ตอนที่ 770 : ภัยพิบัติขนาดย่อม

Nine Sun God King เทพราชันเก้าตะวัน

อำนาจของยันต์ที่เผยออก กระทั่งฉินหยุนและเจี้ยนหลิงหลงยังคิดว่าเกินเชื่อได้ ฉินหยุนย่อมตระหนัก ว่าอำนาจมันสมควรทัดเทียมอักขระเต๋า ทว่าพลังที่เผยออกมานี้ มันรุนแรงยิ่งกว่า

เจี้ยนหลิงหลงยังคงตื่นตะลึงจากเหตุการณ์ นางกล่าวถาม “ระดับแรงสั่นไหวเล่า?”

เจี้ยนสือเทียนมองที่แผ่นกลมในมือ มันปรากฏคำหนึ่งร้อย!

ระดับแรงสั่นไหวหนึ่งร้อย!

บรรดาอาจารย์จารึกอื่นที่นี่ พวกเขายากทำใจยอมรับ หากเจี้ยนหลิงหลงแกะสลักอักขระนั้นด้วยตนเอง พวกเขาอาจสามารถยอมรับ ทว่าโชคไม่ดีนัก เป็นเด็กหนุ่มที่แกะสลักมันขึ้นมา พวกเขาได้แต่เชื่อ ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เชี่ยวชาญอักขระเลิศล้ำ ทั้งยังครอบครองจารึกวิญญาณ! มีแต่เป็นเช่นนี้ จึงสามารถทำให้อักขระเผยพลังชวนสะพรึงระดับนี้ออกมาได้

เจี้ยนหลิงหลงย่อมทราบว่าฉินหยุนครอบครองโทเทมอัคคี ทว่าพลังอำนาจระดับนี้ มันเกินกว่าที่นางคาดคิดเอาไว้

“พวกเราอยู่อันดับที่หนึ่งอีกแล้ว!”

แม้เจี้ยนหลิงหลงทึ่งไปบ้าง กระนั้นนางก็ยินดีพร้อมที่จะมองสีหน้าอัปลักษณ์ของอาจารย์จารึกจากกลุ่มอื่น

กลุ่มของเจี้ยนหลิงหลงและฉินหยุนก้าวขึ้นสู่อันดับที่หนึ่งอีกครั้ง เรื่องราวนี้ กลายเป็นแผลทางจิตใจต่อบรรดาอาจารย์จารึกเต๋าเฒ่าชรา

เวทีแข่งขันได้รับความเสียหายหนักหนา และเรื่องน่าเสียดายที่สุดของตำหนักเซียนดาบ คืออุปกรณ์เต๋าของพวกเขาถูกทำลาย!

“ทุกท่าน พวกเราจะพักกันก่อนสองชั่วยาม ระหว่างนี้จะเร่งรีบฟื้นคืนเวทีแข่งขันให้กลับสู่สภาพเดิมโดยเร็ว!”

เจี้ยนสือเทียนมองเศษซากหอคอยของตนด้วยความปวดร้าวหัวใจ จากนั้นสายตาจึงมองที่ฉินหยุน

ตอนนี้ บรรดาอาจารย์จารึกทั้งหลายต่างสงสัยอย่างยิ่ง ว่าฉินหยุนลงมือแกะสลักอักขระใดลงไป เพราะสิ่งที่เผยมันชวนสะพรึง มันสามารถเผยอำนาจอันเลิศล้ำ ระดับพลังแทบทัดเทียมยันต์เต๋าชั้นเลิศ!

และยันต์เต๋าระดับนั้น จำเป็นต้องใช้เวลาที่ค่อนข้างนานหากคิดสร้าง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถสร้างเสร็จภายในสามชั่วยาม นั่นคือสิ่งที่บรรดาอาจารย์จารึกทั้งหลายยังไม่อาจหาคำตอบ

เจี้ยนหลิงหลงลอบสงสัย ว่าฉินหยุนได้รับจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวมาครองแล้ว และเมื่อครู่ ก็เป็นเขาแกะสลักอักขระดวงดาวที่ทรงพลังอำนาจลงไป กระนั้นนางได้แต่คาดเดาโดยไม่คิดเอ่ยถาม

ฉินหยุนและเจี้ยนหลิงหลงไปนั่งพักข้างเวทีแข่งขัน เวลานี้ การแข่งขันรอบถัดไปจะเหลือเพียงสิบกลุ่ม และกลุ่มของมู่เฟิงย่อมตกรอบไปแล้ว

เจี้ยนสือเทียนเรียกผู้คนจำนวนมากออกมาเร่งรีบซ่อมแซมเวทีแข่งขัน พวกเขานำเอาก้อนอิฐหินลงมาวางกันใหม่ไม่ขาด

เวลาเดียวกันนี้ อาจารย์จารึกเต๋าหลายคนต่างเดินเข้ามา

“เจี้ยนหลิงหลง เจ้าใช้อักขระใดลงไป?” ผู้ที่เอ่ยคำถามนี้ เป็นชายชราที่เผยสีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ใช่คนดี และไม่ทราบว่าเขาผู้นี้สังกัดฝักฝ่ายใด

“พวกเราใช้อักขระใดมีอันใดเกี่ยวข้องกับเจ้า?” ได้เห็นชายชราเผยท่าทีไร้มารยาทแก่นาง เจี้ยนหลิงหลงย่อมตอบกลับไปอย่างเย็นเยือก

“พลังระดับนั้นไม่ใช่สิ่งที่อักขระทั่วไปสามารถทำได้! ดังนั้นแล้ว พวกเราสงสัย ว่าเจ้าปีศาจน้อยนั่นอาจใช้อักขระต้องห้าม!” ชายชรากล่าวคำกราดเกรี้ยว “หากเป็นเช่นนั้น ตำหนักจารึกเทวะของพวกเราย่อมต้องยื่นมือมาข้องเกี่ยว!”

เจี้ยนหลิงหลงคำรามออกด้วยโทสะ “อักขระต้องห้ามบัดซบอันใด! ตำหนักจารึกเทวะเจ้าก็แค่กลุ่มสุกรที่ดีแต่ร้องไปเรื่อย! หากพวกเจ้ามีเวลาว่าง เหตุใดไม่ไปไล่ล่าสังหารผู้ฝึกตนอสูรที่รุกล้ำสู่แดนวิญญาณอ้างว้าง? กลับกัน ดันเสนอหน้ามาที่นี่เพื่อกล่าววาจาไร้สาระที่เลื่อนลอย!”

เห็นได้ชัด ว่าคนกลุ่มนี้มาจากตำหนักจารึกเทวะ และก็มีแต่ตำหนักจารึกเทวะ ที่สามารถสร้างความวุ่นวายระดับนี้ได้

“เจี้ยนหลิงหลง เจ้ากำลังหยาบคายต่อตำหนักจารึกเทวะ พวกเราจะริบเหรียญตาเจ้ากลับคืน!” ชายชราผู้นี้กราดเกรี้ยว เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งของเขาในตำหนักจารึกเทวะไม่ใช่ต่ำต้อย

“เอามันคืนไป! กลุ่มเศษสวะ หากวันนี้เจ้าไม่อาจยืนยันว่ามันเป็นอักขระต้องห้ามใด เช่นนั้นข้าจะประณามพวกเจ้า!”

เจี้ยนหลิงหลงนำเอาเหรียญตราออกมาอย่างนึกโกรธแค้น จากนั้นจึงบดขยี้มันเป็นเศษซากก่อนโยนลงพื้น

“เจ้า… นี่เจ้า…” ชายชราผู้นี้ยิ่งโกรธแค้น เขาชี้หน้าเจี้ยนหลิงหลง ทว่าคำไม่คล้ายกล่าวออกได้

“กลุ่มตัวบัดซบเอ๋ย จงเร่งรีบไขความกระจ่างว่านั่นคืออักขระต้องห้ามใด! หากไม่ได้ ข้าจะมองว่าเจ้าจงใจสร้างปัญหาแก่ข้า และหากข้าไม่ได้หักขาสุนัขเช่นเจ้าวันนี้ ข้าก็ไม่ขอใช้สกุลเจี้ยนอีก!”

เจี้ยนหลิงหลงมีโทสะเป็นล้นพ้น ทั้งกายนางเผยอัคคีเพลิงร้อนแรง นางนำดาบใหญ่ออกมาชี้ที่ชายชรา

แท้จริงแล้ว อักขระต้องห้าม ก็คืออักขระดวงดาว จันทรา และตะวัน กระนั้น ไม่ใช่ว่ามันจะใช้งานกันได้ทุกคน และยังเป็นรางวัลของการแข่งขันครั้งนี้อีกด้วย สาเหตุว่าทำไมอักขระทั้งสามถูกเรียกขานเป็นอักขระต้องห้าม ก็เพื่อเป็นการห้ามปรามอาจารย์จารึกทั้งหลายไม่ให้ใช้งานพวกมัน

ตามปกติแล้ว ตำหนักจารึกเทวะจะถือสิทธิ์การมอบใช้งานอักขระเหล่านี้ และทุกสำนักใหญ่ รวมถึงตระกูลใหญ่ ย่อมต้องมีส่วนร่วมในตำหนักจารึกเทวะ พวกเขาล้วนเป็นคนกันเองที่พร้อมก่อเรื่องไร้ยางอาย ดังนั้น กล่าวได้ว่าพวกเขามีสิทธิ์ที่จะอนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิ่งที่เรียกอักขระต้องห้าม หรือก็คือ อักขระต้องห้ามมันไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายจริงดังที่กล่าว หาได้เหมือนอย่างผู้ฝึกตนอสูรที่เป็นภัยคุกคามไม่

ด้วยเจี้ยนหลิงหลงมีโทสะเป็นล้นพ้น เพราะชายชราจงใจสร้างปัญหาขึ้น อีกฝ่ายคิดพยายามหยิบยกประเด็นนี้เพื่อหาทางลงมือต่อฉินหยุน จากนั้น จึงค่อยทรมานอีกฝ่ายเพื่อได้รับอักขระเหล่านั้นมา และนำพวกมันส่งมอบแก่ตำหนักจารึกเทวะต่อไป

บรรดาอาจารย์จารึกเฒ่าชราของตำหนักจารึกเทวะ บ่อยครั้งลงมือเช่นนี้ กระนั้น พวกเขาไม่คิดว่าครั้งนี้จะไปเตะโดนตอไม้ใหญ่เข้าให้ หลังได้ทราบจิตสังหารของเจี้ยนหลิงหลง ชายชราจากตำหนักจารึกเทวะจึงหันมองทางเจี้ยนสือเทียน เช่นนี้ เจี้ยนสือเทียนจึงต้องเร่งร้อนเดินเข้ามา

“หลิงหลง หากเจ้ามีข้อพิพาทใด เช่นนั้นไปจัดการหลังออกจากเกาะแห่งดาบแล้ว” เจี้ยนสือเทียนกล่าว

“ได้ หลังมันผู้นี้ออกพ้นจากเกาะแห่งดาบ ข้าจะส่งมอบความตายให้แก่มัน!” เจี้ยนหลิงหลงเก็บดาบของนางกลับคืน

“เจ้าปีศาจน้อยผู้นี้ใช้งานอักขระต้องห้าม!”

“หากไม่ได้รับการอนุญาตจากตำหนักจารึกเทวะ จะไม่มีผู้ใดสามารถใช้งานอักขระต้องห้าม! เพราะอักขระต้องห้ามเป็นสิ่งร้ายแรง หากผู้ใดใช้งานมันโดยไม่คิดให้ถี่ถ้วน เช่นนั้นย่อมนำภัยพิบัติมาเยือน!”

“ทุกคนล้วนได้เห็นกันแล้วเมื่อครู่ หลังเจ้าปีศาจน้อยนี่แกะสลักอักขระ พลังอำนาจของยันต์นั้นชวนสะพรึงเพียงใด นั่นย่อมต้องเป็นผลของการใช้อักขระต้องห้าม!”

ชายชราผู้นี้ยังคงไม่ยอมจบเรื่อง เขายังกล่าวออกด้วยโทสะ ตำหนักจารึกเทวะคิดกีดกันฉินหยุนไม่ให้ใช้งานอักขระเหล่านั้น

เจี้ยนหลิงหลงกล่าวถามเสียงลุ่มลึก “ไหนเจ้าลองบอกว่าพวกเราควรทำอย่างไร?”

“ย่อมต้องให้มันส่งอักขระต้องห้ามนั้นออกมา! พวกเราผู้เชี่ยวชาญจะตรวจสอบพวกมัน และทำให้อักขระต้องห้ามเหล่านั้นเกิดความเสถียรภาพ ก่อนจะนำไปส่งมอบให้แก่บรรดายอดฝีมือทั้งหลายร่วมกันศึกษา!” ชายชราแค่นเสียงกล่าว

“เหตุใดเจ้าไม่ลงนรกไปฝันหวานเช่นนั้นต่อกันเล่า!” เจี้ยนหลิงหลงอารมณ์ร้าย นางทะยานออกคิดเข้าจัดการชายชราตรงหน้า

เจี้ยนสือเทียนและครึ่งเซียนอีกหลายคนต่างเร่งรีบเข้าหยุดยั้งนาง

เจี้ยนหลิงหลงสบถออกรุนแรง

ชายชราจากตำหนักจารึกเทวะเมื่อครู่หวาดกลัว กระนั้นตอนนี้เมื่อเห็นว่าปลอดภัยจึงตะโกนดัง “พวกเราอาจารย์จารึกจะร่วมมือกัน ให้เจ้าปีศาจน้อยนั่นส่งอักขระต้องห้ามออกมา!”

ถึงตอนนี้ อาจารย์จารึกหลายคนต่างปรากฏตัวขึ้น

กระนั้น กลับไม่มีอาจารย์จารึกตระกูลเจี้ยนเข้าร่วม แม้พวกเขาเย้ยหยันเจี้ยนหลิงหลงบ่อยครั้ง ทว่าเวลานี้พวกเขาทราบกระจ่างดี สตรีภูเขาไฟเช่นนางพร้อมระเบิด หากพวกเขาทำให้นางมีโทสะมากยิ่งขึ้น เช่นนั้นนางก็พร้อมจะลืมเลือนเรื่องตระกูลและลงมือสังหาร

“เจี้ยนสือเทียน เรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นในการแข่งขันจารึกที่ตำหนักเซียนดาบ เจ้าควรเพิกถอนสิทธิ์เจ้าปีศาจน้อยผู้นี้และจับตัวมันไว้!”

เวลานี้ ชายชราจากตำหนักจารึกเทวะมีอาจารย์จารึกเต๋าหลายคนหนุนหลัง เขาจึงยิ่งกล้าก่อการใหญ่เพื่อจับตัวฉินหยุน

เจี้ยนสือเทียนกล่าว “พวกเราจะพูดกล่าวถึงเรื่องนี้หลังการแข่งขันจบลงแล้ว”

เจี้ยนหลิงหลงถูกครึ่งเซียนสองคนประกบข้างห้ามปราม ดังนั้น นางจึงไม่อาจลงมือใดได้อีก

ฉินหยุนพลันกล่าวถาม “ข้าไม่ทราบว่าอะไรคืออักขระต้องห้าม เหตุใดจึงไม่บอกต่อข้า ว่าอะไรคืออักขระต้องห้าม?”

“อักขระต้องห้ามย่อมต้องเป็นอักขระต้องห้าม พวกมันคืออักขระมารอันชั่วร้ายที่มีพลังเหนือล้ำกว่าอักขระธรรมดา!”

ชายชราผู้นี้ไม่กล้ากล่าว ว่าอักขระดวงดาว อักขระจันทรา และอักขระตะวันคืออักขระต้องห้าม เพราะหลายสำนักล้วนใช้งานพวกมัน

“สำหรับเรื่องนี้ ความจริงที่ข้าแกะสลักไปเมื่อครู่คืออักขระโทเทมอัคคี” ฉินหยุนกล่าว “นั่นถือเป็นอักขระต้องห้ามหรือ?”

โทเทมอัคคี!

บรรดาอาจารย์จารึกทั้งหลายต่างสะท้าน!

“นี่เจ้าแกะสลักอักขระโทเทมอัคคีได้รวดเร็วเพียงนั้นได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้!” ชายชราจากตำหนักจารึกเทวะตะโกนเสียงดัง “เจ้าต้องคดโกงแน่!”

“หากข้าแกะสลักได้ แล้วท่านยังจะว่าอะไร?” ฉินหยุนแค่นเสียง “ท่านเพียงใส่ร้ายข้า เรื่องนี้ต้องมีการสะสาง!”

“เหอะ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าแกะสลักโทเทมอัคคีได้จริงหรือไม่? เว้นแต่เจ้าจะเผยมันออกสู่สาธารณะ!” ชายชราแค่นเสียงกล่าว

คำกล่าวนี้ มันทำให้อาจารย์จารึกทั้งหลายที่นี้ต่างร้องตะโกนออกให้เปิดเผยออกมา

ฉินหยุนหัวเราะรับ นำเอากระดาษออกมา จากนั้นจึงลงปากกาวาดอักขระรวดเร็ว ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม ฉินหยุนจึงทำได้สำเร็จ

“นี่คือโทเทมอัคคี รับไปชม” ฉินหยุนส่งกระดาษออกไป

ชายชราจากตำหนักจารึกเทวะรับกระดาษแผ่นนั้น พิจารณาถ้วนถี่ บรรดาอาจารย์จารึกทั้งหลายรวมตัวกันร่วมรับชม

เจี้ยนหลิงหลงไม่ทราบ ว่าเหตุใดฉินหยุนทำเช่นนี้ กระนั้นนางก็เชื่อ ว่าเขาจะไม่มีทางส่งมอบโทเทมอัคคีแท้จริงออกไปแก่คนกลุ่มนี้

“นี่… นี่เป็นโทเทมอัคคี!” หนึ่งในอาจารย์จารึกเต๋าเฒ่าชรามากความรู้ร้องอุทานกล่าว

สิ่งนี้คือโทเทมอัคคีที่แท้จริง! หลายคนที่นี้ต่างเดือดพล่านด้วยความตื่นเต้นยินดี! ชายชราจากตำหนักจารึกเทวะตั้งจิตมั่น เขาคิดพยายามคัดลอกอักขระบนกระดาษ ตอนนี้ อาจารย์จารึกทั้งหลายต่างทราบกระจ่างชัด ว่าสิ่งนี้คือโทเทมอัคคีของจริง!

“เป็นของจริง! เร่งรีบคัดลอกมันไว้!”

“รีบคัดลอกเร็วเข้า!”

อาจารย์จารึกทั้งหลายเร่งรีบนำอุปกรณ์บันทึกออกมา ตราบเท่าที่นำอุปกรณ์นั้นลอยเหนือกระดาษ มันจะสามารถบันทึกเนื้อหา

ทว่าทันใดนี้เอง กระดาษนั้นกลายเป็นลุกไหม้!

เรื่องนี้ทำเอาบรรดาอาจารย์จารึกทั้งหลายสบถออกด้วยโทสะ

“กลุ่มคนที่ชั่วร้ายนัก! ข้ามอบโทเทมอัคคีให้รับชม กระนั้นกลับคิดอยากได้เป็นของตนเอง!” ฉินหยุนสบถออกต่อชายชราจากตำหนักจารึกเทวะ

“กระดาษมันไหม้ไปเอง เรื่องนี้เกี่ยวข้องอันใดกับข้า? เจ้าจงเร่งรีบทำมันออกมาอีกแผ่น!” ชายชราผู้นี้ยังไม่ยอมแพ้

“เหอะ อักขระโทเทมอัคคีของข้าย่อมพิเศษ เพียงแกะสลักมันได้สองครั้งทุกสามปี และตอนนี้แกะสลักไปแล้วสองครั้ง รอครั้งหน้าก็อีกสามปีแล้ว!”

“หากข้าแกะสลักโทเทมอีกครั้ง ข้าจะโดนผลย้อนกลับจากโทเทมอัคคี และอาจร่วงหล่นสู่เต๋าอสูรได้!”

“พวกท่านจากตำหนักจารึกเทวะสมควรทราบเรื่องนี้ดี ดังนั้นจึงฉวยโอกาสเผากระดาษนั้นคิดเก็บไว้แต่เพียงผู้เดียวหรือไม่ใช่?” ฉินหยุนกล่าวออกอย่างโกรธแค้น

เรื่องเกี่ยวข้องกับอักขระโทเทม แม้เป็นอาจารย์จารึกเต๋าเฒ่าชรา พวกเขาก็ทราบเพียงน้อยนิด ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ต้องเชื่อคำของฉินหยุน เพราะพวกเขามั่นใจ ว่าอักขระโทเทมเมื่อครู่ทั้งลึกล้ำและซับซ้อนอย่างแท้จริง พวกเขามีโอกาสได้รับโทเทมอัคคี กระนั้นกลับถูกชายชราตำหนักจารึกเทวะเผามันไปต่อหน้า!

เจี้ยนหลิงหลงยินดีอยู่ภายใน เวลานี้นางร่วมมือกับฉินหยุนกล่าวเสียงอันเย็นเยือก “ตาเฒ่าตำหนักจารึกเทวะ ชัดเจนว่าเจ้าเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาบางอย่าง จึงคัดลอกอักขระโทเทมในพริบตา จากนั้นจึงเผากระดาษนั้นไหม้! ช่างโฉดชั่วนัก!”

ชายชราจากตำหนักจารึกเทวะสุมอัดด้วยโทสะภายในใจ เขาตะโกนออกดัง “เจ้าปีศาจน้อย นี่ต้องเป็นเจ้าลงมือแน่!”

ฉินหยุนกล่าวออกอย่างโกรธแค้น “ข้ามอบอักขระโทเทมออกไปแล้ว ย่อมคิดแบ่งปันมันแก่ยอดฝีมือที่นี่ทุกท่าน ผู้ใดกันทราบว่าท่านแท้จริงภายในคิดอันใดจึงก่อการ? ตอนนี้ยังคิดกล่าวโทษข้าอย่างนั้นหรือ?”