ตอนที่ 349 เมืองเฟิงอวิ๋น

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ตลอดช่วงหลายวันต่อมา ฉินอวี้โม่พักอยู่ในจวนตระกูลฉู่อย่างสงบสุขขณะฟื้นฟูพลังวิญญาณที่สูญเสียไปในวันนั้น

พวกเขายังไม่สามารถหาคำตอบเกี่ยวกับบุปผาแห่งความมืดที่ถูกคนจากขุมกำลังมารร้ายฉกฉวยไปได้ ส่วนเรื่องที่ต้นไม้ใหญ่ซึ่งอยู่คู่ตระกูลมานานหลายชั่วอายุคนหายไปอย่างกะทันหันนั้น ฉู่เหิงก็ได้อ้างเหตุผลกับคนอื่นๆว่ามันมีขนาดใหญ่เกินไปและเกรงว่าวันหนึ่งอาจจะเกิดอุบัติเหตุทำให้ต้นไม้ล้มลงจนสร้างความเสียหายต่อเรือนบริเวณนั้น เขาจึงตัดสินใจกำจัดมันไปเสียก่อน

ในขณะเดียวกัน ฉินเทียนก็จัดแจงหาคนที่ไว้วางใจได้ของตระกูลฉู่เพื่อส่งข่าวเกี่ยวกับพวกมารร้ายไปยังเฟิงอู๋เฉิน—ผู้นำขุมกำลังหนึ่งนภา ซูเทียนหยา—ผู้นำขุมกำลังไร้คู่เปรียบ และฉีเจิ้น—ผู้นำขุมกำลังราชาสวรรค์

ในงานชุมนุมวายุเมฆาที่ใกล้เข้ามา ผู้นำขุมกำลังทั้งสามจะไปเข้าร่วมงานนั้น เมื่อได้รับรู้เบาะแสสถานการณ์ล่าสุด พวกเขาทั้งหมดจะได้หารือร่วมกันเพื่อหาวิธีการตอบโต้หรือสะสางปัญหาอย่างเหมาะสมและทันท่วงที

เป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับขุมกำลังมารร้าย ฉู่เหิงซึ่งเดิมทีไม่ได้สนใจงานชุมนุมครั้งนี้ก็ตัดสินใจเดินทางไปเข้าร่วมงานด้วยตัวเอง และคนที่ตระกูลฉู่ส่งไปเข้าร่วมการแข่งขันก็คือฉู่รุ่ย

ฉู่เหิงก็ได้ส่งคนออกไปสืบข่าวเรื่องฝ่ายมารอย่างลับๆเช่นกัน แม้ว่าอาจจะไม่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากนัก พวกเขาก็ไม่กล้าละเลยหรือมองข้ามแผนการชั่วร้ายของคนกลุ่มนั้นแม้แต่น้อย

เขามีลางสังหรณ์อยู่ในใจเสมอว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงเกิดขึ้นที่งานชุมนุมวายุเมฆาครั้งนี้ ขุมกำลังมารร้ายเหล่านั้นจะต้องส่งคนมาก่อเรื่องอย่างแน่นอน หากไม่มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าและมีคนจากฝ่ายมารลงมือกระทำสิ่งใด บรรดาขุมกำลังในดินแดนอ้างว้างอาจจะตั้งตัวรับมือได้ไม่ทันและอาจนำไปสู่หายนะที่เกินจะแก้ไขได้

ภายในเวลารวดเร็วราวกับชั่วพริบตา ก็เหลือเพียงแต่สามวันก่อนที่จะถึงงานชุมนุมวายุเมฆาแล้ว

เช้าตรู่ของวันนั้น ฉินอวี้โม่ก้าวออกจากคฤหาสน์เฟิงหัว เมื่อคำนวณวันเวลา มันก็ถึงเวลาแล้วที่พวกเขาควรเริ่มออกเดินทางกัน

ระยะทางระหว่างหุบเขาหมื่นบุปผาและเมืองเฟิงอวิ๋นห่างกันประมาณหนึ่งวัน เมื่อไปถึงเมืองเฟิงอวิ๋น พวกเขาจะต้องเตรียมการอีกหลายอย่างซึ่งจะเสียเวลาพอสมควร เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงจะพิรี้พิไรอยู่ที่จวนตระกูลฉู่นานเกินไปไม่ได้

แน่นอนว่านายหญิงแห่งตระกูลฉู่อย่างเฟิงหรูชวง โหรวชูและฉู่เฟยหยาง—มารดาและบิดาของฉู่เจี๋ยก็ไม่ค่อยเต็มใจพลัดพรากจากฉู่เจี๋ยนัก

ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็เข้าใจดีว่าฉินอวี้โม่มีเรื่องของตนเองที่ต้องจัดการ พวกเขาจึงทำได้เพียงร่ำลาฉู่เจี๋ยที่กำลังหลับอยู่และไม่พูดอะไรอีก

อย่างไรก็ตาม ตระกูลฉู่เก็บรวบรวมทรัพยากรฟ้าดินมาได้มากในช่วงที่ผ่านมานี้และพวกเขาได้มอบทั้งหมดนี้ให้กับฉินอวี้โม่อย่างไม่รีรอ

ต้องกล่าวก่อนเลยว่าตระกูลฉู่เป็นตระกูลที่มีอำนาจและทรงอิทธิพลอย่างมาก ฉินอวี้โม่รู้สึกได้ว่าเมื่อฉู่เจี๋ยฟื้นขึ้นมา ต่อให้เขาจะใช้ทรัพยากรเหล่านี้อย่างฟุ่มเฟือยเพียงใดก็ไม่มีทางที่จะใช้จนหมด

ทว่านางก็ไม่ปฏิเสธน้ำใจความเอื้อเฟื้อของพวกเขา มีเพียงการยอมรับสิ่งเหล่านี้ไว้เท่านั้นที่ตระกูลฉู่จะวางใจได้

หลังจากบอกลาทุกคนในตระกูลฉู่ ฉินอวี้โม่ ฉินเทียน ฉู่เหิงและฉู่รุ่ยก็นำกลุ่มสมาชิกในตระกูลฉู่จำนวนหนึ่งออกเดินทางมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองเฟิงอวิ๋น

หลังจากเดินทางนานหนึ่งวัน เช้าตรู่วันต่อมา เมืองสูงตระหง่านก็ปรากฏตรงหน้าของทุกคน

‘เมืองเฟิงอวิ๋น’ เป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนอ้างว้าง กำแพงเมืองเป็นป้อมปราการสูงหลายร้อยฉื่อ ประตูเมืองมีขนาดใหญ่สะดุดตา อาคารหอคอยสูงตระหง่านเสียดฟ้าและฝูงชนมากมายนับไม่ถ้วน ทุกอย่างล้วนบ่งบอกถึงสถานะของเมืองเฟิงอวิ๋นได้เป็นอย่างดี

แม้ว่าเมืองเฟิงอวิ๋นไม่ได้มีการประกาศการปกครองของขุมกำลังใดอย่างเป็นทางการ ทว่ามีการกล่าวกันว่าเมืองนี้คือที่ตั้งของขุมกำลังเอกพิภพ โรงประมูลขนาดใหญ่ที่สุดในดินแดนอ้างว้างก็ตั้งอยู่ที่นี่เช่นกัน นอกจากนี้ สำนักของสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรที่ทรงพลังก็ตั้งอยู่ในเมืองเฟิงอวิ๋นแห่งนี้เช่นกัน

เพราะปัจจัยข้างต้น เมืองเฟิงอวิ๋นจึงถือว่าเป็นเมืองที่มีการต่อสู้น้อยที่สุดในดินแดนอ้างว้าง อีกทั้งมันยังเป็นเมืองที่ทุกคนหวาดหวั่นและไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่ามไม่ยั้งคิดเมื่อมาเยือนที่นี่

งานชุมนุมวายุเมฆาครั้งก่อนๆทั้งหมดล้วนจัดขึ้นในเมืองนี้โดยจุดประสงค์ของานนี้คือการค้นหายอดฝีมือรุ่นใหม่ที่มีพรสวรรค์และความสามารถมากที่สุดในดินแดน

อันที่จริง งานนี้ก็ช่วยให้ยอดฝีมือมากมายได้ทะยานสู่ความรุ่งโรจน์เช่นกัน แม้ว่าตอนนี้พวกเขาส่วนใหญ่เดินทางไปที่ดินแดนเทพมายากันแล้ว ชื่อเสียงเกียรติยศของพวกเขาก็ยังคงถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์

ยกตัวอย่างเช่น ยอดฝีมือที่เป็นดั่งสัตว์ประหลาดที่สุดในดินแดนอ้างว้างเมื่อหลายร้อยปีก่อน—ชือเซวี่ยผู้ทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุดด้วยวัยเพียงสิบสี่ปีเท่านั้น ในตอนนั้น เขาแสดงฝีมืออันยอดเยี่ยมและประกาศศักดาอย่างเต็มภาคภูมิในงานชุมนุมวายุเมฆาและได้รับรางวัลล้ำค่าที่สุดในงานครั้งนั้นไปซึ่งก็คือโอสถที่สามารถช่วยให้จอมยุทธ์ทะลวงพลังไปถึงขอบเขตเซียนได้โดยตรง

ทว่าไม่นานหลังจากนั้น ชือเซวี่ยก็เดินทางออกจากดินแดนอ้างว้างและมุ่งหน้าไปที่ดินแดนเทพมายา

และเมื่อไม่กี่สิบปีก่อนก็มียอดฝีมือผู้เกรียงไกรซึ่งไม่ด้อยไปกว่าฉินเทียนปรากฏตัวขึ้นมา เขามีนามว่าปี้เซียว ตอนนั้นเขาก็มีอายุไม่ถึงยี่สิบปีและบรรลุขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุดแล้ว ในงานชุมนุมวายุเมฆาในครั้งนั้น เขาได้สร้างชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วดินแดนก่อนเดินทางออกจากดินแดนอ้างว้างและมุ่งหน้าไปยังดินแดนเทพมายาเช่นกัน

กล่าวคือ งานชุมนุมวายุเมฆาได้สร้างชื่อให้กับยอดฝีมือมากมายและบรรดาผู้ที่มีพรสวรรค์ต่างก็ไม่พลาดที่จะเข้าร่วมงานนี้ ยิ่งไปกว่านั้น รางวัลสูงสุดในงานก็ล้ำค่าอย่างมาก จอมยุทธ์หลายคนให้ความสนใจในรางวัลใหญ่เหล่านี้และเดินทางมาเข้าร่วมงานชุมนุมวายุเมฆาเพื่อแย่งแข่งขันแย่งชิงมัน

“กล่าวกันว่ารางวัลใหญ่ในงานครั้งนี้คือวิชามนตราลับที่ทรงพลัง หากได้มันไปครอง มันจะเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ของจอมยุทธ์ได้เป็นอย่างมาก”

ฉู่รุ่ยกระซิบกระซาบข้างหูฉินอวี้โม่ เห็นได้ชัดว่าเขาก็หมายตาคัมภีร์วิชามนตรานั้นไว้

วิชามนตราเป็นสิ่งที่มีเพียงจอมยุทธ์ขอบเขตจ้าวสุริยะเท่านั้นที่จะเข้าใจและใช้มันได้ มันเป็นทักษะยุทธ์ที่ทรงพลังกว่านภายุทธ์หลายเท่าตัว

หากพวกเขาได้วิชามนตรามาครอบครองในตอนนี้ พวกเขาก็จะสามารถศึกษามันทั้งๆที่อยู่ในขอบเขตจ้าวพิภพเท่านั้นและหากการฝึกยุทธ์ประสบผลสำเร็จ มันก็จะถือเป็นสิ่งที่พิเศษและเหนือธรรมชาติอย่างมาก

อันที่จริงมีจอมยุทธ์ขอบเขตจ้าวสุริยะหลายคนที่ไม่สามารถทำความเข้าใจหลักการแห่งมนตราได้และวิชามนตราก็เป็นสิ่งที่หายากอย่างยิ่ง เพราะเหตุนั้น จอมยุทธ์จ้าวสุริยะหลายคนจึงมีเพียงพลังขอบเขตจ้าวสุริยะ ทว่าก็ไม่ได้ทรงพลังเท่ากับจอมยุทธ์คนอื่นๆที่มีวิชามนตรา

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบาๆ นางเองก็อยากรู้เกี่ยวกับรางวัลสูงสุดในงานชุมนุมวายุเมฆาครั้งนี้เช่นกัน

เมื่อเข้าสู่เมืองเฟิงอวิ๋น ฉินอวี้โม่และฉินเทียนก็กล่าวลาฉู่เหิง

พวกเขาต้องตามหาฉินจ้านและคนอื่นๆก่อน ในขณะที่ฉู่เหิงจะเดินทางไปที่เรือนเล็กๆของตระกูลฉู่ภายในเมืองเฟิงอวิ๋น

หลังจากทำการนัดหมายในภายหลัง ฉินอวี้โม่และฉินเทียนก็มุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเฟิงอวิ๋น

หากฉินเทียนจำไม่ผิด ขุมกำลังไร้คู่เปรียบมีเรือนที่พักเล็กๆอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเฟิงอวิ๋น หากต้องการพบกลุ่มของฉินจ้านและคนอื่นๆ พวกเขาควรไปพักรออยู่ที่นั่นเป็นการชั่วคราว

และก็เป็นเช่นนั้น หลังจากเดินเท้าประมาณหนึ่งก้านธูป ในที่สุดพวกเขาก็พบกับแผ่นป้ายจารึกตัวหนังสือขนาดใหญ่ระบุว่า ‘เรือนตระกูลซู’

ฉินเทียนและฉินอวี้โม่ยิ้มให้กันก่อนเดินตรงไปเคาะประตู จากนั้นเด็กรับใช้ก็เดินออกมา

“ท่านทั้งสองมาหาใครหรือขอรับ?”

เวลานี้ทั้งฉินเทียนและฉินอวี้โม่สวมหน้ากากบดบังใบหน้า บุรุษหนุ่มตรงหน้าจึงจำพวกเขาไม่ได้ เขาเอ่ยถามอย่างสุภาพนอบน้อมขณะมองจอมยุทธ์ทั้งสองด้วยความสงสัย

“เสี่ยวจวิ้นและพี่ซื่อชู่มาถึงรึยัง?”

ฉินอวี้โม่เอ่ยถามออกไปตรงๆ

เมื่อสิ้นเสียงของนาง เด็กหนุ่มตรงหน้าก็คาดเดาตัวตนของคนทั้งสองได้ทันที

“โอ้ ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่และท่านผู้นำฉินเทียนนั่นเอง เชิญเข้ามาข้างในก่อนเถอะขอรับ”

บุรุษหนุ่มยิ้มอย่างนอบน้อมและก้าวหลีกออกไปด้านข้างพร้อมผายมือให้ฉินอวี้โม่และฉินเทียนเดินเข้ามาข้างใน

ทั้งสองไม่รอช้าและเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้มทันที

เด็กรับใช้ปิดประตูลงก่อนหันไปกล่าวกับทั้งสอง “คุณหนูและนายน้อยยังมาไม่ถึงเลยขอรับ เพียงแต่ถ่ายทอดคำสั่งมาให้ข้าน้อยเป็นการล่วงหน้าแล้วว่าหากมีคนมาหาพวกเขา คนผู้นั้นจะต้องเป็นท่านผู้นำฉินเทียนและท่านจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่ไม่ผิดแน่ และให้ข้าน้อยต้อนรับท่านทั้งสองเป็นอย่างดีขอรับ”

สองพ่อลูกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าเหวินซื่อชู่และซูเสี่ยวจวิ้นยังมาไม่ถึงที่นี่

ด้วยเวลาที่ออกเดินทางมา ทั้งสองก็ควรจะมาถึงที่นี่นานแล้ว ทว่าพวกเขากลับยังมาไม่ถึง หรือว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นในระหว่างทาง?

“น่าจะเป็นเพราะพวกเขาฝึกวิชาไปด้วย การเดินทางจึงช้าลง ไม่ต้องกังวลหรอก เราพักผ่อนกันก่อนเถอะ”

ฉินเทียนยิ้มให้บุตรสาวและไม่ได้เป็นกังวลนัก

ฉีอวิ๋นเหล่ย ฉินจ้าน ซูเสี่ยวจวิ้นและเหวินซื่อชู่ล้วนเป็นคนฉลาดเฉลียวและมากฝีมือ หากพวกเขาอยู่ด้วยกัน ต่อให้บังเอิญพบกับจูอวิ๋นชางเข้า เขาก็คงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ฉินเทียนจึงไม่เป็นกังวลนัก

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและไม่คิดมากอีกต่อไป

เด็กหนุ่มนำทางฉินอวี้โม่และฉินเทียนไปยังห้องพักที่เตรียมไว้ล่วงหน้าและสั่งให้คนไปเตรียมอาหารมา

“ท่านทั้งสองพักผ่อนก่อนเถอะขอรับ หากมีสิ่งใด เรียกใช้ข้าได้เสมอ ข้าสั่งคนเตรียมอาหารไว้ให้ท่านทั้งสองแล้วและจะให้คนมาเรียกท่านทั้งสองในภายหลังนะขอรับ”

เด็กหนุ่มยิ้มและกล่าวต่อ “อีกอย่าง.. ข้าน้อยซูเจ๋อ เป็นคนที่รับผิดชอบดูแลที่นี่ขอรับ หากพวกท่านมีอะไรสามารถพูดกับข้าได้โดยตรง”

ฉินเทียนและฉินอวี้โม่พยักศีรษะก่อนส่งสัญญาณให้เด็กหนุ่มออกไปจัดการเรื่องอื่น

“ขุมกำลังไร้คู่เปรียบเป็นขุมกำลังเก่าแก่จริงๆ เพียงแค่มีเรือนที่พักอยู่ในเมืองเฟิงอวิ๋นก็น่าอิจฉามากแล้ว”

ฉินเทียนอดถอนหายใจเบาๆไม่ได้

เรือนที่พักของขุมกำลังไร้คู่เปรียบในเมืองเฟิงอวิ๋นไม่ใช่พื้นที่เล็กๆแม้แต่น้อยและไม่ได้ด้อยไปกว่าพระราชวังในดินแดนหวนหลิงด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้น พิกัดที่ตั้งของเรือนที่พักนี้ก็ถือว่าอยู่ในทำเลที่ดีมากทีเดียว

มันตั้งอยู่ไม่ไกลจากถนนสายหลักเกินไปและไม่มีเสียงดังโหวกเหวกวุ่นวาย

การมีที่พักที่ดีเช่นนี้ในเมืองเฟิงอวิ๋นได้ พลังอำนาจของขุมกำลังนั้นจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

ที่พักของฉินเทียนถูกจัดไว้ถัดจากฉินอวี้โม่และไม่ได้ไกลจากกันนัก แม้ว่าทั้งสองไม่ได้เหนื่อยล้าอ่อนแรงเท่าไหร่นัก พวกเขาก็แยกย้ายกลับไปที่ห้องและพักผ่อน

ฉินอวี้โม่ทิ้งตัวลงบนเตียงและหลับตาลงทันที ทว่าภาพของหานโม่ฉือกลับปรากฎขึ้นมาในความคิดของนาง

“โม่ฉือ ตอนนี้เจ้าจะอยู่ในเมืองเฟิงอวิ๋นหรือไม่?”

ฉินอวี้โม่พึมพำออกมา นางไม่สามารถปิดปังความคิดถึงโหยหาที่มีต่อบุรุษคนรักได้เลย

นับตั้งแต่เดินทางมาที่ดินแดนอ้างว้าง บัดนี้เวลาก็ล่วงเลยมานานกว่าครึ่งปีแล้ว นางไม่รู้เลยว่าหานโม่ฉือเป็นอย่างไรหรืออยู่ที่ใดของดินแดนกว้างใหญ่แห่งนี้

แม้ว่ามีความรู้สึกอยู่ในใจแล้วว่าหานโม่ฉือจะต้องมาตามหานางที่งานชุมนุมวายุเมฆานี้อย่างแน่นอน ทว่านางไม่อาจรู้เลยว่าเวลานั้นจะมาถึงเมื่อใด

ยิ่งไปกว่านั้น หากหานโม่ฉือไม่ปรากฏตัวขึ้นมา นางก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปตามหาเขาที่ใด

ในอดีต จริงอยู่ที่ทั้งสองไม่ได้พบหน้ากับบ่อยครั้งนัก อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ในเวลาที่อยู่ไกลกัน ทั้งสองก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของอีกฝ่ายโดยรู้ได้เสมอว่าคนรักของตนสบายดีและอยู่ที่ใด

แต่ทว่า… นับตั้งแต่เหยียบก้าวเข้ามาในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้ ฉินอวี้โม่ก็ไม่มีเบาะแสเลยสักนิดว่าหานโม่ฉืออยู่ที่ใดและสบายดีหรือไม่

ฉินอวี้โม่ทำได้เพียงเชื่อมั่นในตัวหานโม่ฉือซึ่งมีฝีมือเก่งกาจกว่านางมาก เขาจะต้องสบายดีและเอาตัวรอดในดินแดนนี้ได้ เพียงแต่นางไม่อาจอดกลั้นความคิดคำนึงโหยหาที่มีต่อเขา

…..

ขณะนี้ ณ ชั้นใต้ดินของอาคารแห่งหนึ่งในเมืองเฟิงอวิ๋น หานโม่ฉือยังคงหลับตาปิดสนิทและจดจ่อกับการฝึกยุทธ์

หานโม่ฉือดูราวกับบรรลุเข้าสู่สภาวะพิเศษ นอกจากนี้เสียงและสภาวะพลังของโลกภายนอกก็ตัดขาดจากเขาไปอย่างสิ้นเชิง แม้แต่การเชื่อมต่อกับอสูรมายาของเขาก็ถูกปิดกั้นโดยตัวเขาเองเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม พลังความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและกลิ่นอายสภาวะพลังของเขาแกร่งกล้าขึ้นเรื่อยๆ

“นายท่าน เทศกาลงานชุมนุมวายุเมฆากำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว”

กิเลนอัคคี—อสูรมายาคู่ใจของหานโม่ฉือมองดูเจ้านายและขมวดคิ้วเบาๆด้วยความกังวล

มันไม่รู้เลยว่าตอนนี้หานโม่ฉือกำลังทำสมาธิอยู่ในระดับที่ลึกซึ้งเพียงใด มันจำได้เพียงว่าหานโม่ฉือกล่าวไว้ว่าหากถึงงานชุมนุมวายุเมฆา มันจะต้องปลุกเขาโดยเร็ว

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองดูเจ้านายในเวลานี้ มันจะกล้าไปรบกวนและปลุกหานโม่ฉือได้อย่างไรกัน?

กิเลนอัคคีทอดถอนหายใจอย่างปลงตกและเป็นกังวลไม่น้อย

.