ตอนที่ 209 หลิ่วเหยียนอ้อนวอน 

 

 

กุ้ยเฟยถวายงานฮ่องเต้อยู่หนึ่งคืน แต่หรงจิงจะต้องตื่นเช้าเพื่อออกว่าราชกิจในวันรุ่งขึ้น ดังนั้นกุ้ยเฟยจึงต้องกลับออกไปก่อนที่หรงจิงจะตื่น นี่เป็นบทบัญญัติแต่ครั้งบรรพกาล คงมีเพียงฮองเฮาเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์อยู่กับฮ่องเต้ได้ตลอดคืน 

 

 

กุ้ยเฟยในตอนนี้จึงยังง่วงงุนอยู่ เกี้ยวก็เดินช้าเสียอย่างยิ่ง นางนั่งโยกไปคลอนมาอยู่บนนั้นอย่างไม่สบายตัว 

 

 

และยังคงรุดหน้ากันไปทั้งสะลึมสะลือ พลันรู้สึกว่ามีเสียงเรียกนางดังขึ้นเบาๆ 

 

 

ประสาทรับรู้ของจินกุ้ยเฟยจึงค่อยๆ ตื่นขึ้นมา นางเหลียวมองไปรอบข้าง แล้วก็เห็นหลิ่วเหยียนยืนอยู่ข้างทางกำลังมองนางอยู่ 

 

 

“หลิ่วเหยียนหรือ วันนี้เป็นเวรของหลิ่วจุ้ยกับหวังหมัวหมัวไม่ใช่หรือไร” 

 

 

ชั่วขณะที่กุ้ยเฟยเห็นนางก็ตกตะลึงไปเช่นกัน ถึงนางจะยังง่วงเพลีย แต่ก็จำได้ว่านางเจตนาให้หลิ่วเหยียนอยู่ในตำหนัก แต่เหตุใดมาปรากฏตัวอยู่ตรงนี้ได้ 

 

 

ความรู้สึกแรกของนางคิดว่าคงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเซียงฉือที่อยู่ในกองคดีทำให้ความง่วงหายไปครึ่งหนึ่งในทันที แล้วมองไปยังหลิ่วเหยียน ปากร้องสั่ง 

 

 

“หยุดเกี้ยว!” 

 

 

หลิ่วจุ้ยติดตามอยู่ที่ข้างเกี้ยวอีกฝั่ง เมื่อเกี้ยวหยุดลงแล้วจึงได้มองเห็นหลิ่วเหยียน 

 

 

หลิ่วเหยียนรีบโผเข้าไปอย่างรู้งาน แล้วกระซิบกระซาบอยู่ข้างหูกุ้ยเฟย คิ้วเรียวของจินกุ้ยเฟยคว่ำลง มองหลิ่วเหยียนด้วยสายตาเย็นเฉียบเสียดกระดูก 

 

 

หลิ่วเหยียนได้แต่ให้นางจ้องอยู่เช่นนั้นไม่กล้าหลบเลี่ยง 

 

 

“ตามข้ามานี่!” 

 

 

หลิ่วจุ้ยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกนางและไม่ได้ยินคำพูดของหลิ่วเหยียน แต่นางรู้ว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ เพราะสีพระพักตร์จินกุ้ยเฟยไม่ดีนัก 

 

 

นางไม่คิดจะตามไปในตอนนี้เพราะหวังหมัวหมัวถูกเรียกให้ตามไปแล้ว นางจึงไม่สะดวกที่จะตามเข้าไปร่วมฟัง 

 

 

จินกุ้ยเฟยเดินไปถึงบริเวณที่โล่งแล้วมองหน้ามองหลัง เมื่อยืนนิ่งแล้วก็หมุนกายกลับมา สายตาเย็นเยียบ 

 

 

“พูดให้ชัดเจน เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่!” 

 

 

น้ำเสียงจินกุ้ยเฟยเหน็บหนาวอย่างที่สุด แต่หลิ่วเหยียนในตอนนี้จนตรอกไร้ทางถอยแล้ว 

 

 

“หลิวชิงถูกหม่อมฉันฆ่าตายเองเพคะ กุ้ยเฟยต้องช่วยหม่อมฉันด้วยนะเพคะ ที่หม่อมฉันทำไปก็เพื่อพระองค์” 

 

 

“เมื่อปีกลายนางกำนัลเสี่ยวหงหลังถูกพระองค์สั่งตีตายแล้วเขาเป็นคนเอาไปโยนทิ้งลงในบ่อร้าง คนคนนี้พอเหล้าเข้าปากก็พูดจาเหลวไหล และคิดวางแผนจะใช้เรื่องพวกนี้เพื่อข่มขู่พระองค์” 

 

 

“กุ้ยเฟยเพคะ เพราะความตระหนกหม่อมฉันจึงได้ทำเรื่องเช่นนี้ขึ้น แต่ไม่คิดว่าครั้งนี้ฝ่าบาทจะทรงให้สอบสวน กุ้ยเฟยเพคะ ช่วยหม่อมฉันด้วยนะเพคะ” 

 

 

หลิ่วเหยียนรู้แน่ชัดว่าเรื่องคืนนี้เป็นกับดัก ไม่รู้ว่าสวี่อี้ได้หลักฐานอะไรไว้ในกำมือ ทั้งนี้ทั้งนั้นนางไม่มีทางถอยอีกแล้ว ตอนนี้จึงมีเพียงต้องอาศัยอำนาจของจินกุ้นเฟยเพื่อปกป้องตัวเอง 

 

 

ถึงแม้เวลานี้นางกำลังทำเรื่องเสี่ยงอย่างที่สุด แต่นางคิดทบทวนแล้ว และนี่เป็นวิธีเดียวไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว 

 

 

“นังคนนี้ เหตุใดจึงกล้าทำเรื่องโหดร้ายแบบนั้นนะ!” 

 

 

“แล้วยังไปมี…” 

 

 

หวังหมัวหมัวพูดอย่างมีความหมาย หลิ่วเหยียนใช่ว่าจะไม่เข้าใจจึงรีบชิงพูดต่อ 

 

 

“หมัวหมัวไม่รู้อะไร หลิวชิงใช้กำลังกับข้า ข้าถูกบีบคั้นจนลนลาน เขายังบอกอีกว่าจะไปพึ่งพิงซูเฟย เพราะว่าซูเฟยสามารถให้อำนาจและความร่ำรวยกับเขาได้ ส่วนกุ้ยเฟยก็ไม่อยู่ในตอนนั้น ข้าเองก็เหมือนต้องมนตร์ไปขณะหนึ่ง” 

 

 

“กุ้ยเฟยเพคะ โปรดทรงเห็นแก่หม่อมฉันที่รับใช้พระองค์มานานปี ถึงจะไม่มีความดีความชอบแต่ก็มีความอุตสาหะ ช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ จากนี้ไปหม่อมฉันจะขอพลีกายถวายชีวิตเพื่อพระองค์อย่างไม่มีเกี่ยงงอนเลยเพคะ” 

 

 

หลิ่วเหยียนกอดชายกระโปรงกุ้ยเฟย ฟูมฟายร้องไห้จนกลายเป็นมนุษย์น้ำตา 

 

 

พื้นดินยามนี้เย็นเฉียบ ความเย็นซึมเข้าสู่เท้าทั้งคู่ของนางเป็นระลอก 

 

 

“กุ้ยเฟยเพคะ จะทำอย่างไรดีเพคะ” 

 

 

หวังหมัวหมัวเห็นหลิ่วเหยียนในสภาพนั้น นางมองดูคิ้วขมวดมุ่นของจินกุ้ยเฟย ไม่กล้ารีบพูดอะไรออกมามาก เพียงแค่ถามขึ้นเช่นนั้น