ตอนที่ 367 เจอกันครั้งหน้า เราได้เห็นดีกันแน่
“แน่นอน สาวกปีศาจที่อยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมทั้งหมดนั้น…”
หลิงเฉินโอบอุ้มอากวงอยู่ในอ้อมแขน นางลูบหัวมันอย่างแผ่วเบาและกล่าวต่อ “ย่อมไม่ใช่ข้าอยู่แล้ว”
เฮ้อ
หลินเป่ยเฉินระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
อาการขนลุกขนชันทั่วร่างของเขาสลายหายไป
หลิงเฉินกระพริบตาปริบๆ ด้วยความขบขัน “พี่เป่ยเฉินเชื่อคนง่ายถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
หลินเป่ยเฉินพูดว่า “เจ้าก็อย่าพูดจาให้ข้าตกใจสิ”
ท่านนักพรตใหญ่เคยบอกไว้ว่าในเมืองหยุนเมิ่งยังคงมีสาวกปีศาจหลบซ่อนตัวอยู่อีก 2 คน
ดูเหมือนว่าหลิงเฉินน่าจะเป็นหนึ่งในนั้น
แต่บัดนี้ หลินเป่ยเฉินไม่ได้คิดอย่างนั้นอีกแล้ว
เหตุผลที่เขาเชื่อใจหลิงเฉิน ไม่ใช่เห็นแก่หน้าตาที่สวยงามของนาง แต่เป็นเพราะว่าเขาสัมผัสได้เมื่อสักครู่นี้ ตอนที่ลายเส้นสีแดงปริศนาปรากฏขึ้นบนใบหน้าหลิงเฉิน พลังงานที่แผ่ออกมาจากร่างกายของนางมันแตกต่างจากพลังปีศาจที่แผ่ออกมาจากตัวของมี่หรู่หยานกับเยว่หงเซียงตอนกลายร่าง
ดังนั้น นางคงไม่ใช่สาวกปีศาจแน่นอน
ยิ่งได้รับฟังคำตอบจากเด็กสาว หลินเป่ยเฉินก็ยิ้มแย้มออกมาด้วยความโล่งอกมากขึ้น
“ท่านนี่มันเหลือเชื่อจริงๆ เลยนะ”
หลิงเฉินเกาท้องของอากวงที่ยังคงหลับตาพริ้มในขณะที่พูดต่อไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “ก็อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ ตัวข้าไม่ได้ชอบท่าน แต่เป็นตัวข้าอีกคนหนึ่งต่างหากที่ชอบท่าน เอาเป็นว่าข้าจะปลดปล่อยนางออกมาให้ทักทายพี่เป่ยเฉินสักหน่อยก็แล้วกัน”
หลินเป่ยเฉินยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น
แล้วไม่กี่อึดใจต่อมา หลิงเฉินก็เปลี่ยนสีหน้า รวมถึงลักษณะท่าทีกลายเป็นคนละคน
นางกลายเป็นเด็กสาวอ่อนหวานขี้อาย เรียบร้อย ใสซื่อบริสุทธิ์ ดูอ่อนต่อโลก
บุคลิกของนางเหมือนกับเด็กสาวข้างบ้านที่หลินเป่ยเฉินแอบชอบตอนอยู่โลกมนุษย์ไม่มีผิด
นั่นทำให้เด็กหนุ่มตกตะลึงมากกว่าเก่า
แต่สิ่งที่ทำให้หลินเป่ยเฉินตกใจที่สุดก็คือในระหว่างที่เกิดการสลับตัวตน รอยเส้นสีแดงปริศนาได้ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของหลิงเฉินอีกครั้ง
คราวนี้ เขาได้มีเวลาสังเกตรายละเอียดว่า รอยเส้นสีแดงเหล่านั้นเป็นเหมือนเส้นเลือดที่ปรากฏขึ้นมาใต้ใบหน้าอันขาวผ่องปราศจากเครื่องสำอาง แต่มันไม่ได้ทำลายความสวยงามของเด็กสาวลงไปเลย มิหนำซ้ำ กลับยังทำให้นางดูมีเสน่ห์มากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
และถ้าจะลองสังเกตดูให้ถี่ถ้วน ก็จะพบว่าการเปลี่ยนแปลงตัวตนแต่ละครั้งของเด็กสาว รูปร่างหน้าตาของนางก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยเช่นกัน
บัดนี้ ใบหน้าของนางมีน้ำมีนวลมากขึ้น เวลายิ้มแย้มยิ่งดูน่ารักน่าเอ็นดู แม้บนใบหน้าจะมีรอยเส้นสีแดงปรากฏอยู่เต็มไปหมด แต่ก็ไม่สามารถปิดกั้นความน่ารักน่าชังเหล่านั้นได้
แต่ความน่าประหลาดใจยังไม่หมดเพียงเท่านี้
เพราะตัวของหลิงเฉินเริ่มลอยขึ้นจากพื้นอย่างช้าๆ ด้วยพลังงานบางอย่าง
เพียงไม่กี่ลมหายใจ ก้อนพลังงานกลุ่มหนึ่งก็แผ่ปกคลุมรอบร่างกายของเด็กสาว
ก้อนพลังแบ่งออกเป็น 3 ส่วน มันมีขนาดเท่ากำปั้นมือผู้ใหญ่ ลักษณะเป็นวงกลมเหมือนจานดาวเทียม ลอยวนอยู่รอบร่างกายของหลิงเฉินเหมือนดาวเคราะห์ที่โคจรรอบพระอาทิตย์ ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้แก่หลิงเฉินตลอดเวลา
ต่อให้บัดนี้หลินเป่ยเฉินไม่สามารถใช้พลังลมปราณได้ตามปกติ แต่เขาก็รับรู้ได้ถึงพลังกดดันที่แผ่ออกมาจากก้อนพลังงานรูปทรงจานดาวเทียมเหล่านี้อย่างชัดเจน
เพียงมันระเบิดออกสักก้อนหนึ่ง ก็สามารถทำลายล้างเมืองหยุนเมิ่งได้ทั้งเมืองแล้ว
หลังจากนั้น ก้อนพลังงานทั้งสามก็สร้างม่านพลังขึ้นมาครอบคลุมร่างกายของหลิงเฉิน ทำให้เด็กหนุ่มต้องถอยออกมายืนดูอยู่ไกลๆ และเขาก็พบว่านางกำลังกลายร่างเป็นปีศาจเต็มตัว แต่ที่น่าแปลกก็คือหลินเป่ยเฉินไม่ได้รู้สึกถึงพลังปีศาจจากตัวหลิงเฉินเลยแม้แต่นิดเดียว
เขาเดาว่าแม้แต่พวกสาวกปีศาจด้วยกัน ก็คงตรวจจับนางไม่เจอด้วยซ้ำ
“พี่เป่ยเฉิน ข้าน้อยขอโทษที่ก่อปัญหาให้ท่านมากมายเหลือเกิน”
หลิงเฉินพลันยิ้มเศร้าอย่างขออภัย
บัดนี้ อากวงที่อยู่ในอ้อมแขนของนางลืมตาขึ้นมามองเจ้านายด้วยความหวาดกลัวสุดขีด เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสามารถช่วยมันได้ เจ้าหนูก็ทำตัวแข็งแกล้งตายเสียอย่างนั้น
อากวงโชคดีที่ยังแกล้งตายได้ แต่หลินเป่ยเฉินไม่สามารถแกล้งตายได้
เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบรับคำขอโทษของเด็กสาวอย่างไรดี
เขาไม่มีความชำนาญในการรับมือเรื่องราวเหล่านี้
หลิงเฉินยิ้มแย้มอย่างเอียงอายอีกครั้ง “เพราะว่าข้ากำลังจะต้องออกเดินทาง คงหาโอกาสมาทักทายพี่เป่ยเฉินไม่ได้อีก หลังจากขบคิดอยู่นาน ข้าก็รู้ว่าสมควรมาบอกความรู้สึกที่แท้จริงต่อท่าน เพราะท่านคงไม่รู้ว่าข้าตกหลุมรักท่านตั้งแต่แรกเห็น พี่เป่ยเฉินไม่ทราบหรอกว่าท่านมีความหมายสำหรับข้ามากเพียงใด…”
พูดยังไม่ทันจบ
รอยเส้นสีแดงบนใบหน้าหลิงเฉินก็เริ่มเลือนหายไป
นางหยุดชะงัก รอยยิ้มแสนเศร้าปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง “พี่สาวของข้าไม่พอใจแล้ว…”
ถึงตรงนี้ หลิงเฉินก็ก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย สองแก้มแดงระเรื่อ พูดเสียงเล็กเสียงน้อยเหมือนยุงบินหงุงหงิง “ที่ข้าตกหลุมรักท่านตั้งแต่แรกเห็น ไม่ได้เป็นเพราะว่าท่านมีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา แต่เป็นเพราะพลังปราณที่อยู่ในตัวท่านต่างหากที่ดึงดูดข้าเหลือเกิน ท่านกับข้าสวรรค์ลิขิตให้เกิดมาคู่กันเป็นแน่แท้… และระหว่างการแข่งขัน พี่สาวของข้ามีเรื่องอื่นให้เป็นกังวล เพราะฉะนั้น นางถึงต้องถอนตัวอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าตนเองกำลังพยายามอย่างหนักที่จะเข้าใจสิ่งที่เด็กสาวกำลังพูดออกมา
แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
“ส่วนปัญหาเรื่องของเว่ยหมิงเฉิน ข้ากับพี่สาวจะหาทางแก้ไขให้ได้” หลิงเฉินพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจและมุ่งมั่น “บัดนี้ ท่านแม่เข้มงวดกับพวกเรามากขึ้นทุกที หลังออกจากเมืองหยุนเมิ่ง คงอีกนานกว่าที่เราจะได้พบกันใหม่ และก่อนที่เราจะต้องแยกจากกัน ข้ามีของขวัญมามอบให้ท่าน”
มือที่ขาวนวลเนียนของเด็กสาวยื่นออกมาข้างหน้า ล้วงเข้าไปในก้อนพลังงานก้อนหนึ่งที่ลอยอยู่ในอากาศ แล้วนางก็ดึงคัมภีร์สีม่วงเล่มหนึ่งออกมา มันมีความหนาประมาณสามนิ้วมือคน ดูเป็นคัมภีร์ธรรมดา ไม่มีความพิเศษอันใด
“หากข้าจำไม่ผิด พี่เป่ยเฉินเลือกฝึกวิชากระบี่เร้นกายเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ตนเอง แต่คัมภีร์เล่มนี้เป็นวิชาที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งทางร่างกายให้แก่ท่านได้มากกว่านั้น ในอดีตมันเป็นวิชาที่โด่งดัง แต่น่าเสียดายหลายปีที่ผ่านมาคัมภีร์เกิดการสูญหายไปเป็นจำนวนมาก บังเอิญว่าข้าได้ครอบครองหนึ่งในสำเนาคัมภีร์เล่มนี้โดยบังเอิญ และมันน่าจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่พี่เป่ยเฉินได้ไม่มากก็น้อย…”
แล้วคัมภีร์สีม่วงเข้มนั้นก็ลอยมาหาหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ตัดสินใจหยิบคัมภีร์ที่ลอยอยู่ตรงหน้ามาถือเอาไว้ในมือ
หลิงเฉินคงไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเขาหรอกมั้ง
“สุดท้ายนี้… พี่เป่ยเฉิน ข้าขออำลา”
นางโบกมือให้แก่หลินเป่ยเฉิน
รอยยิ้มแสนเศร้าปรากฏขึ้นบนใบหน้า
รอยเส้นสีแดงจางหายไปในพริบตา
ก้อนพลังงานทั้ง 3 ก้อนหายวับไปในอากาศ
เด็กสาวทิ้งตัวลงมานั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้ง
บุคลิกและรูปร่างหน้าตาของนางกลับมาเป็นคนเดิม
“เฮ้อ จริงๆ เลยนะ… เจ้าเด็กคนนี้ ข้าบอกให้พูดในสิ่งที่ควรพูดและอย่าพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด” หลิงเฉินยกมือตบหน้าผากตัวเองด้วยความหมดหวัง “ข้าไม่ควรปล่อยนางออกมาเลย”
อากวงที่อยู่ในอ้อมแขนของนางในสภาพลิ้นจุกปาก พยายามหลิ่วตาส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากหลินเป่ยเฉิน
หลิงเฉินยีหัวเจ้าหนูเล่นพร้อมกับหันมามองหลินเป่ยเฉิน “พี่เป่ยเฉิน สัตว์เลี้ยงของท่านน่ารักเหลือเกิน ตัวอ้วนดีทีเดียว เนื้อน่าจะอร่อย แค่เห็นก็รู้แล้วว่ารสชาติต้องดีเยี่ยมแน่ๆ ไม่ทราบว่าท่านจะยกมันให้กับข้าได้หรือไม่?”
อากวงหันขวับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาขอร้องอ้อนวอนให้เขาปฏิเสธ
หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอยู่เล็กน้อยก็ตอบว่า “จ่ายมา 1,000 เหรียญทองคำ แล้วเจ้าก็เอามันไปซะ”
อากวงร้องไห้น้ำตาไหลพราก
มันนอนแน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขนของหลิงเฉิน ปล่อยให้นางลูบหัวอยู่อีกสองสามครั้ง แต่เมื่อเด็กสาวลุกขึ้นยืน นางก็โยนมันกลับคืนไปให้หลินเป่ยเฉิน “แพงเกินไป ข้าไม่เอาหรอก”
หลังจากนั้น นางก็ทำท่าจะเดินออกไปจากห้องรับแขก
แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เด็กสาวก็หยุดชะงักแล้วหันกลับมา
ก่อนที่หลินเป่ยเฉินจะทันรู้ตัว หลิงเฉินก็วิ่งเข้ามาสวมกอดพร้อมกับโอบแขนรอบลำคอของเขา นางเขย่งปลายเท้าขึ้นมา แล้วริมฝีปากของนางก็ประทับลงไปบนริมฝีปากของเขา
หลินเป่ยเฉินยืนตัวแข็งทื่อ
“เจ้า…”
เขาอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว
แต่ริมฝีปากที่อ่อนหวานของหลิงเฉินไม่อนุญาตให้เขาได้พูดคำใดออกมาอีก
“อืม…”
ลมหายใจของนางหอมละมุน เด็กสาวส่งเสียงครางในลำคอเหมือนกำลังอยู่ในความฝัน
นี่คือประสบการณ์ที่หลินเป่ยเฉินไม่เคยพานพบมาก่อน ความตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ร่างกายลืมการป้องกันตนเองไปโดยปริยาย
เขาไม่รู้เลยว่าจูบนี้ดำเนินอยู่นานเท่าไหร่
เมื่อรู้ตัวอีกที อ้อมแขนของเขาก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมจากตัวของหลิงเฉิน
แต่เด็กสาวอันตรธานหายไปแล้ว
“เฮ้ย…”
เสียงอุทานของหลินเป่ยเฉินดังกังวานทั่วตำหนักไม้ไผ่
“จูบแรกของเรา… ไม่นะ ไม่ ม่ายยย!”
หลินเป่ยเฉินกรีดร้องเหมือนเด็กสาวสูญเสียความบริสุทธิ์ น้ำตาไหลนองอาบสองแก้ม
จูบแรกที่เขาทะนุถนอมเป็นอย่างดีทั้งในชีวิตโลกมนุษย์และโลกจอมยุทธ์แห่งนี้ ถูกขโมยไปเสียแล้ว
ช่างโหดร้ายเหลือเกิน
หลิงเฉินฉวยโอกาสลวนลามเขาได้อย่างหน้าไม่อาย
หลินเป่ยเฉินร้องไห้จนน้ำตาเหือดแห้ง
เขาเลียริมฝีปากของตนเอง
รสชาติที่หอมหวานยังคงหลงเหลืออยู่บนนั้น
ว่าแต่ทำไม… ถึงได้รู้สึกดีจังเลยนะ?
“ฝากไว้ก่อนเถอะ เจอกันครั้งหน้า เราได้เห็นดีกันแน่”
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความอาฆาตแค้น
แล้วเขาก็เลียริมฝีปากอีกครั้ง
…
ห่างออกมา 5 ลี้ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหยุนเมิ่ง เป็นที่ตั้งของค่ายพักแรมขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
ปกติที่นี่ถูกใช้เป็นที่พักสำหรับพ่อค้าที่เดินทางไกล
ไม่มีเวรยามคอยอยู่เฝ้า
อาคารบ้านเรือนที่ตั้งอยู่โดยรอบมีสภาพทรุดโทรมและรกร้าง
มีเพียงอาคารหินสามหลังเท่านั้นที่ยังคงพออยู่อาศัยได้
กำแพงหินของบ้านเหล่านี้ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา พื้นผิวมีเถาวัลย์ปกคลุม ไม่ว่ามองไปทางไหนก็เห็นแต่คราบสกปรกด่างดำ เหมือนคนแก่ที่รอความตายไม่มีผิด
บ้านหลังหนึ่งมีความใหญ่โตมากกว่าหลังอื่นๆ
ด้านในมีโต๊ะเก้าอี้และข้าวของเครื่องใช้ในครัวเรือนเตรียมพร้อม เช่นเดียวกับฟืนสำหรับจุดไฟ
ณ โต๊ะที่ตั้งอยู่ข้างประตูขณะนี้นั่งด้วยชายชราร่างกายสูงใหญ่ เขากำลังชงน้ำชาให้ตนเองด้วยถุงชาสีเงินดูล้ำค่า กลิ่นชาที่โชยขึ้นมาลอยไปไกลถึงนอกตัวบ้าน
หากหลินเป่ยเฉินมาเห็นก็คงจำได้ในทันทีว่าชายชราคนนี้ คือผู้ตรวจการมณฑลคนใหม่นั่นเอง
ชายชรามีสีหน้าเคร่งเครียด หัวคิ้วขมวดตลอดเวลา เหมือนกำลังรอคอยใครสักคน
ที่ด้านนอกค่ายพักแรม
ดวงตะวันยามบ่ายคล้อยฉายแสงลงมาบนหลังคาของบ้านร้าง เกิดเป็นเงาดำทอดยาวไปบนพื้นดิน ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เงาดำเหล่านั้นก็ยิ่งทอดยาวออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้น เกิดแสงสว่างเป็นประกายวูบวาบ
แล้วชายหนุ่มร่างผอมสูงสวมใส่หมวกปีกกว้างคนหนึ่ง ก็ปรากฏกายขึ้นนอกค่ายพักแรมราวกับเป็นภูตผีตนหนึ่ง
เขาเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่หน้าประตูบ้านหินที่ตั้งอยู่ตรงกลางเล็กน้อย หลังจากนั้น ก็เปิดประตูเข้าไปนั่งด้านตรงข้ามเหลียวหวังซู
“ตกลงว่าท่านตัดสินใจได้หรือยัง?” ชายหนุ่มร่างผอมสูงถอดหมวกปีกกว้างออก
ที่แท้เขาก็คือหยิงอู๋จี
เหลียวหวังซูถอนหายใจ “ถ้าตัดสินใจไม่ได้ แล้วยังจะทำอันใดได้อีก พวกเราอุตส่าห์จะใช้เจ้าเด็กนั่นเป็นบันไดไต่เต้ากลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่สักหน่อย แต่มันกลับไม่ยอมร่วมมือเสียอย่างนั้น…แล้วเจ้าจะให้ข้ากลับไปรอคอยความตายเหมือนเดิมหรืออย่างไร?”
หยิงอู๋จียิ้มกริ่ม “ผู้เฒ่าเหลียวสมควรคิดได้ตั้งนานแล้ว… บอกมาเลยว่าระหว่างท่านกับข้า ใครสมควรเป็นผู้ลงมือ?”