DC บทที่ 308: ไม่มีอะไรนอกจากกามในใจเขา

 

เมื่อไปถึงชั้นที่สี่ โหลวหลานจีก็ยื่นส่งกุญแจให้กับศิษย์

 

“ศิษย์รุ่นเยาว์หญิงจะใช้สี่ห้องสุดท้ายตรงสุดโถงทางเดิน ขณะที่ศิษย์ชายจะใช้สี่ห้องก่อนหน้านั้น ผู้เข้าร่วมแข่งขันจะใช้สองห้อง และผู้อาวุโสนิกายกับข้าจะใช้ห้องแรก ข้าจักให้พวกเจ้าทั้งหมดทำการเลือกห้องของเจ้ากันเอง เพียงแต่จำไว้ว่า มีที่ว่างสำหรับเจ็ดคนในแต่ละห้อง”

 

หลังจากที่ยื่นส่งกุญแจทั้งหมดแล้ว โหลวหลานจีก็พูดต่อว่า “ตอนนี้จากสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ข้าจักพูดถึงกฏในการพักอาศัยอยู่ที่นี่จนกว่าเราจะกลับบ้าน”

 

“อันดับแรกและเป็นเพียงสิ่งเดียวก็คือ พวกเจ้าจักต้องไม่ออกจากโรงเตี๊ยมนี้ไปโดยมิได้รับอนุญาตจากผู้อาวุโสนิกายหรือตัวข้า และเมื่อออกจากสถานที่นี้ไปแล้ว พวกเจ้าจักต้องไปเป็นกลุ่มอย่างน้อยสี่คนพร้อมกับมีผู้อาวุโสนิกายด้วยหนึ่งคน เพิ่มเติมว่าเจ้าจักต้องไม่สวมอะไรที่สามารถบ่งบอกว่าพวกเจ้าเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย พวกเจ้ามีใครมีคำถามเกี่ยวกับกฏที่กล่าวมาหรือไม่”

 

เพราะว่าเธอไม่ต้องการเสี่ยงอะไรขณะที่พวกเขายังอยู่ในเมืองนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนิกายล้านอสรพิษก็ยังคงอยู่ที่นี่ โหลวหลานจีตัดสินใจที่จะใช้กฏอันเข้มงวดเหล่านี้ ในเมื่อเธอต้องการให้ทุกคนที่นี่กลับไปนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างปลอดภัย

 

เหล่าศิษย์พากันส่ายหน้า

 

“ดีมาก ตอนนี้เข้าสู่เรื่องของเมืองนี้ ในเมื่อพวกเจ้าทั้งหมดควรรู้ไว้ว่าเมืองนี้ควบคุมโดยตรงจากตระกูลซี ผู้ครองทวีปตะวันออก นี่หมายความว่าพวกเจ้าต้องประพฤติตนให้ดีขณะที่เจ้ายังคงอยู่ที่เมืองนี้และหลีกเลี่ยงการล่วงเกินตระกูลซี ที่จริงให้ลืมตระกูลซีไปได้เลย ในเมื่อยังคงมีผู้ทรงอำนาจอื่นอีกหลายสิบในเมืองนี้ที่เรามิอาจจะล่วงเกินได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ของพวกเราในปัจจุบัน ความผิดพลาดบางอย่างอาจจะต้องจ่ายด้วยชีวิตของพวกเจ้า และยิ่งไปกว่านั้นอาจด้วยชีวิตของพวกเราทั้งหมด พวกเจ้าเข้าใจไหม”

 

เหล่าศิษย์ต่างพากันพยักหน้าด้วยท่าทางเป็นกังวล

 

“เมืองนี้เป็นสถานที่น่ากลัวจริง…ข้ากลัวว่าข้าจักกังวลเกินกว่าจักออกจากห้อง…”

 

“ใช่ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเราไปเจอะกับคนแบบชายวัยกลางคนชั้นล่างเมื่อกี้นั้นโดยบังเอิญและล่วงเกินพวกเขา พวกเราต้องตายคาที่แน่…”

 

“พวกเจ้ามิต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น ในเมื่อเมืองนี้ห้ามมีการฆ่าฟันกันอย่างเข้มงวด” โหลวหลานจีกล่าว

 

แม้ว่าโหลวหลานจีต้องการให้ศิษย์รุ่นเยาว์อยู่แต่ในห้องของพวกเขาจนกว่าจะถึงการแข่งขัน แต่เธอก็ไม่ต้องการให้พวกเขาพลาดโอกาสอันหายากในการสำรวจเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งในทวีปตะวันออก

 

“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเราถูกลักพาตัว นั่นยิ่งน่ากลัวกว่าความตายในบางสถานการณ์ด้วยซ้ำ”

 

“ด้วยจำนวนของจอมยุทธในสถานที่นี้ การลักพาตัวเด็กเหมือนเช่นพวกเราจักง่ายเหมือนกับแย่งลูกอมจากเด็กด้วยซ้ำสำหรับพวกเขา”

 

ผู้อาวุโสนิกายและโหลวหลานจีมองดูศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ที่สร้างความกลัวให้กับตัวเองด้วยสีหน้าประหลาดพิกล พวกเขาพากันกังวลมากเกินไปโดยใช่เหตุ

 

“อย่างไรก็ตาม ขอเพียงระมัดระวังรักษาตนเองให้ปลอดภัยจนกว่าเราจะกลับไปถึงนิกาย พวกเราจักอยู่ที่นี่เพียงแค่ถึงสิ้นเดือนและพวกเราก็บรรลุไปเกือบครึ่งแล้ว”

 

“ส่วนสำหรับคนที่จักต้องเข้าร่วมการแข่งขัน เราจักตรงไปยังพื้นที่ลงทะเบียนในวันพรุ่งนี้เพื่อลงทะเบียนชื่อของพวกเจ้าว่าเป็นผู้เข้าร่วมแข่งขันอย่างเป็นทางการ จนกว่าจะถึงเวลานั้น จงผ่อนคลาย” โหลวหลานจีกล่าวขณะที่เธอมองดูซูหยางและบรรดาหญิงสาว

 

หลังจากที่พูดอีกสองสามนาที โหลวหลานจีก็เลิกประชุมบรรดาศิษย์ เพื่อที่พวกเขาจะได้มีเวลาวุ่นวายชั่วขณะสำหรับการเลือกห้อง

 

ส่วนผู้เข้าร่วมการแข่งขันนั้นเพราะว่าฟางซีหลาน ซุนจิงจิง และซูหยาง เป็นกลุ่มเดียวกันและถึอว่าเป็นผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่ม ศิษย์คนอื่นทั้งเจ็ดต่างพากันตกลงที่จะให้สามคนนี้ได้ใช้ห้องหนึ่งเป็นของตนเองในขณะที่พวกเธอใช้อีกห้อง

 

ครั้นเมื่อซูหยางเข้าไปในห้องพร้อมกับซุนจิงจิงและฟางซีหลาน เขาก็เริ่มถอดเสื้อคลุม

 

“เอ๋”

 

ทั้งฟางซีหลานและซุนจิงจิงมองดูเขาด้วยสายตาประหลาดใจ เขาต้องการเริ่มฝึกวิชาร่วมกับพวกเธอแล้วหรือยังไงกัน

 

อย่างไรก็ตาม คำพูดของซูหยางต่อจากนั้นยิ่งสร้างความตื่นตะลึงให้กับพวกเธอยิ่งกว่าเดิม

 

“ข้าจักออกไปข้างนอกสักครู่ จนกว่าข้าจะกลับมาให้ทำเหมือนกับว่าพวกเรากำลังร่วมฝึกวิชาอยู่เพื่อที่คนอื่นจะได้ไม่พบเห็น” เขากล่าวกับพวกเธอขณะที่เขาเปลี่ยนชุดสีเขียวของเขาเป็นชุดสีขาวเรียบ

 

“จ-เจ้าจะไปไหนรึ” ซุนจิงจิงถามเขา “ให้พวกเราสักคนไปด้วยไหม”

 

ซูหยางส่ายหน้า “ข้ากำลังจะไปพบ “เพื่อน” สักคนหนึ่ง ข้ามิไปนานนัก มิมีอะไรที่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้”

 

“ตกลง รักษาตัวให้ปลอดภัยนะ”

 

“แน่นอน”

 

ซูหยางยิ้มให้พวกเธอก่อนที่จะกระโดดออกไปจากหน้าต่างหายลับไปจากสายตาของพวกเธอ

 

ครั้นเมื่อซูหยางออกไปจากที่นั่นแล้ว เขาก็นำเอาหน้ากากออกมาจากแหวนมิติและสวมมันไปบนใบหน้า ปิดบังความหล่อเหลาเอาไว้ ในวินาทีถัดไปเขาก็นำเอาวัตถุอื่นออกมาจากแหวนมิติ กระบี่เหล็ก

 

ซูหยางมองดูกระบี่นี้ด้วยสายตาเย็นชาชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะใช้งานก้าวเก้าดาราลับหายไปในอากาศอันว่างเปล่า

 

 

 

 

หลังจากที่ซูหยางออกไปจากโรงเตี๊ยมแล้ว ก็มีคนเคาะประตูห้องเขา

 

“นี่ข้าเอง ข้าลืมบอกพวกเจ้าอะไรบางอย่าง…” เสียงโหลวหลานจีดังมาจากด้านหลังประตู

 

“ร-เราควรทำอย่างไรดี ซูหยางเพิ่งจากไปและผู้นำนิกายก็มาเคาะประตูห้องของพวกเราแล้ว” ซุนจิงจิงถามฟางซีหลานที่กำลังครุ่นคิด

 

“ศิษย์น้องหญิง เริ่มครางเถอ” ฟางซีหลานกล่าวหลังจากนั้นสองสามวินาทีด้วยท่าทางจริงจัง

 

“อ-อะไรนะ…” ซุนจิงจิงมองดูเธอด้วยใบหน้าตกตะลึง

 

“แสร้งทำเป็นว่าเจ้ากำลังฝึกวิชาร่วมกับซูหยางอยู่ และทำให้สมจริงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

 

ซุนจิงจิงพยักหน้าและเริ่มครางเสียงดัง

 

“อาาาา”

 

“อืม ทำตรงนั้นของข้าอีก ซูหยาง”

 

“อาาาาาาา”

 

เสียงเปี่ยมความสุขสันต์ของซุนจิงจิงทะลุผ่านห้องของพวกเธอออกไปสะท้อนก้องอยู่ในโถงทางเดินอย่างง่ายดาย

 

“…”

 

เมื่อโหลวหลานจีได้ยินเสียงซุนจิงจิงคราง คางของเธอก็ตกกระทบพื้น ในเมื่อเธอไม่อยากเชื่อ

 

“ซ-ซูหยางคนนี้ เป็นสัตว์ประหลาดที่มิมีอะไรนอกไปจากกามในใจเขาจริงๆ เราเพิ่งปักหลักแต่เขาก็เริ่มร่วมฝึกกับหญิงสาวไปเรียบร้อยแล้ว”

 

“ข-ข้าขออภัย ท่านผู้นำนิกาย แต่ท่านมาทีหลังได้หรือไม่…” เสียงฟางซีหลานดังมาไม่นานหลังจากที่ซุนจิงจิงเริ่มคราง

 

“ม-มิต้องกังวลเรื่องนั้น… มิมีอะไรสำคัญนัก… “ โหลวหลานจีกล่าวก่อนที่จะปล่อยให้พวกเธออยู่ตามลำพัง

 

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ครั้นเมื่อพวกเธอมั่นใจว่าโหลวหลานจีได้จากไปแล้ว ซุนจิงจิงก็หยุดคราง รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยหลังจากนั้น