ส่งเทียบเชิญ 

 

 

 

 

 

เจาเอ๋อร์หัวเราะเบาๆ “คุณหนู ท่านอย่าโกรธเซิ่นซื่อจื่อเลยเจ้าค่ะ อย่างไรเสียเขาก็คำนึงถึงสุขภาพของท่าน นี่ก็นับว่าดีกว่าพวกที่ต่อหน้าดีกับคุณหนูแต่ลับหลังจิตใจคดเคี้ยวอำมหิตนะเจ้าคะ” 

 

 

“จะว่าไปแล้วก็จริง” อวี้อาเหราพยักหน้าลงเห็นด้วย ก่อนจะถามขึ้นอีกครั้งว่า “ตอนนี้พวกอนุรองได้สร้างเรื่องวุ่นวายอะไรหรือไม่” 

 

 

“เพิ่งจะถูกคุณหนูจัดการไปเมื่อครู่ พวกนางไหนเลยจะกล้าล่ะเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์ยิ้มออกมา งานที่อยู่ในมือก็ไม่ได้ช้าลง เพียงไม่นานก็เก็บโต๊ะตะเกียบจนเรียบร้อย จากนั้นจึงค่อยพูดกับอวี้อาเหราว่า “คุณหนูมาทานอาหารเถิดเจ้าค่ะ บำรุงร่างกายและจิตใจให้ดีถึงจะดีที่สุดนะเจ้าคะ”  

 

 

“อืม” อวี้อาเหราสวมรองเท้า แล้วเดินไปที่โต๊ะ 

 

 

ร่างกายของนางนั้นอ่อนแรงเป็นอย่างมาก หากไม่บำรุงร่างกายให้ดีๆ แล้วก็จะทำให้เจ็บป่วยขึ้นมาได้ แต่ว่าเมื่อพูดไปแล้วก็แปลก ร่างนี้ทั้งๆ ที่ควรจะเป็นร่างกายของคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องตัวจริง แต่เหตุใดความสามารถในภพก่อนของนางนั้นก็ยังคงอยู่ในร่างนี้ด้วย เช่นเลือดของนางที่มีคุณสมบัติในการล้างพิษต่างๆ หรือว่าพวกนางไม่เพียงแค่มีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกัน แม้แต่เรื่องอื่นๆ เองก็ยังเหมือนกันด้วยอย่างนั้นหรือ 

 

 

เดิมทีนางก็คิดว่าร่างกายของนางนั้นก็ได้ทะลุมิติมาที่ต้าเยี่ยนพร้อมกับวิญญาณ แต่กลับพบว่ารอยแผลเป็นที่หลงเหลือเอาไว้ในชาติก่อนนั้นไม่มีแล้ว เพราะฉะนั้นจึงสามารถกำจัดความคิดที่ทะลุมิติมาพร้อมร่างกายออกไปได้ 

 

 

แต่ว่าในโลกนี้จะมีคนที่เหมือนกันไปเสียทุกอย่างด้วยหรือ 

 

 

นอกเสียจากว่านิสัยไม่เหมือนกัน 

 

 

ความลับของจักรวาลนั้นไมมีที่สิ้นสุด นางเองก็ไม่อยากจะคิดอะไรให้มากอีก โชคดีที่ภพก่อนของนางเป็นคนตัวเปล่าไม่มีพันธะใดๆ เช่นนั้นจึงค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในตอนนี้ได้ อย่างน้อยก็ยังมีบิดาที่รักเอ็นดูนาง นี่เท่ากับเป็นการชดเชยชีวิตอันโดดเดี่ยวของนางแล้ว 

 

 

ในยามที่รับประทานอาหารนั้น ที่ด้านนอกก็มีเสียงรายงานดังขึ้นมา ชิงอวิ๋นเดินเข้ามากล่าวว่า “คุณหนู หวังกงกงกล่าวว่ามาส่งเทียบเชิญงานเลี้ยงในวังหลวงให้คุณหนูขอรับ” 

 

 

“เทียบเชิญ?” อวี้อาเหราชะงัก 

 

 

“คงจะเป็นงานเลี้ยงเลือกคู่ที่อนุรองพูดถึงแน่ๆ กระมังเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์เตือนขึ้น 

 

 

“อ้อ ที่แท้ก็เรื่องนั้น” อวี้อาเหราพลันเข้าใจในทันที จึงหันไปสั่งชิงอวิ๋นว่า “ให้หวังกงกงเข้ามาเถิด”  

 

 

จำได้ว่าเพราะเรื่องที่องค์รัชทายาทถอนหมั้นจนกลายเป็นเรื่องวิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่โตก่อนหน้านั้น ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้นางเข้าวังด้วยความโกรธเคือง หวังกงกงผู้นั้นก็ดูแลนางอย่างดี และอีกฝ่ายยังเป็นถึงขันทีข้างกายของฮ่องเต้ เรื่องอำนาจและความสามารถในการมองเรื่องราวนั้นแน่นอนว่าไม่ต้องพูดถึง การให้ความสำคัญนั้นย่อมเป็นเรื่องดีกว่าเสมอ 

 

 

หวังเซิ่งเต๋อเดินเข้ามาด้านใน ก้มหน้าลงพลางสะบัดไม้ฝูเฉิน “บ่าวคารวะคุณหนูรอง” 

 

 

“ลุกขึ้นเถิด” อวี้อาเหรายิ้มเต็มใบหน้า “เจาเอ๋อร์ ยังไม่รีบรินน้ำชาให้หวังกงกงอีกหรือ” 

 

 

เมื่อพูดจบก็หันกลับไปทางเขาทันที “หวังกงกง ข้ามีชาพระราชทานชั้นดีจากในวัง แต่ชาพวกนี้ สำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในวังมาตลอดอย่างกงกงแล้ว เกรงว่าจะได้เห็นจนชินตตา คงไม่น่าสนใจเสียกระมัง” 

 

 

 “มิได้ๆ” หวังเซิ่งเต๋อส่ายหน้า “บ่าวไหนเลยจะกล้าเพิกเฉยต่อชาของคุณหนู เพียงแต่ครั้งนี้มาเพื่อส่งเทียบเชิญให้กับคุณหนูทั่วทั้งเมืองเฟิ่งเฉิง หลายวันมานี้ต้องไปยังจวนขุนนางต่างๆ มากมาย ได้ดื่มแต่ชามาเสียหลายถ้วยแล้ว เมื่อครู่นี้ได้ไปหาคุณหนูเซิ่น ดื่มชาสาลี่ไปเสียเต็มท้อง หากไม่หาโอกาสขอตัวออกมา เกรงว่าคุณหนูเซิ่นผู้มีไมตรีจิตยิ่งนักคงยังเอาขนมสาลี่มาให้ทานอีกหลายชิ้น” 

 

 

“โอ้ ในเมื่อหวังกงกงกล่าวเช่นนี้ ข้าก็ยิ่งไม่กล้าจะเอาชามาให้ท่านดื่มแล้วสิ” 

 

 

“คุณหนูกล่าววาจาน่าขันแล้ว” 

 

 

หวังเซิ่งเต๋อส่ายหน้าเป็นพัลวัน หยิบเทียบเชิญสีทองจากพานที่ขันทีข้างหลังถืออยู่ส่งมาให้เจาเอ๋อร์ แล้วค่อยๆ ยื่นส่งให้นาง