งานเลือกคู่ 

 

 

 

 

 

ด้านบนมีลายมังกรประดับเอาไว้ ดูพลิ้วไหวราวกับมีชีวิต เหมือนมังกรทองแห่งสวรรค์ชั้นเก้า เพียงมองก็รู้ว่าเป็นของใช้ของราชวงศ์ แม้แต่เหล่าองค์ชายหรือขุนนางชั้นอ๋องก็ไม่มีใครกล้าใช้สัญลักษณ์นี้ เพราะหากไม่ระวังก็อาจจะมีโทษมหันต์ ถูกตัดศีรษะได้ง่ายๆ 

 

 

“คุณหนูรอง ฮ่องเต้ทรงทราบมาว่าองค์ชายแห่งเป่ยเจียงได้เดินทางมาเยือนต้าเยี่ยน เพื่อที่จะเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างสองแคว้น จึงได้ทรงจัดงานเลือกคู่ขึ้น ขอให้คุณหนูได้โปรดเตรียมตัวให้ดี เดิมทีฝ่าบาททรงใส่พระทัยงานเลี้ยงในครั้งนี้เป็นอย่างมาก ทรงรับสั่งให้คุณหนูทุกท่านแต่งกายให้สวยงามวิจิตร อีกทั้งทรงได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้คุณหนูรองได้รับบาดเจ็บ เช่นนั้นจึงโปรดให้เลื่อนเวลาไปอีกเจ็ดวัน” 

 

 

หวังเซิ่งเต๋อปรายตามองไปยังเทียบเชิญ ขณะที่กำลังกล่าววาจา 

 

 

“กงกงทราบหรือไม่ว่าคนที่ฝ่าบาทตั้งพระทัยที่จะพระราชทานสมรสให้นั้นเป็นใคร” อวี้อาเหราเอ่ยถามขึ้นมาอย่างสงสัย เพราะแม้นางนั้นจะถือว่าเป็นหนึ่งในคุณหนูของเมืองเฟิ่งเฉิง แน่นอนว่าจะต้องเข้าร่วมในงานพิธีเลือกคู่ครั้งนี้ แต่เรื่องของการหมั้นหมายระหว่างนางและรัชทายาทนั้นยังไม่ได้รับการแก้ไข ก็ถือว่าวางใจได้ชั่วคราว  

 

 

นางลอบทอดถอนใจ การแต่งงานของหญิงตระกูลสูงศักดิ์ในยุคโบราณนี้ล้วนขึ้นอยู่กับผู้ที่มีอำนาจในมือ ไม่อย่างนั้นล้วนแล้วแต่เป็นไปตามวาจาของพ่อแม่และแม่สื่อ ผู้หญิงไม่มีอำนาจแม้แต่น้อย แต่นางนั้นไม่ได้เป็นหญิงยุคโบราณ นางเป็นผู้หญิงที่มีความคิดของยุคสมัยใหม่ จะไม่มีทางยอมให้ผู้อื่นเข้ามากำหนดเรื่องสำคัญทั้งชีวิตของตนเองเป็นอันขาด 

 

 

เพราะอย่างนั้น ไม่ว่าฝ่าบาทจะทรงดำริพระราชสมรสให้นางกับองค์รัชทายาท องค์ชายแห่งเป่ยเจียง หรือไม่ว่าชายใดก็ตาม นอกเสียจากว่านางจะยินยอมพร้อมใจแล้ว มิเช่นนั้นไม่ว่าจะสับนางเป็นชิ้นๆ นางก็ไม่มีทางยอมแต่งกับผู้ชายที่นางไม่ได้รัก 

 

 

ส่วนองค์รัชทายาทนั้น นางก็ไม่มีความรู้สึกดีใดๆ ต่อเขาเลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแต่งงานเลย… 

 

 

“พระทัยของฝ่าบาทนั้นบ่าวไม่อาจทราบได้ขอรับ” หวังเซิ่งเต๋อยิ้มน้อยๆ และเปลี่ยนเรื่องโดยฉับพลัน “แต่ขอคุณหนูอย่าได้เป็นกังวล” 

 

 

“ข้าทราบแล้ว ขอบคุณกงกงมากที่กล่าวเตือน” อวี้อาเหราพยักหน้า เข้าใจถึงความหมายในคำพูดของเขา หวังกงกงผู้นี้แม้ว่าจะคาดเดาพระทัยฮ่องเต้ไม่ได้ แต่เขาก็คงจะมองออกอยู่บ้าง เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น ก็เข้าใจว่านางไม่ต้องกังวลใจว่าตนเองจะถูกเลือก 

 

 

ทว่าเริ่นหว่านเอ๋อร์แห่งสกุลเริ่นนั้นทำราวกับชอบฟู่เส่าชิงเข้าจริงๆ หากฝ่าบาทให้เขาแต่งกับผู้อื่นแล้วจะเป็นอย่างไรเล่า 

 

 

เมื่อคิดแล้ว นางก็รีบเอ่ยถามขึ้นมาในทันที “คุณหนูแห่งจวนราชเลขากรมขุนนางจะเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วยหรือไม่” 

 

 

“แน่นอนว่าต้องไปขอรับ” หวังกงกงพยักหหน้า “เมื่อครู่ยามที่บ่าวไปส่งเทียบเชิญ คุณหนูหว่านเอ๋อร์ดูไม่พอใจเป็นอย่างมาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล ราวกับมีบางเรื่องที่ไม่ได้ดังใจ” 

 

 

“นางไม่มีอะไรหรอก ขอกงกงอย่าได้ถือสา” นับว่าอวี้อาเหรากล่าวได้ดีมาก ชายหนุ่มที่ตนเองชอบกำลังมีพิธีเลือกคู่ แม้ว่าจะไม่อาจโกรธเคือง แต่หากเปลี่ยนเป็นใครก็ย่อมจะต้องเป็นกังวลแน่ 

 

 

“บ่าวเข้าใจ” หวังกงกงทราบดีว่าควรจะปฏิบัติตนอย่างไร หลังจากดื่มชาจนหมดแล้วจึงพูดขึ้นมา “ยังมีอีกหลายบ้านที่ยังไม่ได้ส่งเทียบเชิญไปให้ บ่าวคงต้องขอตัวก่อน” 

 

 

“กงกงเดินทางระวังด้วย” อวี้อาเหราพยักหน้า 

 

 

หลังจากหวังเซิ่งเต๋อไปแล้ว นางจึงค่อยนั่งลงทานอาหารต่อ 

 

 

เจาเอ๋อร์ที่เห็นคนทั้งสองพูดคุยกันเมื่อครู่นี้ ก็อดไม่ได้ที่จะคาดเดาขึ้น “คุณหนู เหตุใดท่านจึงเกรงอกเกรงใจต่อหวังกงกงถึงเพียงนี้เจ้าคะ” 

 

 

“เขาเป็นคนสนิทข้างกายของฝ่าบาท หากกล่าววาจาออกไปไม่ระวังก็จะกำหนดชีวิตของเจ้าได้ หากมีความสัมพันธ์อันดีต่อเขาสักหน่อย ต่อไปก็คงจะได้รับรู้เรื่องราวมากมายมิใช่หรือ? เมื่อครู่นี้เจ้าไม่ได้ยินที่เขาพูดหรือว่าข้านั้นไม่ต้องกังวลใจเรื่องการเลือกคู่ นี่ก็นับว่าเป็นข้อมูลที่สำคัญ เช่นนั้นจำต้องเกรงใจเขาไว้บ้างก็ดี”