ตอนที่ 210 จินกุ้ยเฟยตัดสินใจ 

 

 

ถึงแม้หลิ่วเหยียนจะพูดอย่างน่าเห็นใจเต็มประดา อีกทั้งยังจงรักภักดีต่อจินกุ้ยเฟยอย่างยิ่ง แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ชีวิตของนางนี้มีค่าพอแก่การช่วยเหลือหรือไม่ต่างหากที่เป็นจุดสำคัญในการพิจารณาของจินกุ้ยเฟย 

 

 

จินกุ้ยเฟยไม่พูดอยู่นานเอาแต่พิเคราะห์ดูหลิ่วเหยียน หวังหมัวหมัวก็ยืนเงียบอยู่ข้างๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรถูก ทั้งยังไม่รู้ว่าควรจะช่วยหลิ่วเหยียนสักครั้งหรือไม่ 

 

 

หลิ่วเหยียนเห็นสายตาจินกุ้ยเฟย นางรู้ว่าตอนนี้จินกุ้ยเฟยกำลังประเมินอยู่ว่ามีความจำเป็นที่จะเก็บนางไว้หรือไม่ 

 

 

นางจึงพูดออกไปอย่างจำใจ 

 

 

“กุ้ยเฟยเพคะ หม่อมฉันรับใช้พระองค์มานานปีด้วยความจงรักภักดี ตำหนักอวี้หยวนของพวกเราสงบสุขราบรื่นตลอดมา แต่ก็มีคนบางคนพอเข้ามาแล้วก็มีแต่เรื่องวุ่นวายไม่หยุดหย่อน” 

 

 

“แต่เพราะพระองค์โปรดและทรงประสงค์ใช้ความสามารถของนาง หม่อมฉันเลยมีเจตนาที่จะช่วยปกป้องนางจึงได้ส่งนางกำนัลมั่วมั่วเข้าไป ซึ่งตอนนี้นางถูกคุมขังอยู่ในคุกแล้ว ขอเพียงรับสั่งของพระองค์ก็จะสามารถปกป้องคนที่จะเป็นประโยชน์ต่อพระองค์ยิ่งกว่าได้เพคะ” 

 

 

หลิ่วเหยียนเพื่อปกป้องตัวเองจึงส่งมั่วมั่วไปขโมยหลักฐาน เป็นการยิงนกสองตัวด้วยกระสุนนัดเดียว เพื่อจะได้รู้ว่าข่าวที่ได้มาเป็นจริงหรือเท็จ ทั้งยังเป็นการโยนหินถามทาง เพื่อตัวเองจะได้ไม่ก้าวเข้าสู่แดนอันตราย 

 

 

และเพราะการวางแผนความปลอดภัยสองชั้นแบบนี้จึงทำให้หลิ่วเหยียนอยู่รอดมาได้ถึงวันนี้ 

 

 

คำพูดของหลิ่วเหยียนพิสดารสุดอำมหิต นางผลักเพื่อนออกไปเพื่อรักษาชีวิต ถึงจะบอกว่านี่อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่หวังหมัวหมัวมักรู้สึกว่าหลิ่วเหยียนคนนี้ไม่ต่างอะไรกับอสรพิษ ไม่รู้ว่าจะแว้งกัดกุ้ยเฟยเข้าเมื่อไร 

 

 

นางรู้สึกเย็นวาบตามแผ่นหลัง แต่จินกุ้ยเฟยกลับหัวเราะขึ้นเบาๆ 

 

 

“สละเรือเพื่อรักษาขุน ทำได้งดงาม หวังหมัวหมัว ไปบอกสาวใช้คนนั้น ว่าข้าจะดูแลครอบครัวนางอย่างดี” 

 

 

จินกุ้ยเฟยมองหลิ่วเหยียนและรู้สึกชื่นชมความอำมหิตที่เด็ดขาดนั้น ในความรู้สึกของนาง สตรีหากไม่อำมหิตฐานะจะไม่มั่นคง หากคิดจะปกป้องตน การเสียสละเบี้ยตัวเล็กตัวน้อยไปบ้างก็เป็นการสมควร 

 

 

ที่สำคัญ เบี้ยเล็กเบี้ยน้อยพวกนี้ไม่เคยเข้าตานางอย่างแท้จริงตั้งแต่ไรมา 

 

 

จินกุ้ยเฟยพูดจบก็เดินกลับไปยังเกี้ยวของตนอย่างสบายใจราวกับไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นแล้วกลับไปนอนยังตำหนัก 

 

 

 

 

 

วันรุ่งขึ้น 

 

 

หลังจากที่หวังหมัวหมัวออกจากกองคดีไปไม่นาน มั่วมั่วได้ทิ้งหนังสือเลือดยอมรับความผิดที่ได้กระทำไว้ แล้วเอาหัวโขกกำแพงฆ่าตัวตาย 

 

 

หลังได้รับรู้เรื่องนี้ เซียงฉือนั่งนิ่งไม่พูดจา ส่วนสวี่อี้นั้นหัวเราะเยาะขึ้นมา 

 

 

จะหาความยุติธรรมได้ที่ไหนในวังนี้ จะมีก็แต่เพียงความประสงค์ของเจ้านาย เรื่องนี้นางถูกเบื้องบนสั่งการลงมาแล้วว่าให้จบลงเพียงเท่านี้ นางเองก็ไม่ใช่คนบ้าที่จะไปล่วงเกินผู้สูงศักดิ์เพื่อคนบ้าตัณหาคนหนึ่ง 

 

 

จากนั้นข่าวหัวหน้าหน่วยองครักษ์หลิวชิงถูกฆ่าที่แพร่สะพัดในวังจึงถึงจุดสรุป 

 

 

รางวัลและคำชมเชยจากเบื้องบนมีมากมาย ส่วนเซียงฉือก็กลับตำหนักอวี้หยวน 

 

 

อีกไม่นานก็จะถึงวันลงชื่อสมัครสอบเป็นข้าราชสำนักสตรีแล้ว หญิงสาวในวังที่พอมีความอยู่บ้างจะพากันไปสมัคร และเซียงฉือก็มีความตั้งใจเช่นนั้น 

 

 

ระยะนี้นางจะไปรับใช้เบื้องพระพักตร์กุ้ยเฟยตามปกติในเวลากลางวัน ตอนกลางคืนจะไปหาสวี่อี้เพื่อปรึกษาเรื่องขั้นตอนต่างๆ ในการสอบข้าราชสำนักสตรี 

 

 

ส่วนปัญหาเรื่องการลงชื่อสมัครสอบที่ทำให้นางปวดศีรษะมาตลอดนั้นก็เริ่มมีความชัดเจน 

 

 

ด้วยการชักนำของสวี่อี้ ทำให้บ้านสกุลสวี่ บ้านสกุลเหออีกทั้งตระกูลนักการศึกษาทั้งหลายเป็นแกนนำ โดยมีเหลียนชินอ๋องเป็นผู้ถวายฎีกาขอประทานพระบรมราชานุญาตให้บุตรสาวของขุนนางต้องโทษที่เข้ามาอยู่ในวังมีสิทธิ์ในการเข้าสอบ 

 

 

เหตุผลข้อแรกเป็นเพราะที่ผ่านมาอัตราของข้าราชสำนักสตรีที่สอบผ่านนั้นต่ำมาก ข้อที่สอง การกระทำเช่นนี้จะเป็นที่ประจักษ์ว่าฮ่องเต้มีพระเมตตาและน้ำพระทัยกว้างขวาง 

 

 

ส่วนตัวหรงจิงนั้นก็ไม่ชื่นชอบเรื่องการรับโทษพัวพันต่อเนื่องที่บรรพชนสืบทอดต่อกันมาอยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้จึงพยักหน้าเห็นด้วย