ตอนที่ 559 สบโอกาส

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 559 สบโอกาส

ตระกูลของกูซูเฉี่ยอวี่เป็นรองเสนาบดีกรมคลัง ส่วนหนานกงหลิงเยว่เป็นตัวแทนของหอพิษกู่ หากเป็นเช่นนี้ราชสำนักและหอพิษกู่อาจมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมากขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้นฟางหลิงซู่ก็รักหนานกงหลิงเยว่มากด้วย กูซูเฉี่ยอวี่น่าจะเข้าใจว่าหนานกงหลิงเยว่มิใช่คนที่ผู้ใดมาทำร้ายได้

อันหลิงเกอครุ่นคิดพร้อมมองไปทางแผ่นหลังของหนานกงหลิงเยว่อย่างวางใจ

“ไปเถิด”

วันนี้ฟางหลิงซู่แต่งกายด้วยเสื้อคลุมไหล่กว้างสีแดงสด แม้ดูเป็นทางการแต่ให้ความรู้สึกที่ดูมิเป็นทางการแก่คนรอบข้าง

บางทีอาจเพราะฟางหลิงซู่มิได้รู้สึกแตกต่างจากทุกคนก็ได้ เสื้อผ้าชุดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเขาอย่างเห็นได้ชัด ในวันปกติเขามิเคยแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใสจึงค่อนข้างแปลกตามิน้อย

ส่วนอันหลิงเกอก็แต่งกายด้วยกระโปรงยาวสีแดง เห็นแล้วช่างเหมาะสมกับเขามาก ความคิดนี้ทำให้อันหลิงเกออดหน้าแดงขึ้นมามิได้ นางมิรู้ว่านี่คือความตั้งใจเดิมของฟางหลิงซู่หรือไม่

“อืม” นางถูกฟางหลิงซู่นำทางไป แม้อันหลิงเกอรู้สึกอึดอัดใจไปบ้างแต่ก็ยังให้ความร่วมมืออย่างดี

บัดนี้ความสัมพันธ์ของนางและฟางหลิงซู่เกินกว่าคำว่าสหายไปแล้ว นางรู้ว่าฟางหลิงซู่ไม่มีทางทำร้ายจิตใจ ด้วยเหตุนี้นางจึงมิได้คาดเดาว่าต่อไปจะเกิดเรื่องใดขึ้น

ในความจริงแล้วฟางหลิงซู่เองก็คาดมิถึงว่าจะพบทัวป๋าถิงฟางที่นี่

สำหรับสตรีผู้นี้ เขาเห็นเป็นเพียงคนแปลกหน้า แต่ก็จำได้ลาง ๆ ว่าเป็นหนึ่งในสองคนที่อันหลิงเกอเคยช่วยไว้เมื่อคราวที่แล้ว

พอเห็นสายตาของอันหลิงเกอเปลี่ยนไป ฟางหลิงซู่ก็ตระหนักบางอย่างขึ้นมา

“อยากหลบเลี่ยงหรือไม่ ? ”

น้ำเสียงของฟางหลิงซู่อ่อนโยนมาก แต่อันหลิงเกอส่ายหน้า นางอยากเห็นว่าทัวป๋าถิงฟางจะมีปฏิกิริยาตอบสนองเยี่ยงไร อันหลิงเกอมักดูถูกสตรีผู้นี้เกินไปเสมอ

เดิมทีคิดว่านางน่าจะเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง แต่การต้อนรับประมุขเผ่าปิงชวนในครานี้นางคงมาในฐานะตัวแทนของวังหลวง ดูท่าแล้วข่าวลือมากมายเหล่านั้นเป็นความจริง

ถึงอย่างไรทัวป๋าถิงฟางก็เป็นคนแคว้นชิงเยว่ ต้องแต่งงานออกเรือนไปยังเผ่าปิงชวน จำเป็นต้องมีฐานะที่เหมาะสม ดังนั้นฮ่องเต้จึงยกตำแหน่งบุตรบุญธรรมของอัครมหาเสนาบดีแก่นาง

“อืม มีเรื่องใดก็มาเรียกข้าแล้วกัน”

ฟางหลิงซู่อยู่มิไกลนัก ส่วนทัวป๋าถิงฟางได้เดินมาหาอันหลิงเกอด้วยความประหลาดใจทีละก้าว

นางคาดมิถึงว่าอันหลิงเกอจะอยู่ในหอพิษกู่แห่งนี้

ดูท่าแล้วความสัมพันธ์ระหว่างอันหลิงเกอและคุณชายหอพิษกู่ผู้นั้นมิใช่แค่ผิวเผินเป็นแน่

ทัวป๋าถิงฟางครุ่นคิดและอดรู้สึกอิจฉามิได้ เหตุใดคนข้างกายของอันหลิงเกอล้วนยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ ?

เมื่อเป็นเช่นนี้ไปแล้ว เหตุใดต้องมาแย่งมู่จวินฮานของตนไปอีก ?

“เขาสบายดีหรือไม่ ? ” อันหลิงเกอยกยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยทักทายทัวป๋าถิงฟาง

ประโยคนี้เหมือนหัวข้อสำคัญที่ทำให้ใบหน้าของทัวป๋าถิงฟางซีดเผือด

“ท่านอ๋องสบายดีเจ้าค่ะ” ทัวป๋าถิงฟางโค้งกายเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพอันหลิงเกอ

เดิมทีทัวป๋าถิงฟางอยากเปิดประเด็นก่อนด้วยซ้ำ แต่คาดมิถึงว่าประโยคนี้ของอันหลิงเกอจักทำให้ต้องคำนับแสดงความเคารพ

“ช่างเถิด วันนี้มิได้อยู่ในจวนอ๋อง มิต้องมากพิธีหรอก”

ฟางหลิงซู่ที่อยู่ด้านข้างเห็นอันหลิงเกอมีอำนาจมากเพียงนี้ก็ยกยิ้มชื่นชม

“ได้ยินว่าท่านอ๋องจะยกเจ้าแก่ประมุขเผ่าปิงชวน ดูท่าจะเป็นเรื่องจริง” อันหลิงเกอเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ ทำให้ใบหน้าของทัวป๋าถิงฟางซีดเผือดยิ่งขึ้น

“เจ้าค่ะ” ทัวป๋าถิงฟางทอดถอนใจ ทว่าจู่ ๆ นางก็ฉุกคิดแผนการได้ฉับพลัน มู่เหล่าหวางเฟยให้นางหาตัวแทน เช่นนั้น…

บางทีอันหลิงเกออาจเป็นหนึ่งในนั้น! เมื่อเจ้ามาเยือนถึงที่ก็อย่าหาว่าข้ามิเกรงใจแล้วกัน!

“พระชายาเจ้าคะ ตามถิงฟางมาทางนี้ได้หรือไม่ ? ”

ทัวป๋าถิงฟางมีแผนการอยู่ในใจ มิว่าเยี่ยงไรก็ต้องดำเนินการให้สำเร็จ นางไม่มีวันยอมให้มู่จวินฮานส่งตัวให้เผ่าปิงชวนเด็ดขาด

ตอนนี้มู่จวินฮานยังมิรู้ว่าอันหลิงเกออยู่ในหอพิษกู่ หากทำให้ประมุขเผ่าปิงชวนชอบอันหลิงเกอได้ ก็…

“คารวะท่านประมุขเจ้าค่ะ”

คิดได้ดังนั้น พอเห็นประมุขเผ่าปิงชวนแล้วทัวป๋าถิงฟางก็รีบพุ่งตัวเข้าไปทำความเคารพทันที ท่าทางของนางดูถ่อมตนเล็กน้อยและพยายามปกปิดใบหน้าให้เหมือนสาวใช้

และก็เป็นอย่างที่คาดไว้จริง สายตาของท่านประมุขจับจ้องไปยังอันหลิงเกอทันที

“ข้าคือประมุขเผ่าปิงชวนและยินดีที่ได้พบเป็นอย่างยิ่ง”

เดิมทีคิดว่าท่านประมุขต้องเป็นชายฉกรรจ์ที่หยาบคายคนหนึ่ง คาดมิถึงว่ายังสง่างามและมีมารยาทมากด้วย สายตาของเขาจับจ้องไปยังอันหลิงเกอ

“ข้าน้อยอันหลิงเกอเป็นคนจากหอพิษกู่ ส่วนท่านนี้คือคุณหนูทัวป๋าผู้เชื่อมสัมพันธ์กับเผ่าปิงชวนเจ้าค่ะ”

อันหลิงเกอเข้าใจความคิดของทัวป๋าถิงฟาง นางจึงรีบชิงประคองตัวทัวป๋าถิงฟางขึ้นมาพลางเอ่ยกับท่านประมุขเผ่า

ท่านประมุขเผ่าหันไปมองทัวป๋าถิงฟาง แต่นัยน์ตากลับฉายแววผิดหวัง

ทัวป๋าถิงฟางก็คาดมิถึงว่าอันหลิงเกอจะมีปฏิกิริยาตอบสนองไวกว่า นางยังมิทันได้ทำอันใดก็ถูกผลักออกมาแล้ว

“สตรีเมืองหลวงล้วนอ่อนโยนเยี่ยงนี้เสมอ เมื่อครู่คงละเลยไป คุณหนูทัวป๋าเชิญทางนี้”

แม้ท่านประมุขเผ่าสนใจอันหลิงเกอแต่ก็ต้องไว้หน้าหอพิษกู่ อย่างไรเจ้าภาพของงานเลี้ยงในครานี้ก็คือฟางหลิงซู่

ที่อันหลิงเกอคิดเลี่ยงออกมาเพราะมิอยากให้เขาต้องหวั่นไหวอันใดอีก

ทัวป๋าถิงฟางมองไปทางพ่อบุญธรรมที่อยู่ข้างกายเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ได้รับแค่รอยยิ้มปลอบใจ นางกัดริมฝีปากเล็กน้อย มิรู้ว่าครั้งนี้ตนจะหนีรอดไปได้หรือไม่

“ท่านพี่ อันหลิงเกอ…” ในตอนนั้นเองก็มีคนผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาจากข้างนอกด้วยความร้อนใจและน้ำตานองหน้า

หนานกงหลิงเยว่! อันหลิงเกอที่ยังมีทันเดินออกไปก็รีบเข้ามาประคองนางไว้ ขาทั้งสองข้างของนางมิค่อยคล่องแคล่วนัก เหตุใดจึงวิ่งเร็วเยี่ยงนี้!

“เป็นอันใดไปหรือ?” แววตาของฟางหลิงซู่เต็มไปด้วยความโกรธ

“กูซูเฉี่ยอวี่ พวกเขาวางแผนทำลายหอพิษกู่ของเราเจ้าค่ะ!”

ที่แท้เพราะหนานกงหลิงเยว่ไปโรงน้ำชาก่อนจึงบังเอิญได้ยินบทสนทนาด้านใน กูซูเฉี่ยอวี่กำลังปรึกษาว่าจะทำเยี่ยงไรกับนาง จากนั้นก็ทรยศหอพิษกู่

หนานกงหลิงเยว่โกรธเลยวิ่งเข้าไป คาดมิถึงว่าจะโดนผู้อื่นทำร้าย ทั้งที่ขาก็ยังมิหายดีแต่นางก็รีบวิ่งกลับมา

“องครักษ์ จงสังหารคนในราชสำนักในงานให้สิ้นซาก ! ”

นิสัยของฟางหลิงซู่เป็นคนที่โกรธง่ายอยู่แล้ว พอได้ยินว่าหนานกงหลิงเยว่ได้รับความมิเป็นธรรมจึงสั่งให้คนพาท่านประมุขออกไปและเริ่มสังหารคนในงานเลี้ยงวันนี้ทันที

อัครมหาเสนาบดีผู้นั้นหนีไม่รอด ส่วนทัวป๋าถิงฟางก็รีบซ่อนตัวด้านหลังอันหลิงเกอซึ่งมิได้สนใจนางเลย

เพราะเป็นสตรีจึงถือโอกาสช่วงชุลมุนหนีออกไป ส่วนภายในห้องโถงก็คละคลุ้งไปด้วยโลหิต

“ท่านพี่…”

ดวงตาของหนานกงหลิวเยว่เต็มไปด้วยน้ำตา ท่าทางในเวลานี้ทำให้อันหลิงเกอมิรู้ว่าจะกล่าวอันใด นางโอบไหล่ของหนานกงหลิงเยว่ไว้ อยากเอ่ยถามแต่ก็ถามมิออก

“เจ้าสังหารเขาแล้วหรือ ? ” นัยน์ตาของฟางหลิงซู่เต็มไปด้วยความโกรธ เขามองไปทางหนานกงหลิงเยว่ด้วยความมิสบอารมณ์กับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ยังเจ้าค่ะ…” หลังจากน้ำเสียงของนางสิ้นสุดลงได้มินาน เสียงของกูซูเฉี่ยอวี่ก็ดังขึ้นหน้าประตู

“หลิงเยว่ เมื่อครู่เจ้าได้ยินทุกอย่างแล้วใช่หรือไม่ ? ”

มิรู้ว่าเพราะเหตุใดอันหลิงเกอจึงรู้สึกว่าแววตาของกูซูเฉี่ยอวี่ผู้นี้สามารถไว้ใจได้ ราวกับ…

“หึ ใช่…”

หนานกงหลิงเยว่เพิ่งกล่าวจบก็มีคนผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นตรงหน้าเขาและใช้มีดที่เปื้อนไปด้วยเลือดแทงบนหน้าอกของกูซูเฉี่ยอวี่

“ไม่ ! ” คนที่ตะโกนออกมามิใช่ใครอื่นแต่เป็นอันหลิงเกอ

นางเพิ่งเข้าใจในส่วนที่แปลกประหลาด เหตุใดหนานกงหลิงเยว่จึงบังเอิญได้ยินความลับทั้งหมดนี้ในโรงน้ำชา ? กูซูเฉี่ยอวี่มิได้เผยพิรุธใดมาก่อน แล้วเหตุใดจึงเปิดเผยความลับก่อนจะมาสู่ขอหนานกงหลิงเยว่ด้วย ?