ภาค 4 กวาดล้างหมื่นลี้ บทที่ 339 สิ่งของเล็กน้อยจัดการเรื่องสำคัญ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอจ้องมองธารแสงสีฟ้าตรงหน้า “บรรพบุรุษผู้อาวุโสใช้วิธีการอะไร ข้าเองก็ไม่อาจยืนยัน หากแต่ในความคิดข้า ก็คงใช้สิ่งของเหล่านี้แหละ”

ครั้นสิ้นเสียงกล่าว เขาก็หยิบหินผาสีแดงเพลิงก้อนหนึ่ง วางลงไปใจกลางค่ายกลที่ตนเองตั้งขึ้น

หินผาก้อนนั้นทอประกายระยิบระยับ ราวกับมีชีวิตกำลังหายใจอยู่อย่างไรอย่างนั้น

ชายหนุ่มเอ่ยว่า “ตอนที่พวกอาจารย์ปู่บุกโจมตีโต้ที่อัคคีพิภพ ข้าขอให้พวกเขาตั้งใจหาสิ่งของหลายอย่างเหล่านี้เป็นพิเศษ แล้วก็สามารถนำกลับมาได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดในนั้นก็คือของสิ่งนี้ ผลึกแก่นเพลิง เป็นผลจากการเกาะผนึกของแก่นเพลิงใต้ปฐพีขึ้นอีกขั้น”

“อีกทั้งจำเป็นต้องเป็นก้อนผลึกแก่นเพลิงที่ผลิตออกมาจากวังสุสานทุ่งร้างแดนใต้”

เขาตั้งค่ายกลต่อไปอย่างต่อเนื่อง “เมื่อใช้ของสิ่งนี้ เสริมด้วยวิธีการอื่นอีก ก็จะสามารถปิดผนึกวังสุสานทุ่งร้างแดนใต้ไว้ได้”

อาหู่คอยเป็นผู้ช่วยอยู่ข้างๆ “แต่ว่าคุณชายขอรับ การที่ต้องการก่อเกิดความเปลี่ยนแปลงลักษณะพื้นภูมินั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต่อให้ระดับพลังฝึกปรือของพวกเรามีค่ายกลคอยช่วย เกรงว่าก็คงทำไม่ได้กระมัง? ถึงอย่างไรค่ายกลนี้ก็ไม่ใช่มหาค่ายกลนภาคุ้มกันเขากว่างเฉิงนี่”

“พวกเราตั้งฐานที่มั่นอยู่ที่นี่ก่อน แล้วค่อยรอให้ประมุขตระกูลหรือพวกท่านเจ้าสำนักรุ่นก่อนมาไม่ดีกว่าหรือ?”

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้นแล้วก็กล่าวตอบ “พวกท่านพ่อกับอาจารย์ปู่กำลังคุมเชิงกับพวกหวงกวงเลี่ยแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อยู่ ปลีกตัวออกมาไม่ได้ง่ายๆ ต่อให้ปลีกตัวมุ่งหน้ามายังแดนเหนือ ก็จะถูกอีกฝ่ายสังเกตเห็นเช่นกัน ถึงเวลานั้นอีกฝ่ายอาจจะขัดขวาง หรือไม่ก็หันมาบุกโจมตีพื้นที่ใจกลางสำนักเราได้ เช่นนั้นได้ไม่คุ้มเสีย”

“เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ให้ข้าเป็นคนกระทำก็พอ”

ชายหนุ่มยิ้ม “ส่วนจะทำให้ได้ได้อย่างไร การที่จะอาศัยพลังความสามารถของข้าในตอนนี้เพียงอย่างเดียว แน่นอนไม่อาจใช้ได้ หากแต่ข้ามีแนวคิดหนึ่ง บางทีอาจจะสามารถทดลองได้สักหน่อย ถ้าสำเร็จล่ะก็ พวกเรามหาปรมาจารย์ขั้นซ่อนจิตสองคน ไม่แน่ว่าก็อาจจะสามารถกระทำเรื่องใหญ่ให้สำเร็จได้”

ขณะเยี่ยนจ้าวเกอพูด เขาก็พลันหยิบของสิ่งหนึ่งออกมา กลับเป็นเตาเครื่องหอมขนาดเล็กสีดำใบหนึ่ง

ซึ่งก็คือเตากลืนดินนั่นเอง

อาหู่มองดูเตาเครื่องหอมใบเล็ก พลางกะพริบตาปริบๆ “คุณชาย ข้าน้อยจำได้ว่าท่านได้ของสิ่งนี้มา ตอนที่สังหารเจ้าเด็กน้อยนามว่าจ้าวฮ่าวคนนั้น ในเหตุการณ์แดนมารบนทะเลสาบปิดนภา”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “ขณะนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น ของวิเศษชิ้นนี้สามารถดูดสรรพสิ่งเข้าไปได้ บรรจุเอาไว้ด้วยพลังทำลายล้างที่แกร่งกล้าอย่างยิ่ง การทดลองที่ข้าจะทำ ก็คือดูว่ามันจะสามารถทนพลังความเย็นอันน่าครั้นคร้ามของแก่นน้ำแข็งของใยดินได้หรือไม่”

ชายร่างใหญ่เอื้อนเอ่ยอย่างเนิบช้า “แต่ในความทรงจำของข้าน้อย ท่านบอกว่าไม่อาจควบคุมของสิ่งนี้ได้อย่างคล่องแคล่วตลอดมา”

“ถูกต้อง กระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนี้ ของวิเศษชิ้นนี้ทำได้เพียงเป็นฝ่ายดูดซับการโจมตีเข้าหาพลังของมันเองเท่านั้น ข้าไม่สามารถควบคุมให้มันทำอะไรได้” เยี่ยนจ้าวเกอทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “แต่มีคำโบราณว่าเอาไว้ได้ดี สิ่งของนั้นตายแล้ว แต่คนยังมีชีวิตอยู่ ใช้สมองเสียสิ”

เยี่ยนจ้าวเกอต่อยหมัดหนึ่งลงไปบนพื้น ลมกระโชกจากเจตจำนงหมัดปลุกค่ายกลขึ้นมา ฉับพลันนั้นก็ปรากฏแสงเพลิงขึ้น

พลังความร้อนกลุ่มหนึ่งแผ่กระจายออกมาจากภายในโพรงน้ำแข็งใต้บาดาลแห่งนี้ โดยมีค่ายกลเป็นศูนย์กลาง

เมื่อธารแสงสีฟ้าถูกพลังความร้อนเหล่านี้ จากเดิมที่รินไหลอย่างสงบเงียบราวกับไร้อันตราย ก็เปลี่ยนเป็นคลุ้มคลั่งขึ้นมาในบัดดล!

ไอเย็นอันน่าพรั่นพรึงที่ทำให้รู้สึกชาไปทั่วร่างกาย ปะทุออกมาจากแก่นน้ำแข็งของใยดิน จากนั้นไอหมอกสีฟ้าน้ำแข็งหลายสายก็ม้วนขึ้นมาทางค่ายกลที่เยี่ยนจ้าวเกอยืนอยู่ ราวกับจะดับเปลวเพลิงน้อยๆ นี้ให้มอดไป

อาหู่อ้าปากตาค้าง “คุณชาย…”

ในขณะที่สายตาเยี่ยนจ้าวเกอจดจ้องเตากลืนดินไม่วางตา เขาก็นำกระสวยเบิกดินแดนออกมาอีกครั้ง เพียงแค่เห็นว่าสถานการณ์ไม่ปกติ ก็จะลากอาหู่ให้ถอยออกไปก่อนทันที

ทว่าเตากลืนดินไม่ได้ทำให้เขาผิดหวังแต่อย่างใด

เตาเครื่องหอมขนาดเล็กสีดำที่ดูเหมือนไม่สะดุดตาใบนั้น ระเบิดพลังอันน่าตื่นตะลึงออกมา ในขณะที่กำลังเผชิญหน้ากับการบุกเข้าโจมตีของไอหมอกสีฟ้าน้ำแข็ง ก็ดูดกลืนหมอกน้ำแข็งเข้าไปภายในมหาศาลด้วยเช่นกัน

นั่นประหนึ่งกับหลุมดำอย่างไรอย่างนั้น กลืนกินหมอกน้ำแข็งระลอกแล้วระลอกเล่าด้วยความละโมบ มีท่าทีราวกับอ้อยเข้าปากช้าง

เมื่อการเริ่มต้นครั้งแรกนี้เริ่มขึ้น ก็พลันเห็นว่าภายในแก่นน้ำแข็งใยดิน มีธารแสงสีฟ้าเป็นเส้นๆ ถูกฉุดดึงออกมา หลอมรวมเข้าไปภายในหมอกน้ำแข็ง และถูกเตากลืนดินดูดกลืนเข้าไปพร้อมกัน

อาหู่ตกตะลึง “ของเล็กๆ ชิ้นนี้มีที่มาอย่างไรกันแน่ นึกไม่ถึงว่าแม้แต่แก่นน้ำแข็งใยดินก็ยังสามารถดูดเข้าไปได้ จะไม่ถึงจุดเยือกแข็งจนแตกใช่หรือไม่?”

เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาเพ่งมองเตากลืนดินเช่นเดียวกัน รำพึงรำพันว่า “นั่นน่ะสิ ช่างไม่ง่ายเลยจริงๆ แม้ข้าจะคาดเดาไว้ว่ามันน่าจะสามารถทนไหว แต่หลังจากยืนหยัดจุดนี้แล้ว ก็รู้สึกว่าไม่น่าเชื่ออยู่บ้างเหมือนกัน”

“แต่ไม่ว่าจะอย่างไร การที่ช่วงสำคัญที่สุดนี้สำเร็จ แผนการเดิมของข้าก็มีความเป็นไปได้แล้ว”

ชายหนุ่มสังเกตซ้ำอีกพักหนึ่ง หลังจากยืนยันแล้วว่าเตากลืนดินไม่ได้ถึงขีดจำกัด จึงเก็บกระสวยเบิกดินแดนขึ้นมาใหม่อย่างวางใจ

อาหู่จุ๊ปากชื่นชมถึงความวิเศษของมัน “แต่ว่าคุณชาย เพียงแค่เป็นฝ่ายดูดซับไว้ ไม่ได้กลืนเข้าไป ขอบเขตพลังนี้ยังคงน้อยไปอยู่บ้าง จะสามารถทำให้เกิดผลกระทบเข้าไปยังแก่นน้ำแข็งใยดินได้หรือ?”

เขามองดูธารแสงสีฟ้าเหล่านั้นอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะเห็นว่าระหว่างที่ธารแสงไหลเวียนอยู่นั้น ราวกับว่ากำลังแลกเปลี่ยนอยู่กับสถานที่อื่นอยู่ตลอดเวลา

ดูเหมือนว่าทางฝั่งนี้ถูกเตากลืนดินดูดซับไปพลังส่วนหนึ่ง จะไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก ไม่นานนักก็ถูกเติมเต็มจนสมดุล

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “แน่นอนว่ายังมีวิธีการตามมาทีหลังอีก ไม่ใช่จัดการจนสำเร็จเสร็จสิ้นในตอนนี้เลย”

ขณะเอ่ย เขาก็ต่อยหมัดหนึ่งออกไปอีก

มีเตากลืนดินแบกรับแรงกดดันจากหมอกน้ำแข็งเอาไว้ ค่ายกลก็สามารถโคจรต่อไปตามปกติ

แสงสีแดงหลายสายปรากฏออกมา สัมผัสเข้ากับแก่นน้ำแข็งใยดิน ทันใดนั้นดาบเพชฌฆาตสีแดงเพลิงทั้งสี่เล่มที่เสียบอยู่ภายในชั้นน้ำแข็งก็ส่องแสงสีแดงขึ้นมา เปล่งประกายพร่างพราวไปพร้อมกัน

การปรับสมดุลด้วยตัวเองของลักษณะพื้นภูมิแกนน้ำแข็ง ได้รับผลกระทบจนเปลี่ยนเป็นอืดอาดอยู่บ้าง

เมื่อทำเช่นนี้แล้ว เตากลืนดินก็ดูดซับพลังของลักษณะพื้นภูมิแกนน้ำแข็งไม่หยุด ค่อยๆ ส่งผลขึ้นมา

เพียงแต่การส่งผลนี้มีเพียงเล็กน้อยอีกทั้งเชื่องช้าอย่างยิ่ง น้อยนิดจนแทบจะทำให้ผู้คนยากจะสังเกตเห็น

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “สี่ตำลึงปาดแปดพันชั่ง ไม่ใช่ว่าง่ายดายปานนั้น ต่อจากนั้นพวกเรารอเงียบๆ ก็พอ รอให้ค่อยๆ สะสมไปเรื่อยๆ เก็บเล็กผสมน้อย จนกระทั่งถึงชั่วขณะสุดท้ายที่ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงรากฐานนั้น”

อาหู่เอ่ยถาม “คุณชาย หรือท่านกำลังจะบอกว่าวังสุสานทุ่งร้างแดนใต้ทางอัคคีพิภพนั่น จะเป็นเหมือนเช่นบ่อน้ำพุเกล็ดน้ำแข็งของตำหนักเซียนหิมะในปีนั้นหรือ? ”

ชายหนุ่มมองดูเตากลืนดิน “นั่นคงไม่เกิดขึ้น ขอบเขตของวังสุสานทุ่งร้างแดนใต้แกร่งกว่าบ่อน้ำเกล็ดน้ำแข็งยิ่งนัก นอกเสียจากว่าจะสามารถสั่นคลอนเส้นใยสำคัญของแก่นน้ำแข็งใยดินได้ ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีทางทำให้วังสุสานทุ่งร้างแดนใต้ดับสลายไปได้”

“ดังนั้น ข้าจึงไม่ได้คิดจะทำให้มันอ่อนกำลังลง หากแต่ต้องการให้ที่นั่นแกร่งยิ่งขึ้น”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวเสียงเรียบ “แต่ไหนแต่ไรคนจะเข้าไปด้านในก็ไม่ง่าย ถึงเวลานั้น คาดว่านอกจากหวงกวงเลี่ยแล้ว คนอื่นๆ ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ล้วนไม่ต้องคิดจะเข้าไป”

“เอาล่ะ พวกเราอดทนรออยู่ที่นี่กันเถิด” ชายหนุ่มเอ่ยพลางยิ้ม

เขาคอยเฝ้าค่ายกลเอาไว้ ส่วนอาหู่ที่ไม่มีเรื่องอื่นต้องทำ ก็เริ่มตั้งใจฝึกฝนอย่างจริงจัง ตีฝ่าสู่ระดับขั้นที่สูงขึ้นอีกครั้ง

หลายวันผ่านไป พลังปราณสีม่วงหลายสายที่อยู่ในปราณจิตราสีดำทั่วสรรพางค์กายของอาหู่ ก็ยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้น

จนในที่สุด พลังปราณสีม่วงก็เปลี่ยนเป็นยิ่งใหญ่เกรียงไกร ตามกาลเวลาที่เคลื่อนผ่านไป จากนั้นรวมตัวเข้าด้วยกัน เกาะผนึกจนกลายเป็นจุดแสงสีม่วงเล็กๆ

ลมพายุสีดำกลับกลายเป็นสิ่งที่มีลักษณะเหมือนฝุ่นดินสีดำ

จุดแสงสีม่วงนั้นจมลงอย่างเชื่องช้า หลอมรวมเข้าไปในดินวิเศษสีดำ

อาหู่สั่นเทิ้มไปทั้งตัว ครั้นลืมตาขึ้น ในประกายตากลับเหมือนว่ามีแสงสีม่วงเป็นจุดๆ ฉาบวับวาบแล้วก็หายไป

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเอ่ย “อาหู่ ยินดีกับเจ้าด้วย เจ้าสำเร็จระดับมหาปรมาจารย์ขั้นสอง ขั้นซ่อนจิตระยะกลางแล้ว”

ชายร่างใหญ่อ้าปากกว้างหัวร่อฮ่าๆ ปรากฏให้เห็นว่ามีความสุขเป็นพิเศษ

หลังจากดีอกดีใจแล้ว อาหู่ก็เกาศีรษะ เอ่ยถามว่า “คุณชาย สถานการณ์แก่นน้ำแข็งใยดินของที่นี่เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”

เยี่ยนจ้าวเกอยกมุมปากขึ้นเบาๆ “อีกไม่นานก็รู้ผลแล้ว”

…………..