานอี้’ สำเร็จ หลังจากสืบหาหลักฐาน ก็พบว่าหานอี้เป็นบุตรชายคนโตของแม่ทัพหานเซิงของแคว้นหวั่น ในอดีตองค์หญิงเยวี่ยหยางพาเขาออกจากแคว้นหวั่นอย่างลับๆ เขาคอยช่วยเหลือจั้นอู๋จี๋สร้างฐานอำนาจอย่างลับๆ มาโดยตลอด จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เสิ่นเจี้ยนอันจับกุมตัวเขาได้ในครั้งนี้ ซูหลีสั่งให้จับตัวหานอี้กลับเมืองหลวงมาสอบสวนอย่างละเอียด นึกไม่ถึงว่าระหว่างทาง หานอี้กลับถูกชายชุดดำปิดบังใบหน้าที่มีวรยุทธ์สูงกลุ่มหนึ่งชิงตัวไป จากคำให้การของผู้คุม ชายชุดดำกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเดียวกับคนที่ขัดขวางเจียงหยวนไม่ให้กลับถึงเมืองหลวง เพียงแต่จำนวนคนมากกว่าถึงหนึ่งเท่า
ใกล้เมืองหลวงแห่งใหม่กลับมีโจรใจกล้าเช่นนี้ซ่อนตัวอยู่ ตอนแรกก็ลักพาตัวขุนนางคนสำคัญในราชสำนักไปอย่างอาจหาญ จากนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ผู้ตรวจการในท้องที่สืบหาเบาะแสแต่กลับไร้วี่แวว ซูหลีพิโรธ สั่งให้คนวาดภาพเหมือนของหานอี้แล้วออกตามหาให้ทั่วทิศ
วันที่ภาพวาดถูกวาดจนเสร็จ ฉินเหิงเข้าวังมา ได้รับคำสั่งให้ออกตามหาหานอี้อย่างลับๆ เขารับภาพวาดไป แล้วมองดู พบว่าเป็นบุรุษอายุราวสามสิบปี แต่งกายด้วยเครื่องแบบทหาร เครื่องหน้าทั้งห้าหล่อเหลาคมคาย สายตาเต็มไปด้วยไอสังหาร
ฉินเหิงมองดูเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะม้วนภาพเก็บอย่างระมัดระวัง แล้วจึงค่อยกล่าวว่า “กระหม่อมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ หากมีข่าวคราวใด จะรีบมากราบทูลฝ่าบาททันทีพ่ะย่ะค่ะ”
ซูหลีพยักหน้า พลันนึกถึงเรื่องที่หวั่นซินเคยพูดถึง ก็อดถามยิ้มๆ ไม่ได้ว่า “ได้ยินว่าเจ้ารับเลี้ยงบุตรบุญธรรมมาใหม่หรือ?”
ฉินเหิงชะงักเล็กน้อย คล้ายนึกไม่ถึงว่าทั้งที่นางงานยุ่งถึงเพียงนี้ก็ยังให้ความสนใจกับเรื่องเล็กๆ เช่นนี้อยู่อีก เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “หลายเดือนก่อนกระหม่อมออกไปลาดตระเวน บังเอิญพบเด็กสาวกำพร้าอายุห้าขวบคนหนึ่ง เห็นนางไร้ที่พึ่งพิงทั้งยังถูกรังแก กระหม่อมทนดูไม่ได้จึงตัดสินใจช่วยนาง นึกไม่ถึงว่านางกลับตามติดกระหม่อม กระหม่อมอับจนหนทางจึงทำได้เพียงพานางกลับมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ” รอยยิ้มที่ดูเอือมระอา กลับแฝงไว้ด้วยความเอ็นดูรางๆ ที่แทบสังเกตไม่เห็น
ซูหลีเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “เช่นนี้ก็ดีแล้ว เด็กน่าสงสาร โชคดีที่ได้มาพบเจ้า นี่ก็สายมากแล้ว เจ้ากลับไปเตรียมการเถิด”
ฉินเหิงรีบค้อมกายกล่าวลา ขณะออกจากตำหนัก ก็บังเอิญเดินสวนกับโม่เซียงที่เข้ามารายงานด้วยท่าทางเร่งรีบ “ฝ่าบาท! หวั่นซินส่งข่าวมาแล้วเพคะ!”
นอกตำหนัก ฝีเท้าของฉินเหิงชะงักเล็กน้อย สายตาไหวระริก แต่ไม่นานก็รีบสาวเท้าเดินจากไป
ซูหลีเปิดจดหมายอ่าน สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน จดหมายมีเนื้อความว่า ‘หยางจิ้นแย่งชิงบัลลังก์ ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนหายสาบสูญหลังจากตกลงไปในทะเลสาบในลัทธิธิดาเทพ ตอนนี้ยังไม่มีเบาะแสใดๆ เสวียนเฟิงและอวี๋เชียนจีเสียชีวิต ลัทธิธิดาเทพล่มสลาย’
ทั้งหมด…เป็นอย่างที่นางคาดการณ์ไว้
ซูหลีกำจดหมายแน่น ยืนเงียบอยู่เนิ่นนาน ขณะกำลังหมุนกายหมายจะเดินไปที่ตำหนักตงหวา ตงฟางเจ๋อกลับมาหานางก่อน
ครั้นเห็นจดหมายในมือนาง เขาก็กล่าวว่า “เจ้ารู้แล้วหรือ?”
ซูหลีพยักหน้าเล็กน้อย ตงฟางเจ๋อโอบไหล่นาง พาเดินมานั่งลงตรงข้างหน้าต่าง อากาศเริ่มอุ่นแล้ว แสงแดดส่องเข้ามาทางหน้าต่างสาดกระทบทั่วร่างกาย ให้ความรู้สึกอบอุ่นที่ต่างออกไป
ซูหลีเอ่ยพลางครุ่นคิด “หยางจิ้นแย่งชิงบัลลังก์ ยอมถูกจั้นอู๋จี๋ใช้เป็นเครื่องมือ ยามนี้แคว้นเปี้ยนตกอยู่ในกำมือพวกเขาแล้ว…โม่เซียง ส่งข่าวไปบอกหวั่นซิน ให้นางเพิ่มความระวังระหว่างตามหาตัวคน หากหาเบาะแสไม่เจอจริงๆ…ก็บอกให้นางกลับมาเถิด”
โม่เซียงรีบรับคำแล้วจากไป
ตงฟางเจ๋อลูบมือเรียวบางของนาง ยิ้มอย่างลึกซึ้งจนคาดเดาความคิดไม่ถูก “ดูเหมือนเจ้าไม่ได้เป็นห่วงเขามากนัก”
…………………………