ตอนที่ 211 จดหมายจากเหอเจี่ยนสุย 

 

 

เรื่องสตรีต้องโทษสามารถเข้าร่วมการสอบได้หรือไม่นั้นเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในราชสำนัก โดยขุนนางส่วนใหญ่จะเห็นด้วย บางส่วนเห็นว่าเป็นเรื่องเมตตาดีงาม คิดว่าเป็นการเผื่อทางหนีทีไล่ไว้ให้ตนเองในวันข้างหน้าก็ดีเหมือนกัน 

 

 

เสียงคัดค้านไม่ได้รุนแรงมากนัก ดังนั้นจึงผลักดันให้ผ่านไปได้อย่างราบรื่น 

 

 

ทำให้เซียงฉือได้รับโอกาสเข้าลงชื่อสมัครได้สำเร็จ 

 

 

ในเรื่องนี้แน่นอนว่าเป็นผลงานของสวี่อี้ แต่ที่เซียงฉือดีใจที่สุดคือการได้รับจดหมายจากเหอเจี่ยนสุย 

 

 

หลายวันก่อนเพราะมัวแต่ยุ่งหรืออาจเพราะประหวั่นพรั่นใจ จนกระทั่งได้เห็นซองจดหมายที่วาดภาพดอกเหมยจึงพลันคิดถึงชายหนุ่มคนนั้นขึ้นมาได้ 

 

 

‘เหอเจี่ยนสุย ท่านสบายดีหรือไม่’ 

 

 

ตั้งแต่วินาทีที่กำไลหยกขาวหลุดออกไปจากกายนาง เซียงฉือเพียรพยายามควบคุมความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับเขาอย่างเต็มที่ 

 

 

นางทั้งหวาดหวั่นและคาดหวัง แต่เพราะเก็บกดเอาไว้นาน จู่ๆ ได้เห็นจดหมายที่ไม่ได้เห็นมานานเช่นนั้นจึงคล้ายดั่งอยู่คนละภพ 

 

 

รอยยิ้มนางจางบาง สวี่อี้มองอย่างไม่เข้าใจเพราะคิดไว้ว่านางควรจะดีใจอย่างยิ่ง 

 

 

แต่เห็นท่าทางนางแล้วสวี่อี้ต้องขมวดคิ้ว ถึงแม้นางจะฉลาดปราดเปรื่อง แต่ไม่ถนัดเรื่องราวความรักของชายหญิง ไม่เข้าใจสภาพจิตใจที่กำลังต่อสู้กันเองอย่างวุ่นวายสับสนภายในใจของเซียงฉือ 

 

 

“เซียงฉือ เจ้าเป็นอะไรไป” 

 

 

“ขอเพียงเจ้าสอบข้าราชสำนักสตรีได้ ฝ่าบาทก็จะทรงกำหนดการวิวาห์ให้ได้ ถึงเวลานั้นขอให้เหลียนชินอ๋องไปช่วยทูลขอความกรุณาให้พวกเจ้าก็จะได้อยู่ด้วยกันในไม่ช้าแล้วมิใช่หรือ” 

 

 

“เจ้าก็จะได้ใช้ชีวิตอย่างที่เจ้าสมควรจะได้รับกับคนที่เล่นและเติบโตมาด้วยกัน ชีวิตที่คนมากมายพากันอิจฉา พวกเจ้าจะต้องได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เจ้าก็จะมีความสุขด้วย” 

 

 

สวี่อี้เป็นพวกเย็นชาเสมอมา แต่อาจเพราะว่าระยะนี้นางมีเวลาคลุกคลีอยู่กับเหลียนชินอ๋องมากจึงทำให้นางใฝ่ฝันถึงชีวิตคู่สามีภรรยาที่มีความเคารพนบนอบต่อกัน 

 

 

ทำให้คำพูดที่พูดออกมามีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนหญิงสาวปกติทั่วไปมากขึ้น 

 

 

แต่เซียงฉือกลับเกิดความลำบากใจขึ้นมา 

 

 

นางเป็นบุตรสาวบ้านสกุลอวิ๋น ตอนถูกจองจำ เหอเจี่ยนสุยไม่ยอมทิ้งขว้างนาง แม้ตอนนี้นางเข้ามาเป็นข้ารับใช้ จมปลักทั้งชีวิตอยู่หลังกำแพงวังเช่นนี้ เขาก็ยังคงคอยเคียงข้างอย่างอ่อนโยน 

 

 

เป็นเหอเจี่ยนสุยที่คอยปกป้องดูแลนางทั้งสิ้น ส่วนนางนั้นได้แต่ถ่วงและสร้างความลำบากแก่เขา 

 

 

บ่อยครั้งที่อวิ๋นเซียงฉือจะเหยียดหยามตนเอง โดยเฉพาะในวันเวลาที่มืดมนไร้แสงสว่างเหล่านั้น นางไม่สามารถที่จะคอยรับการเอาใจใส่ของเหอเจี่ยนสุยที่มีต่อนางได้ด้วยจิตใจสงบสุขดุจเคยได้ 

 

 

นางกังวล หวาดหวั่น เกรงว่าหากวันดีๆ เช่นนี้จู่ๆ หายไป นางก็จะร่วงลงสู่ความมืดไร้ขอบเขตไปทันที 

 

 

เซียงฉือคิดเป็นเวลานานโดยไม่พูดจา สัมผัสนิ้วมือไปตามขอบรูปวาดดอกเหมยอันปราณีต ลูบไล้อย่างแผ่วเบา ใจนางโลดแล่นไปตามมุมขอบนั้น 

 

 

“สวี่อี้ ขอบใจเจ้ามากที่นำจดหมายนี้มาให้ข้า แต่จู่ๆ ข้ารู้สึกกลัวขึ้นมา ถึงแม้จะรู้ว่าวันหน้าข้าอาจจะได้เดินไปบนเส้นทางแห่งความสุขที่ข้าเฝ้าคอยมานานพร้อมกับเหอเจี่ยนสุยก็ตาม” 

 

 

“แต่วันนี้ข้าไม่ใช่คุณหนูใหญ่ที่ไร้ความทุกข์ปลอดความกังวลอย่างเมื่อก่อนที่วันๆ คิดเพียงว่าจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับเขาอย่างไรอีกแล้ว ท่านปู่ของข้าแบกรับความอยุติธรรม ความอดสูอยู่ในแดนไกล ท่านอายุมากแล้ว ยังต้องจากบ้านเกิดไปรับโทษทัณฑ์ทรมานหนาวเหน็บอยู่ในดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือเช่นนั้น” 

 

 

“ถ้าหากข้าได้รับโทษแบบเดียวกับพวกท่าน ข้าคงรู้สึกดีกว่านี้มาก แต่ว่า…” 

 

 

น้ำตาของเซียงฉือรื้นขึ้นในตา สวี่อี้มองด้วยความเห็นใจ 

 

 

“จะให้ข้าอยู่อย่างมีความสุขเพียงคนเดียวได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ข้าเป็นบุตรสาวบ้านสกุลอวิ๋น มีเลือดของพวกท่านไหลเวียนอยู่ในตัว จะให้อยู่อย่างสงบสบายใจ มีความสุขเพียงคนเดียวไปวันๆ แบบนั้น ไม่คู่ควรกับการเป็นบุตรสาวบ้านสกุลอวิ๋น”