DC บทที่ 307: นิกายแท่นบูชาทอง

 

“ผู้นำนิกาย…โรงเตี๊ยมนี้…มันต้องมีค่าใช้จ่ายน่าดูแน่เลย…”

 

ผู้อาวุโสนิกายพากันตะลึงงันกับสถานที่หรูหราเช่นนี้ที่ยิ่งใหญ่กว่าโรงเตี๊ยมที่พวกเขาเคยเห็นมาก่อน

 

“เอ่อ มันมีราคาไม่กี่ร้อยเหรียญวิญญาณ…”

 

โหลวหลานจีเปิดเผยค่าใช้จ่ายให้กับพวกเขา เป็นเหตุให้ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างด้วยความตระหนก เมื่อพวกเขาไม่คิดว่าจะเป็นตัวเลขมากเพียงนั้น

 

“ไม่กี่ร้อยเหรียญวิญญาณรึ เพียงแค่อาศัยอยู่ที่นี่ไม่กี่อาทิตย์ เงินขนาดนี้สามารถซื้อหินอาวุธวิญญาณได้หลายชิ้นเชียวนะ”

 

“น-นี่เป็นการปล้นกลางวันแสกๆ”

 

ผู้อาวุโสนิกายพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่เชื่อว่าโหลวหลานจีจะใจกว้างมากกับการใช้จ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่นิกายไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะสามารถใช้ทรัพย์สินอย่างฟุ่มเฟือยได้

 

แน่นอนว่าเหตุผลเดียวที่โหลวหลานจีกล้าที่จะใช้เงินเช่นนั้นก็เพราะว่าความร่ำรวยที่ซูหยางได้ให้เธอไว้ ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็คงต้องตั้งเต็นท์อาศัยกลางแจ้งกันตลอดทั้งเดือน

 

“ข้ารู้ว่านั่นเป็นเงินเยอะอยู่ แต่อย่างน้อยพวกเราต้องมีสถานที่ที่จะอยู่ตลอดทั้งเดือน นอกจากว่าพวกท่านต้องการไปนอนกลางถนน ยิ่งไปกว่านั้นนี่ค่อนข้างถูกเมื่อเปรียบเทียบกับโรงเตี๊ยมอื่นในเมืองนี้ หากว่าพวกท่านเห็นราคาที่อื่นแล้ว ท่านจักต้องขอบคุณที่ข้าใช้เงินเพียงเท่านี้…”

 

“ถ้าท่านผู้นำนิกายพูดถึงขนาดนี้…”

 

ผู้อาวุโสนิกายยอมรับคำอธิบายของเธออย่างรวดเร็วในเมื่อไม่มีใครในหมู่พวกเขาต้องการหลับกลางถนนตลอดทั้งเดือน

 

“อย่างไรก็ตาม เราเข้าไปข้างในและปักหลักก่อนที่ข้าจักบรรยายสรุปให้แก่ทุกคน” โหลวหลานจีพูดขณะที่เธอเปิดประตูเข้าไปในโรงเตี๊ยม

 

“ข้าขออภัยสำหรับความไม่สะดวกต่อแขกผู้ทรงเกียรติ แต่โรงเตี๊ยมนี้ได้ถูกจองไว้เต็มแล้ว”

 

พนักงานต้อนรับกล่าวกับพวกเขาก่อนที่จะทันได้ไปถึงแผนกต้อนรับ

 

“พวกเรามาจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และพวกเราได้สำรองที่นั่งไว้เรียบร้อยแล้ว” โหลวหลานจีแสดงใบเสร็จของเธอ

 

พนักงานต้อนรับรับใบเสร็จไปดูอย่างละเอียด

 

ครั้นเมื่อเขายืนยันสิทธิ์แล้ว พนักงานต้อนรับก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ขอบคุณที่เลือกที่พักที่โรงเตี๊ยมเกล็ดหิมะของเรา ห้องของพวกท่านจักอยู่ที่ชั้นสี่ นี่คือกุญแจไปยังห้องของท่าน…”

 

ขณะที่พนักงานต้อนรับนำเอาพวงกุญแจออกมาจากใต้โต๊ะเตรียมส่งมอบให้กับโหลวหลานจี ประตูก็เปิดออกมาอีกครั้งและคนอีกกลุ่มก็เดินเข้ามาข้างใน

 

“ข้าต้องขออภัยสำหรับความไม่สะดวก ท่านแขกผู้ทรงเกียรติ แต่ห้องของเราทั้งหมดล้วนถูกจับจองแล้ว…”

 

พนักงานต้อนรับกล่าวกับผู้ที่มาใหม่

 

อย่างไรก็ตามแทนที่จะจากไปในทันที ผู้มาใหม่เหล่านี้กลับตรงมายังที่โต๊ะแทน

 

ครั้นเมื่อพวกเขามาถึงโต๊ะ ชายวัยกลางคนที่นำหน้าคนกลุ่มนี้ชี้มือไปยังกุญแจในมือของพนักงานต้อนรับและกล่าวว่า “ข้าจักจ่ายให้เจ้าสองเท่าของสิ่งที่คนกลุ่มนี้จ่ายให้สำหรับห้องเหล่านั้น”

 

“…”

 

สถานที่นั้นพลันเปลี่ยนเป็นอึดอัดและเงียบงัน

 

“ข-ข้าต้องขออภัย แต่ข้าคิดว่าสิ่งนั้น–”

 

ก่อนที่พนักงานต้อนรับจะทันได้พูดจบ ชายวัยกลางคนก็นำเอาถุงหนังออกมาจากเสื้อคลุมและโยนลงไปบนโต๊ะอย่างสบายๆ

 

“มีหินวิญญาณสองพันก้อนในถุงนั้น ข้าต้องการซื้อห้องจากเจ้า” เขากล่าว

 

อย่างไรก็ตามชายวัยกลางคนไม่ได้มองไปที่พนักงานต้อนรับเมื่อเขาพูดคำพูดเหล่านั้น แท้ที่จริงแล้วเขาเสนอหินวิญญาณให้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยสำหรับห้องของพวกเขา

 

“…”

 

โหลวหลานจีมองไปที่ชายวัยกลางคนที่ไม่รู้จักนี้พร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

“ไม่ ขอบคุณ” เธอกล่าวกับเขาด้วยเสียงค่อนข้างเรียบเฉย

 

ทันทีที่โหลวหลานจีปฏิเสธข้อเสนอของพวกเขา ศิษย์ที่อยู่เบื้องหลังชายวัยกลางคนก็เริ่มพูดเสียงดัง

 

“พวกไร้ชื่อเสียงเรียงนามนี่เป็นใครกัน พวกเขามิรู้เลยรึว่าพวกเราเป็นใคร”

 

“พวกเขาต้องมาจากหลังเขาถึงไม่รู้จักพวกเรา”

 

ศิษย์เหล่านี้พูดโดยไม่เกรงใจ เห็นชัดว่าดูถูกพวกเขา

 

เมื่อได้ยินว่านิกายของพวกเขาถูกกล่าวร้าย บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็เริ่มพูดเสียงดังบ้าง “จริงด้วยพวกโง่นี่เป็นใครกัน ถึงแสดงท่าทีมิเคารพเช่นนั้นต่อพวกเราและศิษย์พี่ชาย พวกเขาต้องคิดหาที่ตายแน่ๆ…”

 

“ใช่แล้ว พวกนี้คิดว่าตนเองเป็นใครกัน”

 

เพราะว่าเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้มั่นใจในความปลอดภัยของตนเองเนื่องมาจากซูหยางมีความคุ้นเคยกับปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาจึงไม่ออมรั้งในการพูดถ้อยคำขยะ

 

และก็เป็นดังที่คาดไว้ คนกลุ่มนี้มองดูเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ด้วยดวงตาถลนเต็มไปด้วยความตระหนก พวกเขาไม่เคยคิดจินตนาการว่าพวกกลุ่มเด็กเลวนี่จะกล้าโต้กลับกับพวกเขา อย่าว่าแต่พูดด้วยถ้อยคำเยาะเย้ยเช่นนี้

 

“ท-ทำไมจึงมีคนจากสถานที่ไร้ชื่อกล้าไม่เคารพในนิกายแท่นบูชาทองของพวกเรา”

 

“พวกเจ้านั่นแหละที่หาที่ตาย”

 

“นิกายแท่นบูชาทองรึ…”

 

โหลวหลานจีขมวดคิ้วลึกเมื่อได้ยินชื่อคุ้นเคยนั้น หลังจากที่ใช้เวลาครุ่นคิดชั่วขณะ สุดท้ายเธอก็นึกชื่อนิกายแท่นบูชาทองออก นั่นเป็นสถานที่ที่แม้ว่าจะไม่ถือว่าเป็นสำนักระดับสูง พวกเขาก็เก่งกาจพอที่จะเทียบได้กับสถานที่ดังเช่นนิกายล้านอสรพิษ

 

แน่นอนว่าเพราะว่าพวกเขามักจะเก็บตัว ผู้คนจากภาคอื่นๆจึงปกติไม่คุ้นเคยกับพวกเขา

 

“ใจเย็นๆ ศิษย์ทั้งหลาย…”

 

ชายวัยกลางคนสุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะก้าวเข้ามา

 

“ข้าขออภัยสำหรับ “ความหยาบคาย” ของศิษย์ข้า” เขากล่าวกับโหลวหลานจีด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น

 

“ข้าก็ขออภัยสำหรับศิษย์ข้าเช่นกัน…”

 

แม้ว่าเธอไม่ได้กล่าวอะไร โหลวหลานจีก็สังเกตเห็นความรู้สึกรังเกียจเบื้องหลังใบหน้าสงบของชายวัยกลางคน เห็นชัดว่าเขาไม่ได้ยึดคำขอโทษของตนเองจริงจังนัก

 

“อย่างไรก็ตาม เรามิต้องการขายห้องของเรา” โหลวหลานจีกล่าวขณะที่เธอหยิบกุญแจจากมือของพนักงานต้อนรับ

 

“…อย่างนั้นรึ.. ช่างน่าเสียดาย…”

 

ชายวัยกลางคนส่ายหน้าและทำการเดินออกไปจากประตู

 

อย่างไรก็ตามมีบรรยากาศแปลกๆรอบกายของชายวัยกลางคน และไม่ใช่เพียงโหลวหลานจีที่รู้สึกเช่นนั้น กระทั่งศิษย์รุ่นเยาว์เองก็รู้สึกบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับชายวัยกลางคน

 

ครั้นเมื่อนิกายแท่นบูชาทองลับสายตาไปแล้ว ศิษย์รุ่นเยาว์ก็พูดขึ้นว่า “ข้ารู้สึกถึงอันตรายจากชายคนนั้น…”

 

“ข้าก็ด้วย…”

 

“ลืมพวกเขาไปเสีย พวกเรารีบไปยังชั้นสี่กัน ซึ่งข้าจักได้จัดห้องให้พวกเจ้า” โหลวหลานจีกล่าวก่อนที่จะพาเหล่าศิษย์ขึ้นไปยังชั้นบน