DC บทที่ 306: ปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์

 

“ล้อเลียนพอแล้ว…” ผู้อาวุโสจงกล่าวด้วยดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาเคารพในสำนึกกระบี่อันลึกล้ำของซูหยาง เขาคงตบไปที่ซูหยางเรียบร้อยแล้วที่พูดคำพูดแบบนั้น

 

“ผู้เฒ่าคนนี้เป็นใคร”

 

ไม่มีใครในที่นั้นจดจำผู้อาวุโสจงได้นอกจากคาดคิดไปยังภูมิหลังของเขา อารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ สำนักระดับสูงที่อยู่เหนือสำนักระดับสูงอื่นๆ ตามจริงแล้วไม่ถือเป็นการพูดเกินจริงเลยที่จะเรียกอารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ว่าเป็นหนึ่งในขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปแห่งนี้

 

อย่างไรก็ตามยังมีหนึ่งคนที่นั่นที่จดจำหน้าตาผู้อาวุโสจงได้ และคนนั้นก็คือผู้อาวุโสสูงสุดหาน ซึ่งยืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางไม่อยากเชื่อราวกับว่าเขาเพิ่งพบกับไอดอลของตนเอง

 

“ปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ จงเชาหวง” ผู้อาวุโสสูงสุดหานพึมพัมชื่ออีกฝ่ายด้วยความตระหนก

 

“เจ้าพูดอะไร จงเชาหวงรึ”

 

ผู้คนตรงนั้นพลันนึกถึงชื่อนั้นและสุดท้ายก็จดจำได้ว่าใครที่พวกเขากำลังมองดู ตามจริงมีเพียงไม่กี่คนที่ไม่รู้จักปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในปรมาจารย์กระบี่สูงสุดในโลกนี้

 

“น-นั่นเป็นปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ใครจะคิดว่าประมุขของอารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์จะอยู่ที่นี่”

 

“ป-ประมุขของอารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์รึ”

 

ผู้คนของนิกายดอกบัวเพลิงมองไปยังผู้อาวุโสจงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม

 

“อย่างไรก็ตาม ถ้าเจ้ามิถือ ข้าขอตัวเข้าเมืองก่อนตอนนี้” ผู้อาวุโสจงกล่าวเมื่อฝูงชนเริ่มส่งเสียงอึกทึก

 

ยามพลันหันไปมองยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและกล่าวว่า “พวกเจ้าขวางทางอารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์อยู่ หลีกไปก่อนที่ข้าจักช่วยเจ้า”

 

“…”

 

ผู้อาวุโสจงมองดูยามเหล่านี้ด้วยท่าทางงงงัน ก็เห็นชัดอยู่ว่าเขามีความคุ้นเคยกับซูหยาง แต่ยามเหล่านี้กลับกล้าที่จะพูดกับพวกเขาด้วยทัศนคติแบบนั้นนะรึ ยามพวกนี้กร่างหรือว่าโง่กันแน่

 

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเขาไม่ต้องกรให้สถานการณ์บานปลายไปมากกว่านั้น ผู้อาวุโสจงก็พลันโยนเหรียญทองไปยังซูหยางและกล่าวว่า “เจ้ารับนี่ไว้…”

 

ซูหยางรับเหรียญไว้ด้วยการเคลื่อนไหวอันราบรื่นในขั้นตอนเดียว จากนั้นก็มองไปยังเหรียญที่มีชื่อสกุล “ซี” แกะสลักไว้

 

“ข้ามิเกรงใจแล้ว” ซูหยางกล่าว

 

เขาจึงแสดงให้ยามเห็นเหรียญและกล่าวว่า “ด้วยสิ่งนี้ เจ้าคงมิมีปัญหาในการปล่อยให้พวกเราผ่านในตอนนี้ ใช่ไหม”

 

“อื๋อ…”

 

บรรดายามต่างพากันงุนงงไปกับเหตุที่เกิดโดยไม่คาดคิด และยืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางตะลึงงัน

 

“ข้าจักถือว่านั่นเป็นการยอมรับ…”

 

ซูหยางเดินเข้าไปในเมืองโดยไม่รอให้ยามตอบสนอง “พวกเจ้ารออะไรอยู่” เขาหันตัวกลับไปและพูดกับศิษย์คนอื่น

 

“…”

 

แม้ว่าพวกเขาจะมีคำถามนับสิบสำหรับเขา แต่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ยังคงติดตามซูหยางเข้าไปในเมือง

 

ครั้นเมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเข้าไปในเมืองหิมะร่วงแล้ว ผู้อาวุโสสูงสุดหานก็ไม่อาจเก็บความสงสัยไว้ได้อีกและได้ถามซูหยางว่า “ท-ท่านมีความสัมพันธ์ใดกับปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์”

 

ซูหยางตอบอย่างราบเรียบ “พวกเรามิได้มีความสัมพันธ์ใดกันอย่างแท้จริง ข้าเพียงพบกับเขาครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ และนั่นก็เป็นเวลาเพียงชั่วขณะ”

 

ผู้อาวุโสสูงสุดหานไม่พบข้อผิดพลาดใดในคำของซูหยางแต่เขาก็ยังคงถามต่อ “ถ้าเช่นนั้นอะไรที่เป็นเหตุให้เขายกเหรียญทองให้ท่าน”

 

ซูหยางยักไหล่ “ข้ามิรู้เช่นกัน ถามเขาก็แล้วกันถ้าท่านสงสัย”

 

“…”

 

ผู้อาวุโสสูงสุดหานพลันไร้คำพูด เขาหรือจะมีความกล้าที่จะเดินไปหาคนอย่างปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่านั้นยังต้องพูดกับอีกฝ่ายด้วย

 

“ข้ายังคงสามารถเข้าไปได้หรือไม่ในเมื่อข้ามิมีสิ่งยืนยันตัวตนอะไรอีกต่อไปแล้ว” ผู้อาวุโสจงถามยามด้วยเสียงราบเรียบ

 

“น-น-แน่นอนขอรับ”

 

นั่นไม่ต้องใช้เวลาสำหรับยามในการตอบสนองอีกแม้สักวินาที ในเมื่อพวกเขาไม่มีทางที่ปฏิเสธประมุขของอารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นเพื่อนคนสำคัญของตระกูลซี

 

หลังจากที่ผู้อาวุโสจงเข้าไปในเมือง เขาก็พูดกับซูหยางว่า “แม้ว่าข้าต้องการที่จะอยู่ที่นี่พูดกับเจ้าให้นานอีกสักหน่อย แต่ข้ามีการประชุมที่จะต้องเข้าร่วม”

 

“ข้ามั่นใจว่าเราจักพบกันอีกครั้งในเมืองนี้เร็วๆนี้” ซูหยางพูดด้วยรอยยิ้มลึกลับ

 

ผู้อาวุโสจงหรี่ตามองซูหยาง แต่ว่าเขาตัดสินใจนิ่งเงียบไว้ก่อนที่จะจากไปในเวลาต่อมา

 

ครั้นเมื่อผู้อาวุโสจงจากไปแล้ว นิกายดอกบัวเพลิงก็แยกจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในเวลาอีกไม่กี่นาทีต่อมาเช่นกัน

 

“พวกเจ้าพักอยู่ที่ไหนกัน ข้ามีธุระบางอย่างกับเจ้าหลังจากนั้น” หวังชูเหรินถามซูหยางก่อนจาก

 

“สถานที่ซึ่งเรียกว่าโรงเตี๊ยมเกล็ดหิมะ”

 

หวังชูเหรินพยักหน้า แถมด้วยขยิบตาให้กับเขา “ข้าจักไปพบกับเจ้าเร็วๆนี้..”

 

ซูหยางได้แต่ยิ้มให้กับเจตนาอันชัดเจนของเธอ

 

หลังจากที่นิกายดอกบัวเพลิงจากไปแล้ว โหลวหลานจีก็พูดขึ้นว่า “พวกเราก็รีบไปยังโรงเตี๊ยมของเราและเข้าพักกันเถอะ”

 

ขณะที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไปตามเส้นทางมุ่งสู่โรงเตี๊ยมของพวกเขา ศิษย์รุ่นเยาว์ต่างก็พากันชื่นชมซูหยางโดยไม่ระงับยับยั้ง

 

“ดังที่คาดไว้ที่ศิษย์พี่ชายเป็นเพื่อนกับคนผู้นั้นที่เป็นถึงปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์”

 

“เจ้าเห็นถึงวิธีที่เขาดูแลศิษย์พี่ชายของพวกเราหรือไม่ นั่นเหมือนกับว่าเขาเห็นศิษย์พี่ชายมีศักดิ์เท่าเทียมกัน ทั้งที่เขาเป็นปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์”

 

เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันพูดด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรื่นเริง

 

“…”

 

โหลวหลานจีและผู้อาวุโสนิกายไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองอย่างไรกับคำพูดของเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้

 

“ซูหยางคนนี้… ไม่เพียงแต่เขารู้จักหวังชูเหริน หนึ่งในนักปรุงยาที่มีชื่อเสียงที่สุดในทวีปแต่เขายังมีความสัมพันธ์กับปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในจอมกระบี่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปแห่งนี้ด้วย จะมีคนที่มีชื่อเสียงคนไหนบ้างที่เขาไม่รู้จัก” โหลวหลานจีถอนใจ

 

ส่วนสำหรับศิษย์คนอื่น พวกเธอก็ประหลาดใจเช่นกันที่ซูหยางรู้จักกับคนสำคัญเช่นนี้ อย่างไรก็ตามไม่มีใครจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยตกใจมากนัก ราวกับว่าพวกเขาได้คุ้นเคยกับการทำให้ตระหนกจากซูหยางไปเรียบร้อยแล้ว

 

เวลาหลังจากนั้น พวกเขาก็ไปถึงหน้าของโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ที่มีขนาดเท่ากับคฤหาสน์

 

“เทพเจ้า… ข้ามิเคยเห็นโรงเตี๊ยมใหญ่เช่นนี้มาก่อน..”

 

ลืมเรื่องศิษย์รุ่นเยาว์ไปได้เลยเมื่อกระทั่งผู้อาวุโสนิกายก็ยังตะลึงงันไปกับขนาดของสถานที่นี้

 

อย่างไรก็ตามขนาดของโรงเตี๊ยมขนาดนี้เป็นเรื่องปกติภายในเมืองหิมะร่วง ตามจริงแล้วสถานที่นี้สามารถถึงได้ว่ามีขนาดปานกลางเมื่อเทียบกับโรงเตี๊ยมอื่นที่มีขนาดใหญ่กว่าและหรูหรากว่า