ตอนที่ 631 เอาใจ / ตอนที่ 632 สังคมศักดินาที่ชั่วร้าย

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 631 เอาใจ

 

 

ฉินเย่หานหลุบตามองนาง และมองเห็นใบหน้าเจือไปด้วยรอยยิ้มเอาใจของนาง ดวงตากลมสดใสเปล่งประกายแวววาวเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้ที่มองเห็นทุกคนถึงกับรู้สึกใจอ่อน

 

 

ที่จริงแล้วหลังจากทำให้นางทรมานมาตลอดเช้านี้ ฉินเย่หานก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ทว่าอย่างไรก็ยังมีความโกรธหลงเหลืออยู่ ใครใช้ให้ซูหลีแสดงท่าทางที่ยอมตายเสียดีกว่าจะเข้าไปเป็นสนมในวังหลังเล่า

 

 

ในขณะนี้เมื่อเห็นนางปฏิบัติต่อตนด้วยท่าทีออดอ้อนออเซาะ ฉินเย่หานก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ทว่าใบหน้ากลับไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา เพียงจ้องมองนางตาเขม็งเท่านั้น

 

 

“ฮ่องเต้ ฝ่าบาท กะ กระหม่อม…” เมื่อคุกเข่ามาตลอดเช้า ที่จริงแล้วซูหลีก็เข้าใจว่าเหตุใดฉินเย่หานถึงโมโห

 

 

ใจความสำคัญก็เป็นเพราะนางปฏิเสธเรื่องเข้าไปเป็นสนมในวังหลัง หากกล่าวว่าเป็นเพราะเรื่องการเป็นสตรีของนาง นางคาดว่าฮ่องเต้คงจะไม่กริ้วถึงขนาดนั้น หากทรงโกรธขนาดนั้นจริงๆ ทำไมเมื่อวานยังจะกลืนกินนางอีก

 

 

ไม่ลากนางไปตัดศีรษะเสียเลยเล่า

 

 

สุดท้ายแล้วก็เป็นเพราะเรื่องที่นางไม่รู้จักวางตัวและปฏิเสธเรื่องการเข้าไปอยู่ในวังหลัง

 

 

ดวงตาซูหลีเคลื่อนวูบไหวเล็กน้อย ในใจคอยให้กำลังใจตนเองอย่างไม่หยุดหย่อน ผ่านไปพักใหญ่ ถึงได้เปิดปากเอ่ยว่า “กระหม่อมเลื่อมใสและศรัทธาฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

คำพูดประโยคนี้คล้ายกับประโยคสารภาพรัก ทันใดนั้นบรรยากาศภายในห้องทรงอักษรดีขึ้นกว่าเดิมโดยฉับพลัน

 

 

ฉินเย่หานมองนางด้วยสายตาลึกซึ้ง แววตาสื่อความหมายออกมาอย่างชัดเจน

 

 

ซูหลีที่ถูกเขามองเช่นนี้ นางรู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นกระหน่ำ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดประโยคนี้ของนางหรือเป็นเพราะสายตาของฉินเย่หานสื่อออกมาอย่างตรงไปตรงมาเกินไป

 

 

นางหยุดชะงักไปครู่หนึ่งและเอ่ยว่า “กระหม่อมไม่สมัครใจเข้าไปอยู่ในวังหลัง มิใช่เป็นเพราะรู้สึกโมโหในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน” เมื่อเอ่ยประโยคนี้ออกมา แม้แต่ตัวนางเองอดไม่ได้ที่จะถ่มน้ำลายใส่ตัวเอง

 

 

นี่เพื่อชีวิตน้อยๆ ของตน แม้แต่ศักดิ์ศรีก็ไม่ต้องการแล้ว!

 

 

ใครบอกว่าไม่สนใจ! นางให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากรู้หรือไม่!? เพียงแต่บัดนี้ไม้กลายเป็นเรือไปเสียแล้ว[1] นางยังจะสามารถทำอะไรได้อีกหรือจะให้ฆ่าตัวตายเลียนแบบสตรีบริสุทธิ์อะไรพวกนั้นหรือ นางเสียดายชีวิตเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีเรื่องมากมายที่ต้องไปกระทำ ไยจะสามารถตายในเวลานี้ได้

 

 

ยิ่งกว่านั้นอย่างไรนางก็ถือเป็นคนที่มาจากยุคสมัยใหม่ เนื้อเยื่อบางๆ ชั้นนั้นอย่างไรก็ไม่อาจเป็นชีวิตของนางได้ ในเมื่อไม่มีแล้วก็ไม่มีแล้ว

 

 

นางจะสามารถผ่านด่านตรงหน้านี้ไปได้อย่างไร นี่ถึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเท่าที่เจอมา

 

 

ในใจซูหลีทราบดีว่า แม้สถานการณ์ตรงหน้าตกอยู่ในอันตรายเป็นอย่างมาก ทว่าหากวันนี้นางสามารถทำให้ฉินเย่หานพอใจได้ เช่นนั้นก็คงเป็นการขจัดปัญหาสำคัญในใจออกไปได้ ต่อไปก็ไม่ต้องกังวลว่า เรื่องการปลอมตัวเป็นบุรุษของตนจะทำให้นางต้องตายหรือไม่

 

 

ดังนั้นมีเรื่องดีก็มีเรื่องร้าย หากเปรียบเทียบกันแล้วเรื่องที่ถูกคนกินจนเรียบเมื่อวาน ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรขนาดนั้นแล้ว

 

 

“ฝ่าบาททรงทราบดีว่า กระหม่อมเป็นคนที่ไม่มีระเบียบนัก การเข้าไปอยู่ในวังหลังก็เหมือนกับการตัดแขนของกระหม่อมแล้ว นี่…” ซูหลีพูดถึงตรงนี้ก็ชายตามองฉินเย่หาน ภายในดวงตารูปดอกท้อที่งดงามคู่นั้นใสแจ๋ว กิริยาท่าทางที่ปราดเปรียวเป็นอย่างมาก กะพริบตาปริบๆ อย่างน่าสงสาร

 

 

ฉินเย่หานถูกนางมองเช่นนี้ แม้เบื้องลึกของหัวใจจะมีความโกรธมากขึ้นเพียงใด ก็แสดงความโกรธออกมาไม่ได้

 

 

เขาเพียงมองนางและแค่นเสียงแสดงความไม่พอใจออกมา ทว่าน้ำเสียงนี้กลับไม่ได้เย็นยะเยียบเฉกเช่นแต่ก่อน

 

 

ซูหลีจึงรู้สึกว่านางเดินมาถูกทางแล้ว

 

 

“นอกจากนี้ ที่กระหม่อมกล่าวว่าจะตอบแทนราชสำนัก ไม่ใช่ข้ออ้าง อย่างเรื่องโรคระบาดฝ่าบาทก็ทอดพระเนตรเห็นแล้ว หากกระหม่อมเข้ามาอยู่ในวังหลัง เช่นนั้นในวันหน้าภายในราชสำนักเกิดเรื่องอะไรขึ้น กระหม่อมก็มิอาจยื่นมือเข้าไปยุ่งได้ ตั้งแต่อดีตสตรีในวังหลังมิอาจแทรกแซงงานราชการแผ่นดินได้! ฝ่าบาทก็คงจะไม่ริเริ่มเรื่องนี้เพื่อกระหม่อมหรอกกระมัง”

 

 

ซูหลีเอ่ยทุกอย่างให้จบในเวลาเดียว

 

 

ฉินเย่หานมองนางด้วยแววตาที่อ่อนลง แม้จะรู้ว่าเนื้อความส่วนใหญ่ในคำพูดของนางนี้ล้วนเพื่อทำให้ตนเองหลุดพ้น ทว่านางที่ฟุบหน้าลงที่บนเข่าของเขาด้วยท่าทางที่ว่านอนสอนง่าย กลับทำให้เขาอารมณ์ดีมาในทันที

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 632 สังคมศักดินาที่ชั่วร้าย

 

 

นางเป็นคนเฉลียวฉลาดโดยแท้!

 

 

“ฝ่าบาท…” เมื่อเห็นฉินเย่หานไม่เอ่ยอะไร เพียงแต่มีสีหน้าที่ผ่อนคลายลงจำนวนไม่น้อย ซูหลีก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าบรรยากาศภายในห้องทรงอักษรรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย นางชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พิงท่อนขาของฉินเย่หานและลุกขึ้นมา

 

 

จากนั้นนางจึงหลับตาของตนเองลง คล้ายกับตัดสินใจอะไรบางอย่างมิปาน นางพลันโน้มตัวเข้าใกล้ฉินเย่หาน

 

 

“จุ๊บ!” ริมฝีปากอ่อนนุ่มของซูหลีสัมผัสกับริมฝีปากของฉินเย่หานครู่หนึ่ง จนเกิดเป็นเสียงดังขึ้น

 

 

ใบหน้าของซูหลีแดงระเรื่อคล้ายกับจะระเบิด นางไม่เคยกระทำเรื่องเช่นนี้มาก่อนเลยตลอดที่ใช้ชีวิตมาสามชาติแล้ว! ขายหน้านัก! ขายหน้าจนถึงที่สุด!

 

 

สังคมศักดินาที่ชั่วร้ายนี้ ถูกคนกลืนกินเข้าไปแล้ว ยังต้องพูดออดอ้อนให้เขาดีใจอีก ซูหลีนั้นรู้สึก…

 

 

สมองของนางสับสนไปหมด ในชั่วพริบตาเดียวก็ฉุกคิดถึงเรื่องนู่นนี่ได้จำนวนไม่น้อย ขณะที่นางกำลังจะถอยออกมา พลันรู้สึกว่าช่วงเอวของตนถูกกระชับไว้แน่น ซูหลีเริ่มรู้สึกเกร็ง จากรีบลืมตาขึ้นมองที่ฉินเย่หาน

 

 

ทว่ากลับเห็นริมฝีปากของเขาที่กดลงบนใบหน้าของนาง

 

 

จิตใต้สำนึกของซูหลีอยากจะหลบเขา ทว่าความคิดนี้พาดผ่านเข้ามาในใจเพียงพริบตาเดียว เขาก็กดร่างของนางลงไปเสียแล้ว

 

 

ช่างเถอะ ในเมื่อมีอำนาจสู้เขาไม่ได้ อย่างไรก็ต้องยอมก้มหัว

 

 

ทว่าจุดจบของการก้มหัวก็คือ…

 

 

“อื้อ!” จุดที่อ่อนนุ่มบางส่วนของนางถูกเขากอบกุมไว้ในมือ

 

 

ซูหลีอยากจะผลักมือเขาออกทันที ทว่าก็สายไปเสียแล้ว

 

 

กว่านางจะมีปฏิกิริยาตอบสนองก็ถูกคนตรงหน้ากดลงบนโต๊ะมังกรสีดำและกินนางอย่างพึงพอใจเสียแล้ว

 

 

เพียงช่วงเวลาหนึ่ง ภายในห้องทรงอักษรก็เกิดเสียงคลุมเครือต่างๆ นานาดังขึ้น

 

 

ซูหลีก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ ได้พักผ่อนในช่วงเช้าแล้ว นางถูกเขาแยกร่างและถูกจับกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกในขณะที่นางรู้สึกตัวดี

 

 

ด้านนอกห้องทรงอักษร หวงเผยซานที่เฝ้าประตูอยู่นั้นหูผึ่ง สามารถได้ยินเสียงซูหลีส่งเสียงร้องหรือไม่นะ

 

 

เขากล้าฟังเพียงครู่เดียวเท่านั้น จากนั้นจึงรีบเอาศีรษะของตนเองออกมาอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าที่จะรับฟังต่อ

 

 

ทว่าในใจกลับรู้สึกผ่อนคลายลง

 

 

อย่างไรซูหลีก็มีวิธีจัดการเรื่องนี้ ฮ่องเต้ทรงโกรธเสียขนาดนี้ กลับถูกนางปลอบประโลมจนสงบลงได้ แม้จะต้องใช้วิธีนี้ก็ตาม…

 

 

หวงเผยซานไอออกมาเบาๆ มีบางเรื่องที่ไม่ว่าจะใช้วิธีใด ขอเพียงแค่มีวิธี เช่นนั้นก็เป็นวิธีที่ดีแล้วไม่ใช่หรือ

 

 

การเคลื่อนไหวภายในยังดำเนินอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งฉินเย่หานส่งเสียงทุ้มต่ำเรียกข้ารับใช้เข้ามา หวงเผยซานก็เกือบจะหลับที่ด้านนอกแล้ว

 

 

เมื่อเขาจะรู้สึกตัว ก็ถึงได้เรียกให้คนนำน้ำร้อนเข้าไป

 

 

เพราะอุปนิสัยของฉินเย่หานเป็นเช่นนี้ เขาจึงไม่กล้าเหลือคนคอยปรนนิบัติเอาไว้ภายใน จึงต้องรอคนด้านในเอ่ยว่าเข้ามาได้ เขาถึงสามารถนำคนเข้าออกภายในได้

 

 

ขณะที่หวงเผยซานเข้าไป ซูหลีก็แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ใบหน้าของนางนั้นแดงก่ำประหนึ่งมีเลือดไหลออกมามิปาน

 

 

หวงเผยซานไม่กล้ามองซูหลีมากนัก ทว่าซูหลียิ่งก้มศีรษะจับชายเสื้อของตนเอง

 

 

สวรรค์ แม้แต่มือของนางตอนนี้ก็ยังสั่นไม่หยุด!

 

 

ฉินเย่หานที่เย็นชาและเยือกเย็น ไยเมื่อเผชิญกับเรื่องเช่นนี้ กลับคล้ายกับสุนัขจิ้งจอกก็มิปาน!

 

 

อีกทั้งยังเป็นสุนัขจิ้งจอกที่หิวโซ!

 

 

เมื่อครู่ซูหลีรู้สึกว่าตนใกล้จะหมดสติไปแล้ว เขาก็ยังไม่เสร็จสักที

 

 

นี่ช่าง…

 

 

ในใจของซูหลีรู้สึกแปลกๆ นางนั้นมิได้เข้าวังหลัง ทว่ากลับกระทำเรื่องเหล่านี้ ก็ไม่ต่างกับนางสนมในวังหลังเลยสักนิด

 

 

ไม่ว่าอย่างไรในใจนางก็รู้สึกเสียใจ ทว่าอย่างไรในชาตินี้นางก็ไม่คิดจะออกเรือน บัดนี้กลายเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ไม่ถือว่ามีแต่เรื่องไม่ดี เพียงแต่ในใจของนางมีความรู้สึกเหมือนมีบางอย่างขาดหายไป ทำให้ใจนางรู้สึกว่างเปล่า ไม่เป็นตัวของตัวเองเป็นอย่างมาก

 

 

“หวงเผยซาน”

 

 

“บ่าวอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ!” ขณะที่กำลังครุ่นคิด กลับเห็นฉินเย่หานเดินออกมา

 

 

 

 

——

 

 

[1] ไม้กลายเป็นเรือ เป็นสำนวน หมายถึง เรื่องราวมันเสร็จสิ้นไปแล้ว ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้