ตอนที่ 350 คารวะนายหญิง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ฉินอวี้โม่และฉินเทียนพักผ่อนเป็นช่วงระยะหนึ่งก่อนลุกขึ้นและเดินตรงไปที่ห้องโถง

ทางฝั่งของซูเจ๋อ เขาก็ได้เตรียมอาหารมื้อใหญ่รอแขกคนสำคัญทั้งสองไว้แล้ว

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จสิ้นและยังไม่ง่วงเท่าไหร่นัก ทั้งสองจึงถามซูเจ๋อเกี่ยวกับสถานการณ์โดยรวมของเมืองเฟิงอวิ๋น

เนื่องจากเป็นเทศกาลงานชุมนุมวายุเมฆา ช่วงนี้เมืองเฟิงอวิ๋นจึงคราคร่ำไปด้วยยอดฝีมือผู้เลื่องชื่อของดินแดน

หลายคนมาถึงเมืองเฟิงอวิ๋นเป็นการล่วงหน้าเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันในงานชุมนุม ในบรรดาสิบขุมกำลังที่ทรงพลังที่สุดของดินแดน ขุมกำลังส่วนใหญ่ได้เดินทางมาถึงแล้ว เว้นเพียงแต่ขุมกำลังอันดับต้นๆเท่านั้น

ขุมกำลังน้อยใหญ่อื่นๆที่อ่อนแอกว่าทว่าประมาทไม่ได้ก็ล้วนมาถึงแล้วเช่นกัน

อีกทั้งยังมีกลุ่มทหารรับจ้างชื่อดังและจอมยุทธ์อิสระอันดับต้นๆของดินแดน พวกเขาต่างก็มาถึงเมืองเฟิงอวิ๋นกันอย่างพร้อมหน้าและรองานเริ่มต้น

“คนจากขุมกำลังพญายมมาถึงรึยัง?”

ฉินเทียนเอ่ยถาม ขุมกำลังพญายมเป็นศัตรูคู่อาฆาตของพวกเขา แน่นอนว่าเขาย่อมอยากรู้เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของศัตรูตนเอง

“คิดว่ายังไม่มาขอรับ อย่างน้อยที่สุดข้าก็ยังไม่เห็นหรือได้ยินข่าวคราวใดๆของพวกเขา”

ซูเจ๋อคิดทบทวนครู่หนึ่งและมั่นใจว่ายังไม่มีข่าวเกี่ยวกับขุมกำลังดังกล่าว นั่นน่าจะหมายความว่าคนจากขุมกำลังพญายมยังไม่ได้เดินทางมาถึงที่นี่

“แล้วคนจากตระกูลเฟิงล่ะ?”

เมื่อนึกถึงเสี่ยวเหยียนและคนอื่นๆ ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถามออกไปเช่นกัน

“ยังไม่มาเช่นกันขอรับ คาดว่าขุมกำลังทรงอิทธิพลต่างๆรู้เรื่องงานชุมนุมวายุเมฆาเป็นอย่างดีอยู่แล้วและพวกเขาน่าจะไม่มาที่นี่จนกระทั่งก่อนงานเริ่มขอรับ”

ซูเจ๋อส่ายหน้าเบาๆและตอบกลับไป โดยปกติแล้วขุมกำลังใหญ่เหล่านี้มักจะติดธุระมากมาย ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะมาถึงในวันสุดท้ายก่อนงานเริ่มเท่านั้น

“แต่ผู้นำขุมกำลังเอกพิภพมาถึงแล้วขอรับ และเขาน่าจะมาถึงหลายวันแล้ว ข้าพบเขาเมื่อหลายวันก่อน”

เมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เด็กหนุ่มก็กล่าวออกไป

แม้ว่าสำนักงานใหญ่ของขุมกำลังเอกพิภพตั้งอยู่ในเมืองเฟิงอวิ๋น ทว่าก็ไม่เคยมีใครเข้าไปที่นั่นมาก่อนส่งผลให้ไม่มีใครรู้รายละเอียดจนแน่ชัด ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำขุมกำลังเอกพิภพก็เป็นบุคคลที่ลึกลับและทรงพลังมาก การที่เขาปรากฏตัวในเมืองเฟิงอวิ๋นเมื่อหลายวันก่อนย่อมเป็นที่สนใจของผู้คนมากมาย

แม้ว่างานชุมนุมวายุเมฆาครั้งก่อนๆจะคึกคักและมีชีวิตชีวามาเสมอ มันก็แทบไม่สามารถดึงดูดความสนใจของหยินหึน—ผู้นำขุมกำลังเอกพิภพได้เลย หากแต่ว่าครานี้ได้ข่าวมาว่าเขาจะมาเข้าร่วมงานด้วยตัวเอง

เมื่อฉินอวี้โม่และฉินเทียนได้ยินเช่นนั้น ทั้งสองเพียงสบตากันและไม่เอ่ยพูดอะไร

ฉินเทียนไม่เคยพบผู้นำลึกลับแห่งขุมกำลังเอกพิภพมาก่อน เขาเพียงได้ยินมาว่าบุรุษผู้นั้นคือยอดฝีมืออันดับหนึ่งของดินแดน แม้แต่เฟิงอู่เฉินและคนอื่นๆก็ไม่อาจทัดเทียมเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้น กล่าวกันว่าเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน พลังของเขาก็ทะลวงไปถึงขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุดแล้ว บัดนี้เมื่อเวลาผ่านมาหนึ่งร้อยปี หลายคนก็คาดเดากันไปว่าเขาอาจจะทะลวงพลังถึงขอบเขตเซียนแล้ว เพียงแต่ไม่มีทางที่จะยืนยันเรื่องนี้ได้

ฉินอวี้โม่เคยพบกับผู้นำขุมกำลังเอกพิภพมาแล้วครั้งหนึ่งในงานชุมนุมช่างหลอมประจำปีครั้งที่ผ่านมา นางค่อนข้างประทับใจบุรุษลึกลับคนนี้มากและอยากรู้ยิ่งนักว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนอย่างไร

อีกทั้งขุมกำลังเอกพิภพก็รับผิดชอบหน้าที่การจัดทำเนียบจอมยุทธ์ที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ราวกับว่าพวกเขามีหูตาอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในดินแดนนี้ไม่สามารถปกปิดซ่อนเร้นจากพวกเขาได้เลย

ฉินอวี้โม่สงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่าหากนางติดต่อกับผู้นำขุมกำลังเอกพิภพ นางจะได้เบาะแสเกี่ยวกับพวกมารร้ายหรือไม่

“หากมีโอกาส ข้าคิดว่าพวกเราควรลองนัดพบกับผู้นำขุมกำลังเอกพิภพ”

ฉินอวี้โม่กล่าวออกมา

ฉินเทียนพยักศีรษะเบาๆและรู้สึกว่าสิ่งที่บุตรสาวของตนเสนอมาก็ถือว่าสมเหตุสมผล

“ฮ่าๆๆ ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ เกรงว่าท่านจะไม่ทราบ โดยปกติแล้วผู้นำขุมกำลังเอกพิภพไม่รับแขกหรือพบผู้ใด คราก่อนที่ได้รู้ว่าเขาเดินทางไปร่วมงานชุมนุมช่างหลอม ข้าก็รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง หากท่านต้องการพบเขาก่อนเริ่มงานชุมนุมวายุเมฆา มันคงจะไม่ง่ายเลย”

ซูเจ๋อยิ้มบางๆและกล่าวในสิ่งที่ตนทราบมา

ผู้นำขุมกำลังเอกพิภพแทบจะไม่ยอมพบคนนอกและไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วเขามีรูปลักษณ์เป็นอย่างไร คราก่อนที่เขาไปเข้าร่วมงานชุมนุมช่างหลอม เมื่อหลายคนได้ยินข่าว ผู้คนต่างก็ประหลาดใจมากไม่ต่างกัน

เมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่ม ฉินอวี้โม่และฉินเทียนก็สบตาอย่างรู้กันและพยักศีรษะเบาๆ ซูเจ๋อพูดถูก การขอพบบุรุษลึกลับผู้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่คิดไม่ถึงเลยว่าเช้าตรู่วันต่อมา นางจะได้รับคำเชิญจากขุมกำลังเอกพิภพ นั่นคือหยินหึนผู้ลึกลับเชิญฉินอวี้โม่ไปพบที่จวนของตนเองในเมืองเฟิงอวิ๋น

ฉินอวี้โม่ฉงนสงสัยไม่น้อยกับคำเชิญที่ได้รับ นางไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับบุรุษลึกลับผู้นั้นมาก่อน เหตุใดจู่ๆเขาจึงเชิญนางไปพบเช่นนี้?

ฉินเทียนเองก็ไม่มีคำอธิบายกับสถานการณ์นี้เช่นกัน ทว่าเขาไม่ได้รับคำเชิญ เพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่ได้เดินทางไปกับบุตรสาว

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ระวังตัวด้วยล่ะ”

เขาอดเอ่ยเตือนบุตรสาวด้วยความกังวลไม่ได้ ไม่อาจรู้ได้เลยว่าผู้นำขุมกำลังเอกพิภพมีแผนการใดอยู่ในใจ

“ท่านพ่อ ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ หากผู้นำขุมกำลังเอกพิภพคิดร้ายกับข้า ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต่อต้านเขาไม่ได้หรอก ในเมื่อเขาเชิญข้าไปพบ ข้าเชื่อว่าเขาน่าจะอยากพูดคุยอะไรบางอย่างกับข้า ท่านพ่อรออยู่ที่นี่เถอะเจ้าค่ะ ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องข้า”

ฉินอวี้โม่ยิ้มให้บิดา ทว่านางไม่กังวลใจเลยสักนิด

นางรู้ดีว่าผู้นำขุมกำลังเอกพิภพทรงพลังมาก หากเขาคิดจะทำร้ายนาง ไม่ว่าอย่างไรนางก็หลบหนีไม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยพลังของอีกฝ่าย ไม่ว่าจะพยายามใช้วิธีการใด ฉินอวี้โม่ก็ไม่มีทางดิ้นหลุดออกจากมือของเขาเป็นแน่

เพราะเหตุนั้น การที่เชิญคนที่ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันไปพบเช่นนี้ นางเชื่อว่าผู้นำขุมกำลังเอกพิภพจะต้องมีบางอย่างอยากคุยกับนางอย่างแน่นอน

จวนของขุมกำลังเอกพิภพตั้งอยู่ในใจกลางเมืองและกล่าวกันว่ามันเป็นสำนักงานใหญ่ของขุมกำลังเอกพิภพ อย่างไรก็ตาม จวนแห่งนี้ลึกลับอย่างยิ่ง ในสถานการณ์ปกติทั่วไป แทบไม่มีใครเข้าไปข้างในได้

เพราะเหตุนั้น แม้ว่ามีผู้คนมากมายสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับขุมกำลังลึกลับนี้เป็นอย่างมากก็มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะกล้าเข้าใกล้จวนของขุมกำลังเอกพิภพแห่งนี้

ทันทีที่มาถึงหน้าประตู ฉินอวี้โม่ก็พบกับสตรีคุ้นหน้าในอาภรณ์สีแดงสดสะดุดตา

“ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ ท่านมาแล้ว เชิญมากับข้าเถอะเจ้าค่ะ”

สตรีชุดแดงผู้นี้มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นแม่นางฉุ่ยเยว่จากหอนางโลมนั่นเอง

ฉุ่ยเยว่ยิ้มทักทายและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อม

“แม่นางฉุ่ยเยว่ เหตุใดถึงอยู่ที่นี่ได้?”

ฉินอวี้โม่ประหลาดใจเล็กน้อย หรือว่าแต่เดิมแล้วหอนางโลมเป็นส่วนหนึ่งของขุมกำลังเอกพิภพ?

“ฮิๆๆ ท่านคิดถูกแล้วล่ะ หอนางโลมของเราเป็นส่วนหนึ่งของขุมกำลังเอกพิภพ ในงานชุมนุมวายุเมฆาครานี้ ท่านผู้นำเรียกตัวข้ากลับมาที่เมืองเฟิงอวิ๋นเพื่อช่วยจัดการสิ่งต่างๆ”

ฉุ่ยเยว่ยิ้มและยอมรับโดยไม่ปฏิเสธ

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบาๆและข้อสงสัยหลายอย่างของนางก็ได้รับคำตอบในทันที ไม่แปลกใจเลยที่หอนางโลมรู้ข่าวคราวมากมาย และสาเหตุที่นางรู้สึกอยู่เสมอว่าแม่นางฉุ่ยเยว่ผู้นี้ไม่ธรรมดา แท้จริงแล้วก็เป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง

แม้ว่าได้รู้ความจริงเหล่านั้นแล้ว อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็ยังมีข้อสงสัยบางอย่างติดอยู่ในหัวใจ อย่างไรก็ตาม นางรู้สึกได้ลางๆว่าข้อสงสัยเหล่านี้จะรับการไขกระจ่างโดยผู้นำขุมกำลังเอกพิภพเพียงคนเดียวเท่านั้น

จวนของขุมกำลังเอกพิภพเป็นอาคารเล็กๆสูงสามชั้น ฉุ่ยเยว่พาฉินอวี้โม่เดินขึ้นไปชั้นที่สามโดยตรงและนางสัมผัสได้ว่าสภาวะพลังที่นี่หนาแน่นกว่าที่อื่นๆมาก

“ฮิๆๆ โดยปกติแล้วชั้นสามนี้เป็นชั้นที่ท่านผู้นำใช้ในการฝึกยุทธ์ มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะขึ้นมาได้”

ฉุ่ยเยว่กล่าวพร้อมยิ้มเล็กน้อย แม้แต่นางเองก็เคยขึ้นมาบนชั้นที่สามนี้เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น

“ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ ห้องนี้แหละเจ้าค่ะ”

ในขณะพูดคุยกันอยู่นั้น ทั้งสองก็มาถึงหน้าห้องหนึ่ง ประตูของห้องนี้ถูกเปิดทิ้งไว้และมีบุรุษคนหนึ่งกำลังนั่งจิบชาอยู่ข้างใน

“ท่านผู้นำ จอมยุทธ์อวี้โม่มาถึงแล้วเจ้าค่ะ”

ฉุ่ยเยว่ก้าวเข้าไปในห้องและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

“รีบเชิญนางเข้ามา”

ผู้นำขุมกำลังเอกพิภพแสดงอากัปกิริยาตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด เขารีบเอ่ยบอกให้ฉุ่ยเยว่เชิญฉินอวี้โม่เข้าไปข้างในโดยเร็ว

แน่นอนว่าฉุ่ยเยว่ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของผู้นำเช่นกัน แม้ว่านางยังสับสนอยู่เล็กน้อย นางก็เชิญฉินอวี้โม่เข้าไปด้วยท่าทางเคารพไม่เปลี่ยนแปลง

ทันทีที่เข้าไปในห้อง ฉินอวี้โม่ก็มองเห็นสภาพแวดล้อมรอบตัวอย่างชัดเจน

นี่เป็นห้องที่ดูงดงามอบอวลด้วยกลิ่นไม้จันทน์ที่ทำให้บรรยากาศสบายอย่างยิ่ง

ครานี้ผู้นำขุมกำลังเอกพิภพไม่ได้สวมหน้ากากบดบังใบหน้า เขาสวมเสื้อคลุมสีน้ำตาลและเผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลา รูปลักษณ์ของเขาดูมีอายุเพียงสามสิบถึงสี่สิบปีเท่านั้นและกลิ่นอายที่แผ่มาจากร่างกายของเขาก็ทำให้ผู้คนโดยรอบรู้สึกสบายและผ่อนคลาย

“คารวะท่านผู้นำ”

ฉินอวี้โม่เดินตรงเข้าไปหาผู้นำขุมกำลังเอกพิภพและกำลังจะโค้งคำนับ ทว่าทันใดนั้นนางก็รู้สึกถึงสภาวะพลังหนาแน่นที่ปกคลุมทั่วร่างและนางขยับเขยื้อนไม่ได้ไปชั่วขณะ

ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วมุ่นทว่าไม่ได้ตอบโต้แต่อย่างใด นางไม่ได้รู้สึกถึงกลิ่นอายความมุ่งร้ายและอาฆาตพยาบาทใดๆจากบุรุษตรงหน้า เป็นไปได้ว่าเขาเพียงต้องการตรวจสอบบางอย่างจากนาง

เพราะเหตุนั้นนางจึงสื่อสารกับอสูรมายาทั้งหลายของตน ไม่ว่าจะเป็นมารยาหรืออสูรๆอื่นเพื่อไม่ให้พวกมันทำอะไรบุ่มบ่าม

“ข้าเดาไม่ผิดจริงๆ ในที่สุดเราก็ได้พบกัน”

สภาวะพลังดังกล่าวไหลเวียนรอบตัวฉินอวี้โม่ครูใหญ่และจู่ๆบุรุษตรงหน้าก็ยิ้มกว้างและกล่าวด้วยน้ำเสียงโล่งใจเจือความตื่นเต้น

พลังที่แผ่ปกคลุมทั่วร่างของฉินอวี้โม่ก็เริ่มจางหายไปอย่างรวดเร็วและผู้นำขุมกำลังเอกพิภพก็ลุกขึ้นยืนและเดินตรงเข้ามาหานาง

นางเริ่มรู้สึกงุนงงและไม่เข้าใจในการกระทำของหยินหึนมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน ฉุ่ยเยว่ซึ่งยืนอยู่ด้านข้างก็มองอากัปกิริยาของผู้นำด้วยความฉงนสงสัยไม่ต่างกัน

ฉุ่ยเยว่แทบไม่เคยเห็นท่านผู้นำที่มีท่าทีตื่นเต้นถึงเพียงนี้เลย สิ่งที่นางพบเห็นอยู่เสมอคือเขามักจะเรียบเฉยและไม่แสดงท่าทีอะไรมากนัก ปกติแล้วแม้ว่าจะเป็นเรื่องใด เขาก็จะไม่แสดงความผันผวนทางอารมณ์เลย

แต่ทว่า… เมื่อพบกับฉินอวี้โม่ในวันนี้ ฉุ่ยเยว่ก็ได้เห็นผู้นำที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง

นางยังจำได้ดีในตอนที่ผู้นำขุมกำลังเอกพิภพเดินทางไปพบนางด้วยตัวเองและบอกให้นางคอยช่วยฉินอวี้โม่อย่างลับๆ

ในตอนนั้น นางรู้สึกได้ว่าผู้นำขุมกำลังเอกพิภพมีท่าทีแปลกไปกับฉินอวี้โม่และมีข้อสันนิษฐานหลายอย่าง ทว่าท้ายที่สุดนางก็สลัดความคิดเหล่านั้นไป และหลังจากนั้นเมื่อได้ยินว่าท่านผู้นำไปเข้าร่วมงานชุมนุมช่างหลอมประจำปีด้วยตัวเอง ฉุ่ยเยว่ก็มั่นใจว่าเขาจะต้องไปเพื่อพบฉินอวี้โม่อย่างแน่นอน

ฉุ่ยเยว่ที่มีปัญญาเป็นเลิศอยู่แล้วยิ่งสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆว่าแม่นางฉินอวี้โม่ผู้นี้มีสิ่งใดพิเศษจึงทำให้ผู้นำขุมกำลังเอกพิภพที่เรียบเฉยไม่แยแสผู้ใดและเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของดินแดนอ้างว้างแสดงท่าทีชื่นชมและมีอากัปกิริยาที่แตกต่างไปถึงเพียงนี้

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคืนนี้ เมื่อได้ยินข่าวว่าฉินอวี้โม่มาถึงเมืองเฟิงอวิ๋น ท่านผู้นำก็รีบส่งคนไปเชิญนางมาที่นี่ทันที นี่เป็นครั้งแรกที่ฉุ่ยเยว่เห็นผู้นำขุมกำลังเอกพิภพผู้ลึกลับเชิญคนมาพบถึงจวนของตนเอง

ฉุ่ยเยว่นึกสงสัยว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้เกี่ยวข้องกับผู้นำขุมกำลังเอกพิภพอย่างไร

“ข้าน้อยหยินหึนขอคารวะนายหญิง!”

ทันใดนั้น ผู้นำขุมกำลังผู้เก่งกาจก็คุกเข่าลงบนพื้นและเอ่ยกับฉินอวี้โม่ด้วยความเคารพ

วาจาของเขาทำให้ฉินอวี้โม่ตกตะลึงจนพูดไม่ออก

.