ตอนที่ 629 แค่ยืนก็ยืนไม่มั่นคง
ศีรษะเล็กๆ ของนางค่อยๆ ค้อมไปทางด้านหน้า
นางคุกเข่าได้อย่างลำบาก ตุปัดตุเป๋ไปหมด หวงเผยซานที่มองดูอยู่ด้านข้างยังรู้สึกว่านางจะล้มลงไปบนพื้นหรือไม่
เขาอยากจะเข้าไปรับซูหลีเอาไว้ ทว่าก็กลัวว่าจะทำให้ฉินเย่หานโมโห เขาจึงได้แต่ยืนร้อนใจอยู่ด้านข้าง
ทว่าฉินเย่หานไม่ใช่ว่าไม่เห็น เพียงแต่สีหน้าของเขากลับฉายแววประหลาดอมยิ้ม เขาเห็นท่าทางของซูหลีก็อดหวนคิดถึงกริยาท่าทางสวยหยาดเยิ้มจนถึงขีดสุดยามที่อยู่ใต้ร่างตนเองเมื่อคืนมิได้
จนกระทั่งถึงตอนนี้ แม้นางจะไม่รู้สึกตัว ทว่ากลับทั้งร่ำไห้ทั้งตะโกนว่าไม่ต้องการแล้ว
เช้าวันนี้กลับต้องอธิบายกับเขาอย่างห้าวหาญและองอาจ จนถึงบัดนี้กลับแบกรับแทบไม่ไหวแล้ว
ที่น่าแปลกเป็นอย่างมากก็คือ ซูหลีถูกลงโทษให้คุกเข่านานเช่นนี้ ทว่าฉินเย่หานเห็นนางที่สัปหงกขณะคุกเข่า สีหน้าของเขากลับดูดีขึ้นไม่น้อย
หากเปรียบกับตอนที่เริ่มประชุมราชกิจ กลับมีสีหน้าอ่อนโยนกว่าเดิมมิน้อย
แม้ใบหน้าจะไร้ซึ่งอารมณ์ ทว่าหวงเผยซานนั้นที่เข้าใจกิริยาท่าทางของฉินเย่หานที่สุด ในชั่วขณะนี้กลับเห็นหัวคิ้วของฉินเย่หานคลี่คลายออก
เขาจึงทราบทันทีว่าฉินเย่หานไม่ได้โมโหเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
นี่ช่างประหลาดโดยแท้ เมื่อครู่ซูหลีใช้หัวชนฮ่องเต้แล้ว หวงเผยซานยังคิดว่าฮ่องเต้จักต้องจัดการอะไรกับซูหลีอย่างแน่นอน คิดไม่ถึงว่าเขาไม่เพียงแต่ไม่จัดการอะไรกับซูหลี อีกทั้งเมื่อเห็นซูหลีสัปหงก อารมณ์ของฮ่องเต้ดีขึ้นอย่างประหลาดยิ่ง
นี่…
สรรพสิ่งในโลกนั้นช่างประหลาดโดยแท้ หวงเผยซานรู้สึกว่าสุดท้ายก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่สามารถพิชิตอีกสิ่งหนึ่งได้
แน่นอนว่าคำพูดนี้ แม้อาศัยความกล้านับร้อยของเขา เขาก็ไม่กล้าเอ่ยคำพูดนี้ออกมา
…
“จบการประชุมได้!” เมื่อเสียงก้องกังวานนี้จบลง ร่างทั้งร่างที่แน่นิ่งสนิทพลันลืมตาขึ้นอย่างฉับพลัน
ตอนที่ไม่ลืมตาขึ้นยังดี ทันทีที่ลืมตาขึ้นก็สบเข้ากับดวงตาดุจบึงน้ำที่หนาวเย็นคู่นั้นพอดี
ดวงตาคู่นั้นจ้องมองซูหลีตาไม่กะพริบ มองดูจนหัวใจของซูหลีเต้นแรงกระหน่ำ อาการสัปหงกหายไปในพริบตา
“ถวายบังคมพะย่ะค่ะฝ่าบาท!” ขุนนางที่อยู่เบื้องล่างต่างพากันคุกเข่าและเอ่ยขึ้นพร้อมๆ กัน
ในที่สุดซูหลีก็รู้สึกตัว ตายแล้ว ตายแล้ว
ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ทรงลงโทษให้นางคุกเข่า ทว่านางกลับนั่งสัปหงก บัดนี้การประชุมราชกิจได้จบลงแล้ว นางเพิ่งจะตื่นขึ้น ฉินเย่หานจะไม่ยิ่งโมโหหรอกกระมัง
หวงเผยซานผู้นั้นจริงๆ เลย เห็นนางเผลอหลับไปแล้วก็ไม่เรียกนางสักนิด กลับปล่อยให้นางหลับไปเช่นนี้
การสัปหงกในตำหนักอวิ๋นเซียว ในอดีตไม่เคยมีปรากฏมาก่อน หลังจากนั้นก็ไม่มีใครที่กระทำอะไรแปลกๆ นอกจากนางแล้ว!
“หึ” ในขณะที่ซูหลีกำลังขุ่นเคือง พลันได้ยินเสียงเย็นที่แสดงความไม่พอใจดังขึ้น ทันทีที่ชายตาขึ้นก็พบฉินเย่หานที่ลุกขึ้นและเตรียมก้าวเท้าเดินออกไป
นางอ้ำอึ้งไป บัดนี้เกิดอะไรขึ้นอีก
นางยังต้องคุกเข่าที่นี่ต่อไป หรือต้องย้ายที่คุกเข่ากัน
“ถ้านฮวาซูยังไม่รีบตามไปอีก!” หวงเผยซานรีบเดินตามหลังฉินเย่หานไปอย่างรีบร้อน เมื่อหันศีรษะกลับมายังเห็นซูหลีที่ยังคุกเข่าอย่างทึ่มทื่อจึงพูดเตือนสตินางประโยคหนึ่ง
คิดไม่ถึงว่านางจะคุกเข่าบนพื้นนานจนเกินไป กอปรกันเมื่อวานร่างกายของนางทำงานหนักเกินไป ทำให้ร่างกายบางส่วนรู้สึกเจ็บปวดอยู่
ในเวลานี้เมื่อต้องการจะลุกขึ้น ก็พยายามฝืนร่างกายตนเองให้ทรงตัวอยู่นาน ทว่าแม้แต่เท้าก็ยังลุกไม่ขึ้นรู้สึกเหน็บชาทั้งร่างกาย
ซูหลีเริ่มรู้สึกร้อนใจ ด้านข้างยังมีขันทีผู้น้อยที่เป็นผู้ติดตามฉินเย่หานเห็นนางอับจนหนทาง เขาจึงเดินเข้ามาพยุงนางขึ้น นางถึงได้ลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซขึ้นมาได้
เพียงแต่ท่าเดินของนางนั้นแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
บัดนี้หากมีนางข้าหลวงที่ถนัดเรื่องระหว่างชายหญิงอยู่ล่ะก็ แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเมื่อคืนนี้ซูหลีทำอะไรมา
“นี่เจ้าเป็นอะไร แม้แต่ยืนก็ยังยืนไม่มั่นคง!”
ตอนที่ 630 กระหม่อมมิได้เจตนา
น่าเสียดายคนที่นี่ล้วนเป็นคนหยาบกระด้าง ซูหลีเดินโซซัดโซเซลงมาจากพระที่นั่ง จี้ฉินเห็นท่าทางของนางก็อดเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงประโยคหนึ่งมิได้
ทันทีที่ซูหลีได้ยินคำพูดของเขา ใบหน้าก็แดงระเรื่ออย่างอดกลั้นเอาไว้ไม่ได้
นี่จะให้นางพูดอย่างไรดี อย่างไรก็ไม่อาจเอ่ยความนัยออกมาได้ว่าเมื่อคืนฮ่องเต้มีความต้องการไม่จำกัด ดังนั้นนางถึงได้แข้งขาอ่อนดังนี้กระมัง
คำพูดนี้หากพูดออกมา ซูหลีก็ไม่ต้องมีชีวิตต่อไปแล้ว!
“มะ ไม่เป็นไร เพียงแค่คุกเข่านานไปเท่านั้น แข้งขาอ่อน!” ซูหลีโบกมือไปมา นางอธิบายด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนเกินจะเปรียบ
จี้ฉินได้ยินดังนั้นจึงใช้สายตาแปลกประหลาดมองนางปราดหนึ่ง
น่าเสียดายที่คุณชายเหล่านี้หาได้เข้าใจปัญหาของร่างกายสตรีเสียที่ไหน เขาเพียงมองปราดหนึ่งจากนั้นจึงพยักหน้าอย่างลังเลใจและเอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า
“เจ้าก่อเรื่องอะไรอีกล่ะ เมื่อวานพึ่งจะร่วมงานเลี้ยงของฮ่องเต้ วันนี้เจ้ากลับก่อเรื่องอะไร ช่างขยันหาเรื่องไม่หยุดหย่อนโดยแท้!”
เมื่อซูหลีได้ยินดังนั้น ก็เผยยิ้มออกมาแบบขมขื่นและมีรอยกังวล นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางเต็มใจกระทำเสียหน่อย
ใครจะรู้ว่าฉินเย่หานจะกระทำเรื่องเช่นนี้ต่อนางกัน…
“ไม่สามารถใช้คำพูดคำเดียวอธิบายเรื่องทั้งหมดได้ ข้าขอตัวไปก่อน รอข้าผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปก่อน ข้าจะเลี้ยงสุราเจ้า!” ซูหลีไม่กล้าอยู่ที่นี่อีกนาน หลังจากพูดกับจี้ฉินไม่กี่ประโยคนางรีบก้าวเท้าเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ฉินเย่หานยังโกรธนางอยู่ หากนางไปถึงช้าเช่นนั้นเกรงว่าคงจะยิ่งร้ายแรงกว่าเดิมโดยแท้!
“เฮ้อ…” จี้ฉินยังต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่านางรีบเดินจากไปอย่างรวดเร็วมาก เพียงชั่วพริบตาเดียวก็หายไปจากตรงหน้าจี้ฉิน เพียงแต่ท่าเดินกึ่งวิ่งของนางนั้นดูทะแม่งๆ
จี้ฉินมองดูแล้วอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ เวลาคุกเข่านานเกินไปจะเป็นเช่นนี้จริงๆ หรือ
“ไปเถอะ” ฉินมู่ปิงที่ยืนถัดจากจี้ฉิน เขารับฟังบทสนทนาระหว่างซูหลีกับจี้ฉินทั้งหมด ในดวงตามีประกายความซับซ้อนพาดผ่าน ทว่าเขาไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงเรียกจี้ฉินให้เดินออกไปพร้อมกัน
ทั้งสองไม่ได้มีตำแหน่งขุนนางอะไร เดิมทีพวกเขาไม่ควรปรากฏตัวในการประชุมราชกิจยามเช้าวันนี้ ทว่าทางสำนักเต๋อซั่นมีเรื่องที่ต้องกราบทูลฮ่องเต้ อีกทั้งเป็นเรื่องด่วนมาก อาจารย์ผู้ดูแลไม่มีอภิสิทธิ์เข้ามาในท้องพระโรง จึงให้ฉินมู่ปิงที่เป็นซื่อจื่อเข้ามากราบทูล
เมื่อฉินมู่ปิงเข้ามา แน่นอนว่าเขาก็ถือโอกาสพาจี้ฉินมาด้วย ทั้งสองคนอยู่ติดกันเป็นเงาตามตัวมาโดยตลอด ทุกคนเห็นจนชาชินกับเรื่องนี้แล้ว
เดิมพวกเขาปรากฏตัวบนท้องพระโรงควรจะดึงดูดความสนใจของผู้อื่นถึงจะถูก ใครจะรู้ว่าวันนี้ซูหลีจะก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ขึ้น กลับทำให้มีคนไม่กี่คนเท่านั้นที่สังเกตเห็นพวกเขาทั้งสองคน
…
ทางด้านซูหลีวิ่งเหยาะๆ ตามหลังฉินเย่หานตลอดทาง จนเข้าไปยังภายในห้องทรงอักษร
ทันที่ที่เข้าไป ซูหลีก็พบกับหวงเผยซานที่กำลังเดินออกไปข้างนอก
“หวงกงกง!” ซูหลีรีบคว้ามือเขาเอาไว้และเอ่ยว่า “ฮ่องเต้…?”
นี่นางกำลังถามถึงอารมณ์ของฮ่องเต้อย่างอ้อมๆ
หวงเผยซานส่ายหน้าอย่างไร้อารมณ์ เพียงแต่เมื่อเห็นใบหน้าที่เคร่งขรึมของเขาแล้ว ซูหลีก็ทราบทันทีว่าอารมณ์ของฉินเย่หานคงจะไม่ค่อยดีนัก
นางถอนหายใจอย่างแผ่วเบาออกมาเฮือกหนึ่ง จึงปล่อยมือหวงเผยซานออก และผงกศีรษะให้กับเขา จากนั้นเดินเข้าไปภายในห้องทรงอักษรอย่างยอมรับชะตากรรมของตัวเอง
ในชั่วขณะนี้ ฉินเย่หานกำลังนั่งอยู่ภายในห้องทรงอักษร มีเขาแต่เพียงผู้เดียว ข้ารับใช้ที่ปรนนิบัติเขากลับไม่หลงเหลืออยู่ภายในสักคน
ทันทีที่ซูหลีเข้ามา เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หัวใจจึงเต้นตึกตักในทันที
นางรู้สึกว่าฉินเย่หานเจตนาแยกผู้ติดตามข้างกายให้ออกไปจากห้อง ก็เพื่อจะจัดการกับนาง!
ไม่ว่าเรื่องอะไรนางก็สามารถหลบหนีออกไปได้ ทว่าครานี้นางไม่สามารถที่จะทำเช่นนี้ได้
นางกัดฟันและหยุดไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก้าวเท้าเดินเข้าไปคุกเข่าข้างกายของฉินเย่หานด้วยจิตสำนึก และเอ่ยว่า
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงยังโกรธกระหม่อมหรือไม่ ฝ่าบาท… กระหม่อมมิได้มีเจตนาเช่นนี้!”
พูดจบนางก็ยื่นมือไปดึงชายเสื้อของฉินเย่หานเอาไว้