บทที่ 645 : ออกสู่โลกกว้าง!
“เสี่ยวอู๋.. สำหรับเรื่องของแก๊งมังกรเขียว ฉันจะพูดคุยกับอาปิงดูก่อน ถ้าดูแล้วอาปิงมีคุณสมบัติเหมาะที่จะเป็นหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวจริงๆ ฉันก็จะยกบัญชีทั้งหมดให้เขาเป็นผู้ดูแล หลังจากนั้นนายก็พาเขาไปทำความรู้จักกับพี่น้องในแก๊ง และสอนงานต่างๆให้กับเขา และเมื่อเขาปรับตัวพร้อมที่จะรับตำแหน่งแล้ว นายก็ค่อยๆถ่ายเทอำนาจในแก๊งมังกรงเขียวให้กับอาปิง!”
“ครับพี่หยุน!”
ทันทีที่ได้ยินว่าจะมีคนมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวแทนตนเองแล้ว ตี้เสี่ยวอู๋ก็รีบพยักหน้ารับคำสั่งด้วยความตื่นเต้นดีใจ!
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยและพูดต่อว่า “แต่ถึงยังไงพวกนายสองคนก็ยังต้องช่วยกันเป็นดูแลอยู่ดี! พวกนายสองคนต้องช่วยกันดูแลแก๊งมังกรเขียวในฐานะพี่ใหญ่ ถังเมิ่ง.. นายคอยควบคุมเรื่องบัญชีของแก๊งและเรื่องทั่วไป ส่วนตี้เสี่ยวอู๋.. นายต้องดูแลควบคุมในส่วนของกฏระเบียบในแก๊งมังกรเขียว!”
“แก๊งมังกรเขียวนี้ก่อตั้งโดยลุงหลง ถึงแม้ว่าจะเป็นแก๊งอันธพาล และมีเรื่องมีราวเข่นฆ่ากันบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายถึงขนาดค้าผงขาว! จำไว้ว่า.. อย่าให้แก๊งมังกรเขียวต้องมาเสื่อมเสียในมือของฉัน พวกนายเข้าใจใช่มั๊ย?”
หลิงหยุนย้ำประโยคนี้อย่างหนักแน่น ถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋มีหรือจะกล้าเพิกเฉยและไม่ใส่ใจ พวกเขาจะต้องทำตามความต้องการของหลิงหยุนอย่างเคร่งครัด
หลังจากที่หลิงหยุนหาทางแก้ไขปัญหาเรื่องแก๊งมังกรเขียวได้แล้ว ตี้เสี่ยวอู๋ก็ถึงกับยิ้มร่า เขารู้สึกราวกับว่าได้ยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอกของตัวเอง และรู้สึกเบาสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ความจริงแล้วตี้เสี่ยวอู๋อยู่ในแก๊งมังกรเขียวมานานถึงสามปี เขาจึงรู้เรื่องราวภายในของแก๊งมังกรเขียวดีกว่าใครๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจ หรือกฏระเบียบต่างๆภายในแก๊ง จึงนับได้ว่าเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะดำรงตำแหน่งหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวต่อจากหลงคุน แต่ตี้เสี่ยวอู๋กลับหลงใหลในการฝึกวรยุทธและกำลังภายใน อีกทั้งยังต้องการติดตามหลิงหยุน จึงไม่ต้องการมีภาระใดๆผูกติดตนเองไว้กับที่
ดังนั้นเมื่อหลิงหยุนแก้ปัญหาเช่นนี้ จึงทำให้ตี้เสี่ยวอู๋มีความสุขอย่างที่สุด และหลังจากหมดเรื่องของตี้เสี่ยวอู๋ไปแล้ว ถังเมิ่งจึงถามขึ้นว่า
“พี่หยุน.. แล้วเรื่องของฉันล่ะ?”
แทบไม่ต้องพูดถึง.. ตอนนี้หลิงหยุนไม่เพียงมีเงินในบัญชีมากมาย แต่ยังมีสินทรัพย์อยู่อีกมากมาย และนั่นก็เพียงพอให้ถังเมิ่งต้องปวดหัวอย่างมาก!
ไม่เพียงแค่บริษัทในเครือที่ท่านเสี่ยวหมอเทวดายกให้กับหลิงหยุน แต่ยังมีร้านเสื้อผ้าตรงข้ามคลินิกสามัญชน และตอนนี้ยังมีธุรกิจจิวเวลรี่ในตลาดค้าของเก่าเพิ่มขึ้นมาอีก..
แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ยังมีที่ดินอีกหนึ่งร้อยไร่ในเขตหลินเจียง และการก่อสร้างที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น!
สำหรับคลินิกสามัญชนนั้น ความจริงแล้วหลิงหยุนตั้งใจว่าจะเป็นผู้ดูแลกิจการด้วยตัวเอง แต่เพราะตอนนี้มีปัญหามากมายรอคอยให้เขาไปสะสาง หลิงหยุนจึงจำเป็นต้องรามือ..
ถังเมิ่งนั้นต้องการจะตั้งบริษัทภาพยนตร์และทีวี ธุรกิจทางด้านอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทยา แต่หลิงหยุนนั้นมีงานใหญ่ที่จะต้องให้ถังเมิ่งทำในอนาคตซึ่งก็คือการก่อสร้างโรงหลอมโลหะขนาดใหญ่!
เหตุใดหลิงหยุนจึงต้องการสร้างโรงหลอมโลหะขนาดใหญ่น่ะหรือ?!
นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อใดก็ตามที่หลิงหยุนเข้าสู่ขั้นที่สามารถเล่นแร่แปรธาตุได้แล้ว เขาไม่สามารถใช้สวนภายในบ้านทำการหลอมโลหะจำนวนหลายพันตันได้ เขาจึงต้องการสร้างโรงหลอมขนาดใหญ่ที่อยู่ไกลหูไกลตาผู้คน
ในการหลอมโลหะนั้นต้องมีควันที่เกิดจากการหลอมจำนวนมากมาย อีกทั้งในแต่ละวันก็ต้องมีการจัดส่งโลหะวันละหลายรอบ หากเป็นเช่นนี้ ผู้คนที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงคงต้องรู้สึกสงสัยอย่างแน่นอน!
หลิงหยุนจำเป็นต้องเตรียมตัวสำหรับการเล่นแร่แปรธาตไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ดังนั้นจึงต้องให้ถังเมิ่งหยุดเรื่องความคิดก่อตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไว้ก่อน เพื่อมาจัดการเรื่องก่อตั้งโรงหลอมโลหะให้กับเขาแทน
และเพราะมีงานที่ต้องทำมากมาย ถังเมิ่งจึงไม่ต้องการแม้แต่จะสอบเอนทรานซ์ แต่ด้วยวัยเพียงแค่สิบแปดปี เป็นไปได้หรือไม่ที่ถังเมิ่งจะบริหารจัดการทั้งหมดได้ด้วยตัวคนเดียว?
แน่นอนว่า.. คำตอบคือเป็นไปไม่ได้!
สำหรับคลินิกรักษาคนไข้ของหลิงหยุนนั้น ตอนนี้ยังมีเหมี่ยวเสี่ยวเหมากับเสี่ยวเม่ยหนิงช่วยกันดูแลอยู่ ทำให้เขาไม่ต้องเป็นห่วงอะไรมาก ตอนนี้หลิงหยุนจึงอยากให้ถังเมิ่งมารับผิดชอบในเรื่องของการจัดซื้อสมุนไพรและโลหะ
สมุนไพรต่างๆนั้นใช้สำหรับการปลุกเสกยันต์ และปรุงโอสถต่างๆ ส่วนโลหะนั้น หลิงหยุนจะนำไปใช้ในการเล่นแร่แปรธาตุ วัตถุดิบเหล่านี้จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล และโกดังเก็บของขนาดใหญ่อีกด้วย
ดังนั้นหลิงหยุนจึงสามารถเข้าใจในปัญหาของถังเมิ่งได้ดี และทันทีที่ได้ยินถังเมิ่งโอดครวญเขาก็ถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา..
“ถังเมิ่ง.. ฉันรู้ว่าตอนนี้นายงานล้นมือและมันเกินกำลังของนาย แต่เท่าที่นายติดตามฉันมา นายก็น่าจะเรียนรู้ได้ว่าเราไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง..”
“นายดูอย่างฉันสิ! ไม่เห็นจะยุ่งอะไรมากมายเลย” หลิงหยุนตอบยิ้มๆ
ถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋ได้ฟังคำตอบของหลิงหยุนแล้ว ก็ได้แต่คิดในใจว่า ‘แน่นอนสิ.. ในเมื่อพวกเขาเป็นคนทำทุกอย่างให้หมดแล้ว’
แต่แน่นอนว่าทั้งคู่ต่างก็ไม่มีใครกล้าพูดออกมา นอกจากคิดในใจเท่านั้น
“เรื่องการทำธุรกิจเสื้อผ้า นายก็ไม่เก่งเท่าหวังหงหยวน เรื่องเครื่องประดับ นายก็ไม่เก่งเท่าลุงซ่งกับเซียนหยก ส่วนเรื่องของธุรกิจยา นายก็ไม่เก่งเท่าลุงเสี่ยวกับตระกูลเฉิง พูดง่ายๆว่า นายไม่มีทางเทียบพวกเขาได้แม้แต่ปลายเล็บ..”
ถังเมิ่งได้ฟังคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาของหลิงหยุน ก็ถึงกับหน้าแดงด้วยความไม่พอใจ และรู้สึกอับอายขายหน้าจนแทบอยากมุดหนีไปทันที และหากหลิงหยุนพูดอะไรรุนแรงกว่านี้อีกสักสองสามประโยค เขาคงต้องน้ำตาไหลพรากออกมาอย่างแน่นอน!
“แต่นั่นเป็นเพราะนายไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางอย่างพวกเขา และขืนนายปล่อยไปแบบนี้โดยที่ไม่คิดปรับปรุงแก้ไข ฉันรับรองว่านายต้องตกม้าตายสักวัน!”
“พี่หยุน.. แล้วฉันควรทำยังไง?” ถังเมิ่งแทบจะร้องไห้ออกมาพร้อมกับถามหน้าเศร้า
หลิงหยุนพูดต่อยิ้มๆ “แต่นายอย่างเพิ่งเสียใจในสิ่งที่ฉันพูดไปทั้งหมดก่อนหน้านี้..”
“เพราะถึงแม้นายจะไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญเหมือนอย่างพวกเขา แต่นายก็มีสิ่งหนึ่งที่นับว่าเป็นข้อได้เปรียบในแบบของนายเอง!”
ถังเมิ่งได้แต่แอบดีใจและคิดว่า ‘ในที่สุดพี่หยุนก็มองเห็นข้อดีของฉันบ้าง!’ จากนั้นจึงตั้งอกตั้งใจฟังหลิงหยุนเงียบ
“ข้อได้เปรียบของนายก็คือ.. นายเป็นคนที่มีวาทศิลป์ในการพูด และรู้จักวิธีการจัดการกับปัญหาและเรื่องยุ่งเหยิงต่างๆให้เป็นระเบียบเรียบร้อยได้ดี!”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพูดต่อว่า “เพราะฉะนั้น.. ฉันไม่ได้ต้องการความเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องต่างๆจากนาย การที่ฉันให้นายติดตามฉันนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันต้องการให้นายต้องทุ่มเททำงานเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเพื่อฉัน!”
“เรื่องธุรกิจเสื้อผ้า นายก็ปล่อยให้หวังหงหยวนดูแลไป ส่วนเรื่องธุรกิจเครื่องประดับ นายก็มอบหมายให้ลุงซ่งกับเซียนหยกเป็นผู้ดูแล สำหรับบริษัทยาที่ได้มาจากตระกูลเสี่ยวนั้น ที่ผ่านมาระบบการทำงานเป็นอย่างไร นายก็ปล่อยให้ทุกคนทำงานไปเหมือนเดิม..”
ถังเมิ่งได้ฟังก็เข้าใจทันที แต่ก็อดที่จะถามสิ่งที่สงสัยไม่ได้ “พี่หยุน.. ถ้าเป็นแบบนี้ แล้วฉันจะทำอะไรล่ะ?”
หลิงหยุนถึงกับหัวเราะพร้อมกับแนะนำว่า “นายก็จัดการรวมธุรกิจทั้งหมดเข้าด้วยกันสิ! ส่วนนายก็ทำหน้าที่บริหารอย่างมืออาชีพ!”
“ในการบริหารนั้น นายต้องเป็นผู้กำหนดทิศทาง แล้วก็ต้องเป็นธรรมกับทุกคน หากทำดีก็ต้องมีการให้รางวัล และหากทำผิดจำเป็นต้องลงโทษก็ต้องทำ! ไม่เห็นจะยากตรงใหนเลย!”
“ถ้านายรู้จักบริหารงานให้เป็น ต่อให้นายเปิดอีกสิบหรือร้อยบริษัท หากมีผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาอาชีพมาช่วย นายก็ไม่ต้องกังวลอะไร?”
“ที่ฉันพูดมาทั้งหมดนี้ นายเข้าใจหรือยังว่าจะต้องจัดการยังไงต่อไป?” หลิงหยุนถามยิ้มๆ
ถังเมิ่งได้แต่คิดในใจว่า ‘พี่หยุนช่างเก่งกาจไปซะทุกเรื่องจริงๆ!’ แต่ก็ยังคงมีข้อสงสัยอยู่ จึงรีบถามขึ้นมาทันที
“พี่หยุน.. แล้วถ้าผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ เกิดตุกติกกับฉันขึ้นมา ฉันจะทำยังไงล่ะ?”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบเสียงราบเรียบ “น้ำที่ใสเกินไปมักจะไม่มีปลา นายจะให้พวกเขาทำงานให้นายโดยไม่ได้รับผลตอบแทน แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นไปได้!”
“ไม่ใช่นายคนเดียวที่ต้องการเงินนี่นา! คนอื่นก็ต้องกินต้องใช้เหมือนกัน หากนายจะเอาแต่ได้โดยไม่คิดแบ่งปันให้คนอื่นเลยนั้น มันไม่มีทางเป็นไปไม่ได้!”
หลิงหยุนมองธรรมชาติของมนุษย์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แม้แต่ถังเมิ่งเองยังถึงกับขนลุก
“แต่นายไม่ใช่ลุงถังที่มีฐานะหน้าตาที่น่าเชื่อถือในสังคม คนอื่นๆอาจจะยังไม่ให้ความเชื่อถือในตัวนาย แต่ถ้านายทำงานในฐานะที่เป็นตัวแทนของฉัน ฉันเชื่อว่าจะไม่มีใครกล้าเพิกเฉยกับนายอย่างแน่นอน!”
ไม่ว่าจะเป็นซ่งเจิ้งหยาง อวี้เฉิงจิน หวังหงหยวน หรือแม้แต่ตระกูลเสี่ยว ก็ต้องยอมรับการบริหารงานของถังเมิ่ง เพราะเขาคือตัวแทนของหลิงหยุน!
ตราบใดที่ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย ก็คงไม่มีใครกล้าเมินเฉยใส่ถังเมิ่งอย่างแน่นอน เพราะนั่นย่อมเท่ากับว่าพวกเขากำลังเมินเฉยต่อหลิงหยุนเช่นกัน และใครบ้างที่จะกล้าลองดีกับหลิงหยุน?
“ภายในสองสามวันนี้ นายก็ไปจัดการรวมธุรกิจต่างๆเข้าด้วยกัน และก่อตั้งเป็นกลุ่มบริษัทเทียนตี้อย่างที่นายใฝ่ฝัน จากนั้นนายก็ทำหน้าบริหารจัดการเองโดยไม่ต้องถามความเห็นของฉัน นายคือผู้บริหารสูงสุด ส่วนฉันจะไม่เข้าไปก้าวก่าย!”
หลิงหยุนเห็นแววตาของถังเมิ่งเป็นประกายขณะที่จ้องมองเขา..
“แล้วฉันจะพานายไปพบกับพวกเขาทีละคน จะได้แจ้งให้ทุกคนได้รู้ว่าฉันได้มอบหมายให้นายดูแลทรัพย์สินและกิจการทุกอย่างของฉัน พวกเขาจะได้ไม่มองว่านายเป็นแค่เด็กน้อยอีกต่อไป เชื่อฉันสิ!”
ในเมื่อหลิงหยุนจัดการกรุยเส้นทางธุรกิจไว้ให้ถังเมิ่งแบบนี้ ถังเมิ่งจึงค่อยรู้สึกเบาใจขึ้นมาหน่อย และเริ่มภาคภูมิใจในตัวเองจนยิ้มออกมาได้
“ในเรื่องของความเป็นนักเลงนั้น ฉันว่าซ่งเจิ้งหยางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าลุงหลงเลย ส่วนเซียนหยกนั้นเรียกได้ว่าเกิดมาเพื่อเป็นนักธุรกิจโดยแท้ เขาเป็นคนที่มีวาทศิลป์ที่ดีมาก ฉันเองก็เคยทดสอบเขามาด้วยตัวเอง นายสามารถให้สองคนนี้เป็นมือขวาของนายได้เลย ยังมีลุงหลี่กับลุงถังอีกคน ใหนจะแก๊งมังกรเขียวอีกที่จะคอยเป็นแบ๊คให้กับนาย แบบนี้แล้วต่อไปมณฑลเจียงหนานทั้งหมดคงตกเป็นของนายอย่างแน่นอน!”
แต่ถังเมิ่งก็รีบพูดแก้ไขให้ถูกต้องอย่างรวดเร็ว “พี่หยุน.. นี่มันเป็นธุรกิจของพี่ ไม่ใช่ของฉัน!”
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับตอบไปว่า “มันคือของพวกเราสามคนพี่น้องต่างหาก นายเข้าใจใหม่ด้วย!”
“เอาล่ะ.. นายบริหารกิจการในจิงฉูไปอีกสักพัก่อน เมื่อไหร่ที่มีประสบการณ์มากพอ ฉันยังมีงานให้นายทำอีกมากเลยทีเดียว!”
อย่าว่าแต่จิงฉูเลย.. หลิงหยุนนั้นมองไกลไปถึงระดับประเทศ และระดับโลกด้วยซ้ำไป!
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับถามขึ้นว่า “ตอนนี้นายเข้าใจแล้วใช่มั๊ยว่าควรทำยังไงต่อไป?”
“เข้าใจแล้วพี่หยุน!”
หลิงหยุนลุกขึ้นยืน และเดินไปตบบ่าถังเมิ่งพร้อมกับพูดยิ้มๆ “เข้าใจก็ดีแล้ว เอาล่ะ.. ได้เวลากินข้าวเที่ยงแล้ว!”