เอาแต่คิดร้ายต่อผู้อื่น 

 

 

 

 

 

“คุณหนูกล่าวได้ถูกต้องยิ่งนักเจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์หัวพลอยหัวเราะไปด้วย “แม้ว่าคุณหนูใหญ่จะนับว่ามีรูปร่างหน้าตาไม่เลวนัก แต่เมื่อคุณหนูของเราแต่งตัวแล้วก็ดูงดงามกว่านางตั้งไม่รู้เท่าไร ถึงแม้พวกนางจะอยากไปปรากฏตัวในงานเลี้ยง แต่อย่างไรก็คงไม่มีผู้ใดสนใจ คุณหนูเองก็ต้องเตรียมตัวให้ดีนะเจ้าคะ” 

 

 

“เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว” อวี้อาเหราพยักหน้า “แต่ว่าข้าก็ขี้เกียจเตรียมนี่นา…” 

 

 

อย่างไรเสียนางเองก็เป็นคนที่มีชีวิตอยู่ในยุคสมัยใหม่ แม้ว่าจะไม่เชื่อถือในเรื่องที่หญิงต้องปรนนิบัติชายในสมัยโบราณ แต่ก็ไม่อาจขัดได้ นางนั้นก็ขี้เกียจเหลือเกิน หากวันนี้ไม่ใช่เพราะต้องการปั่นหัวอนุรองและอวี้จื่อเยียน นางก็คงคร้านที่จะยุ่งเกี่ยวกับสองแม่ลูกนั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจงใจหาเรื่องให้ผู้อื่นเสียหน้าเลย นางนั้นเป็นพวกไม่ยุ่งกับผู้อื่นก่อนหากไม่โดนรังแกมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว 

 

 

“คุณหนู ประเดี๋ยวก็จะถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว คุณหนูอย่าเพิ่งนอนเลยนะเจ้าคะ…” เจาเอ๋อร์เห็นอวี้อาเหราเอนกายลงบนตั่งตัวยาว ดวงตาก็หรี่ลงอย่างห้ามไม่ได้ เช่นนั้นนางก็รีบเอ่ยปากร้องเตือนขึ้น คุณหนูของนางไม่ว่าเรื่องอะไรก็ดีทั้งนั้น เสียเพียงอย่างเดียวคือควบคุมอารมณ์ไม่ได้ นิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นทำอย่างไรก็แก้ไม่หาย อีกทั้งยังขี้เกียจยิ่งนัก… 

 

 

เมื่อเห็นว่าบ่นว่าอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ เจาเอ๋อร์จึงทำได้แต่เพียงถอนหายใจก่อนจะไปเตรียมอาหารกลางวัน 

 

 

อวี้อาเหราหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วร้องเรียกต้าเว่ยที่กำลังถอยออกไป “จริงสิ ก่อนหน้านี้ให้เจ้าตรวจสอบเรื่องทรัพย์สินของอนุรอง ได้เรื่องอะไรบ้างหรือไม่” 

 

 

“ข้าน้อยติดตามนางทุกวัน เพียงแต่อนุรองนั้นระมัดระวังตัวมากกว่าผู้อื่น ในขณะที่ตั้งครรภ์นั้นยิ่งไม่ยอมติดต่อกับผู้ใดเลยขอรับ ข้าน้อยเกรงว่าจะมีผู้ใดล่วงรู้เข้า เช่นนั้นจึงได้แต่คอยหลบอยู่ห่างๆ ทำให้ไม่ทราบว่าเมื่อพวกนางอยู่ในห้องนั้นได้พูดคุยเรื่องอะไรกันบ้าง แต่คิดว่าอย่างไรก็คงไม่เกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินเป็นแน่ขอรับ” 

 

 

“อืม ข้าทราบแล้ว เจ้าออกไปเถิด” อวี้อาเหราโบกมือ 

 

 

อนุรองนั้นระมัดระวังตัวอย่างที่นางคิดเอาไว้ไม่มีผิด รู้ดีว่านางเจ้าแผนการมาก เพราะอย่างนั้นจึงต้องระมัดระวังตัวทุกฝีก้าว แล้วจะปล่อยให้นางสืบพบง่ายๆ ได้อย่างไรกัน คิดๆ ดูแล้วหากต้องการที่จะกำจัดอนุรองนั้น ในเวลาสั้นๆ เช่นนี้คงทำไม่ได้แน่ ตอนนี้จะเข้าเดือนสิบสองแล้ว หากผ่านไปอีกสองสามเดือน อวี้จื้อก็จะกลับมาจากเขาซีซานแล้ว 

 

 

นางมักจะมีลางสังหรณ์เสมอว่า น้องชายต่างมารดาคนนี้คงจะรับมือได้ยากกว่ามารดาและพี่สาวของเขาเป็นแน่แท้ 

 

 

นางคิดพลางขมวดคิ้ว แล้วจึงเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งอาหารกลางวันถูกเตรียมเสร็จเรียบร้อย เจาเอ๋อร์ก็เข้ามาปลุกนางในห้อง 

 

 

เมื่อเห็นอาหารหลากหลายบนโต๊ะ นางก็รู้สึกเอียนอยู่บ้าง หลายวันมานี้เพราะต้องการให้นางได้บำรุงร่างกายดีๆ หลิงอ๋องจึงได้สั่งให้คนเตรียมอาหารบำรุงร่างกายขนานใหญ่ไว้เป็นพิเศษ แต่เพราะของดีๆ มักมีรสขม โดยเฉพาะของบำรุงร่างกายเหล่านี้มักจะกินยาก หากทานไปสักมื้อสองมื้อก็คงไม่เป็นไร แต่หากเป็นเวลาเป็นครึ่งเดือนเช่นนี้ก็คงทนไม่ได้แน่ 

 

 

อวี้อาเหราประคองหน้าผาก “นี่ก็จะทำอาหารอย่างพวกไก่ย่างเป็ดย่างไม่ได้เลยหรืออย่างไร หรือไม่ทำหมูพะโล้น้ำแดงก็ยังดี…” 

 

 

“ไม่ได้นะเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์ส่ายหน้า “ท่านอ๋องและเซิ่นซื่อจื่อสั่งเอาไว้ บอกว่าคุณหนูร่างกายอ่อนแอเกินไป จะต้องบำรุงร่างกายให้ดีๆ ในครัวยังได้เตรียมรังนกเอาไว้ให้ด้วย หลังจากคุณหนูทานข้าวเสร็จแล้ว บ่าวก็จะยกมาให้ทานเจ้าค่ะ” 

 

 

“เซิ่นซื่อจื่อ?” สีหน้าของอวี้อาเหราดูราวไม่อยากจะเชื่อ “เขาสั่งตั้งแต่เมื่อไหร่ เหตุใดข้าถึงไม่รู้” 

 

 

“อ้อ หลังจากที่พวกเราไปจวนเซิ่นอ๋องครั้งก่อน เซิ่นซื่อจื่อก็ได้สั่งบ่าวเอาไว้ บอกว่าคุณหนูนั้นเอาแต่คิดแผนร้ายต่อผู้อื่น สมองว่องไวกว่าใครๆ แน่นอนว่าต้องบำรุงให้มากๆ เจ้าค่ะ นี่เป็นคำพูดของเซิ่นซื่อจื่อนะเจ้าคะ บ่าวไม่ได้พูดเอง” เจาเอ๋อร์ตอบกลับด้วยใจที่สั่นระรัว 

 

 

“คิดร้ายต่อผู้อื่นอะไรกัน นี่ก็เรียกว่าตาต่อตาฟันต่อฟันต่างหาก” อวี้อาเหราไม่อาจสงบใจได้ดังขาด เมื่อคิดว่าฉู่ป๋ายผู้นี้ก็ช่างตำหนิคนอย่างไม่ไว้หน้ายิ่งนัก เช่นนั้นนางก็รู้สึกคับแค้นใจขึ้นมา