“ฝ่าบาทไม่พอพระทัยที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เซี่ยอวิ๋นเซวียนสังเกตเห็นสีหน้านางอย่างรวดเร็ว จึงรีบถาม อาวุธวิเศษชิ้นนี้เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจสร้างอยู่หลายปี เขามั่นใจว่ามันดีพอแล้ว จนแทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ไม่รู้ว่ายังมีปัญหาตรงที่ใดอีก?
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกล่าวว่า “ตัวอาวุธชิ้นนี้ไม่น่าจะมีปัญหาใดอยู่แล้ว สิ่งที่ฝ่าบาททรงกังวลพระทัย คงจะเป็นเรื่องไม่มีพื้นที่มากพอให้วางโครงไม้ยามทำสงคราม และความเร็วในการเคลื่อนย้ายของเหล่าทหารที่ไม่เท่ากัน ทำให้ยากจะประกอบแถวหน้าไม้”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนพลันขมวดคิ้วแน่น เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยจริงๆ มัวแต่นึกถึงความสมบูรณ์แบบของตัวอาวุธ แต่กลับลืมถึงนึกข้อจำกัดต่างๆ ในระหว่างปฏิบัติการ
ซูหลีอมยิ้มแล้วเอ่ยว่า “คนที่รู้ใจข้า ก็มีแค่อวิ๋นฮุ่ยคนเดียว อาวุธชิ้นนี้มีอานุภาพน่าทึ่ง หาได้ยาก แต่ข้อดีของมันไม่ได้มีเพียงเท่านี้ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า ก็คือกลไกที่เชื่อมต่อกัน จนกลายเป็นแถวหน้าไม้ แค่คนเดียวก็สามารถควบคุมได้แล้ว ทำให้ประหยัดแรงงานทหารไปได้มาก ข้อดีที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ หากมิอาจนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คงน่าเสียดายแย่”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนอดขมวดคิ้วไม่ได้ ชั่วขณะหนึ่งเขาเองก็ไม่มีความคิดดีๆ เช่นกัน
ซูฉุนเองก็กล่าวว่า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่หากทำฐานวางแบบพกพา ก็คงไม่สะดวก…” เห็นซูหลีกลอกตา คล้ายมีประกายพาดผ่าน ซูฉุนอดถามไม่ได้ “ฝ่าบาทมีความคิดใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย แต่ไม่ตอบอะไร เพียงหันไปมองหน้าตงฟางเจ๋อ เห็นเพียงเขากำลังจ้องมองกลไกของหน้าไม้อย่างพินิจพิจารณา คล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
ซูหลียิ้มแล้วเอ่ยถามว่า “รถม้าเครื่องกลที่ส่งมาจากแคว้นเฉิงช่วงก่อน พวกท่านเห็นแล้วหรือยัง?”
ทุกคนพยักหน้า เซี่ยอวิ๋นเซวียนไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงถามเรื่องนี้ จึงเงียบและรอฟังนางพูดต่อ
ซูหลีครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “จะเป็นไปได้หรือไม่ ถ้าหากจะดัดแปลงรถม้าเครื่องกลกับหน้าไม้ให้เข้ากัน โดยปรับส่วนที่บรรทุกเสบียงไม่ให้มีหลังคา ทั้งสามารถบรรทุกคน แล้วยังสามารถจัดเก็บธนูเหล็กได้ด้วย แก้ปัญหาการขนส่งได้ แล้วยังสามารถใช้เป็นที่กำบัง ปกป้องทหารไม่ให้ถูกธนูของอีกฝ่ายยิงได้อีกด้วย…ทุกท่านคิดอย่างไรบ้าง?”
ซูฉุนกับซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยดวงตาเป็นประกาย รีบตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน ต่างเห็นว่านี่เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยม
เซี่ยอวิ๋นเซวียนชำเลืองมองตงฟางเจ๋อที่ยังคงใช้ความคิดเงียบๆ อยู่ด้านหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแช่มช้าว่า “ความคิดของฝ่าบาทยอดเยี่ยมจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ การจะนำรถม้าเครื่องกลกับพิรุณโปรยปรายมาดัดแปลงเข้าด้วยกันมิใช่จะทำไม่ได้ เพียงแต่…กลไกด้านในรถม้าเครื่องกลชนิดนั้นซับซ้อนมาก หากไม่มีภาพร่างกลไก…เกรงว่าอาจต้องใช้เวลาพอสมควรพ่ะย่ะค่ะ”
“ภาพร่าง…” ซูหลีหันไปมองตงฟางเจ๋ออีกครั้ง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่า “ท่านคงจะนำมาด้วยกระมัง?”
“ปิดบังอะไรเจ้าไม่ได้เลยจริงๆ เซิ่งฉิน!” สายตาของตงฟางเจ๋อสะท้อนแววประหลาดใจ มองหน้านางแล้วยิ้มบางๆ หากคนที่รู้ใจนางคืออวิ๋นฮุ่ย เช่นนั้นคนที่รู้ใจเขา ก็คงมีเพียงนาง
เซิ่งฉินรับคำแล้วเดินเข้ามา จากนั้นก็น้อมส่งภาพร่างรถม้าเครื่องกลที่เตรียมไว้แต่แรกให้เขา
ทันใดนั้น จู่ๆ ก็มีลมกระโชกเข้ามาในลานกว้าง ฝุ่นบนพื้นคลุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ตงฟางเจ่อประหลาดใจ รีบยืนขวางหน้าซูหลี สะบัดแขนทั้งสองข้าง พายุฝุ่นที่พุ่งเข้ามาราวกับปะทะเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็น พลันฟุ้งกระจายไปทั่วทิศ
ในครรลองสายตาของทุกคนเต็มไปด้วยฝุ่นสีเหลืองตลบอบอวล พลันนั้น เสียงอาภรณ์แหวกอากาศดังขึ้นเบาๆ เซิ่งฉินสั่นสะท้านไปทั้งใจ รีบตะโกนเสียงดัง “คุ้มกันฝ่าบาท!” เหล่าองครักษ์ถือกระบี่กรูกันเข้ามา
ซูหลียืนอยู่ข้างหลังตงฟางเจ๋อ ยังคงรู้สึกได้ถึงไอเย็นที่พวยพุ่งเข้ามากลางอากาศ เหล่าทหารที่ยืนอยู่ข้างกายต่างตกตะลึง ไม่ทันส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ ได้ยินเพียงเสียงอาวุธปะทะกันดังกลางอากาศ เซิ่งฉินและเหล่าองครักษ์ได้ปัดป้องอาวุธลับที่พุ่งเข้ามาจนร่วงตกพื้นหมดแล้ว แต่กลับยังคงไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย
พายุฝุ่นค่อยๆ สลายตัว ทัศนียภาพในลานกว้างกลับมาชัดเจนเช่นเดิม ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย ทุกคนยกมือปาดเหงื่อด้วยความตื่นกลัว
ซูหลีกับตงฟางเจ๋อมีสีหน้าหนักใจ ยังคงรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ จู่ๆ ก็ตะโกนขึ้นพร้อมกันด้วยความตกใจ “ภาพร่าง!”
ทุกคนต่างหันไปมอง พบว่าภาพร่างรถม้าเครื่องกลที่วางไว้บนโต๊ะหายไปดังคาด
เหล่าองครักษ์ตกใจหน้าเปลี่ยนสี รีบกระโดดขึ้นไปบนกำแพง แล้วกวาดสายตามองไปทั่วทิศ ในรัศมีครึ่งลี้กลับมองไม่เห็นเงาคนแม้แต่คนเดียว จึงได้แต่ย้อนกลับมาคุกเข่าขอรับโทษ
ตงฟางเจ๋อมีสีหน้าตึงเครียด ช่วงชิงภาพร่างต่อหน้าธารกำนัลอย่างอุกฉกรรจ์ จากนั้นก็หนีรอดไปอย่างไร้ร่องรอย ทั้งความใจกล้าและวิชาตัวเบาเช่นนี้ ต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
ใบหน้าของซูหลีก็ขรึมลงเช่นกัน เหล่าทหารรู้ว่าตนเองทำงานผิดพลาด ต่างพากันคุกเข่า ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อย
สายตาของเซี่ยอวิ๋นเซวียนสะดุดกึก ก้มเก็บอาวุธลับที่ตกอยู่บนพื้น ขนาดเท่าเข็มเย็บผ้า ปลายแหลมเคลือบยาพิษ เขาอุทานด้วยความตกใจ “เป็นฝีมือเขาอีกแล้ว!”
สายตาของซูหลีพลันเคร่งขรึม “ท่านรู้จักอาวุธลับนี้หรือ?”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนพยักหน้า “เมื่อคืนมีคนลักลอบเข้ามาในห้องนอนของกระหม่อม หลังจากกระหม่อมเปิดกลไกในลานบ้าน อีกฝ่ายก็ใช้อาวุธลับชนิดเดียวกันนี้เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมประมือกับคนผู้นั้นอยู่หลายกระบวนท่า วรยุทธ์ของเขาสูงกว่ากระหม่อมมาก แต่เขากลับยั้งมือหลายครั้ง หากเป้าหมายของเขาคือภาพร่างพิรุณโปรยปราย เหตุใดเมื่อคืนจึงไม่จับตัวกระหม่อม แล้วบังคับให้เอาภาพร่างออกมาตั้งแต่แรกเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยครุ่นคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ “เมื่อครู่ก็เช่นกัน! ตอนแรกก็อาศัยพายุฝุ่นบดบังการมองเห็น จากนั้นก็ใช้อาวุธลับเบี่ยงเบนความสนใจ สุดท้ายก็ฉวยโอกาสขโมยภาพร่างรถม้าเครื่องกลไป แม้อีกฝ่ายจะเตรียมการมาอย่างดี แต่ดูเหมือนคิดจะช่วงชิงภาพร่างอย่างเดียว มิได้มีเจตนาฆ่าผู้ใด! เป็นใครกันแน่?”
ตงฟางเจ๋อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น”
“คนผู้นี้รู้จักอวิ๋นเซวียน” ซูหลีกล่าวต่อ
ซูฉุนเองก็กล่าวว่า “ใช่ เพราะรู้จักกับคุณชายเซี่ย เขาจึงไม่กล้าเปล่งเสียง กลัวว่าท่านจะจำได้”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด ตั้งแต่สำนักกระบี่เหล็กล่มสลาย เขาก็ใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ รู้จักกับคนน้อยมาก ต่อมาเข้าวังรับราชการ ก็ยิ่งรู้จักคนน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ยิ่งเป็นยอดฝีมืออย่างนั้นด้วยแล้ว? เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าใครที่น่าสงสัย
ซูหลีเอ่ยเสียงขรึม “เริ่มสืบจากคนรอบกายท่าน ผู้ใดก็ตามที่มีวรยุทธ์ ห้ามปล่อยให้เล็ดลอดไปได้แม้แต่คนเดียว”
ครั้นกลับมาถึงตำหนัก ก็ใกล้ถึงเวลาพลบค่ำแล้ว ตงฟางเจ๋อไม่พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในลานกว้างแม้แต่คำเดียว ซูหลีกลับรู้สึกกังวลใจ ภาพร่างที่สำคัญถึงเพียงนี้ หากตกไปอยู่ในกำมือของจั้นอู๋จี๋ จะไม่ทำให้ทุกอย่างเสียเรื่องหรือ?
ตงฟางเจ๋อกลับยิ้มบาง เขากลับไปหยิบภาพร่างรถม้าเครื่องกลอีกแผ่นมาจากตำหนักบรรทม เหมือนกับแผ่นที่ถูกช่วงชิงที่ลานกว้างไม่มีผิด! ซูหลีเพ่งมองอย่างละเอียด จึงเพิ่งรู้ว่าเหตุใดเขาถึงได้ใจเย็น และไม่สะทกสะท้านถึงเพียงนี้
เดิมภาพร่างแผ่นนี้เป็นภาพร่างที่ต้องถอดรหัสอีกที ไม่มีผู้ใดเข้าใจราวกับกำลังอ่านพระคัมภีร์ ซูหลีรีบเรียกเซี่ยอวิ๋นเซวียนมาเข้าเฝ้า ตงฟางเจ๋ออธิบายภาพร่างอย่างละเอียด ที่แท้กลไกที่ดูแตกแยก ครั้นประกอบเข้าด้วยกันกลับเชื่อมโยงกันทุกส่วน พาให้ผู้พบเห็นต้องอุทานด้วยความตกตะลึง
เซี่ยอวิ๋นเซวียนฟังจบ ก็ล้วงภาพร่างพิรุณโปรยปรายออกมาจากอกเสื้อ นำมาเทียบกับภาพร่างของรถม้าเครื่องกล ศึกษาอยู่นานจนกระจ่างแจ่มแจ้งในที่สุด เขาเงียบงันไปเนิ่นนาน ครั้นเงยหน้ามองตงฟางเจ๋ออีกครั้ง ในสายตาสับสนกลับมีแววเลื่อมใสจากใจปรากฎให้เห็นรางๆ
ตงฟางเจ๋อให้คำแนะนำมากมายเกี่ยวกับวิธีการดัดแปลงพิรุณโปรยปรายและรถม้าเครื่องกลเข้าด้วยกัน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้เพิ่งเริ่มคิดเรื่องนี้มาเพียงวันสองวัน เซี่ยอวิ๋นเซวียนตั้งใจฟังเงียบๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน บางครั้งก็ประหลาดใจ บางครั้งก็ครุ่นคิดเงียบๆ สายตาเปลี่ยนผันไปมา อารมณ์พลุ่งพล่านยากจะควบคุม
ครั้นทั้งสามหารือกันจบ พระอาทิตย์ของเช้าวันใหม่ก็โผล่พ้นขอบฟ้าทิศตะวันออกแล้ว ช่วงเวลาทั้งคืน กลับผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วราวกับชั่วพริบตา
ยามเซี่ยอวิ๋นเซวียนขอตัวกลับ อคติที่เคยมีต่อตงฟางเจ๋อถูกลบล้างไปจนสิ้น เขาค้อมกายให้ทั้งสองอย่างเคารพนบนอบ ตงฟางเจ๋อยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม ซูหลีรู้สึกดีใจจากใจ ก่อนหน้านี้นางทำทุกวิธี เพื่อให้ทั้งสองร่วมมือกัน แต่กลับไม่อาจลบล้างอคติที่กั้นขวางอยู่ตรงกลางได้ แต่การหารือกันในวันนี้ กลับทำให้ได้รับผลพลอยได้ที่ไม่คาดคิด
จิตใจคนเรา สามารถเปลี่ยนได้เพียงชั่วความคิดเดียว
เป็นไปตามที่ซูหลีคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด วันต่อมา ข่าวการรุกรานของชนเผ่าหมาป่าถูกส่งมาในวัง กองทัพทหารม้าสองแสนนายบุกประชิดชายแดนอย่างอาจหาญภายใต้การนำทัพของราชาองค์ใหม่ของชนเผ่าหมาป่า ท่าทางดุดันน่าพรั่นพรึงกว่าในอดีต
ชายแดนตะวันตกส่งฎีกาขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนเข้ามา
ซูหลีสั่งให้ทหารที่อยู่ใกล้เคียงมุ่งหน้าไปช่วยเหลือทันที จากนั้นก็สั่งให้แม่ทัพอวี๋กวง ซึ่งเชี่ยวชาญการทำศึกปกป้องเมืองที่สุดมุ่งหน้าไปสมทบ โดยกำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าให้ปกป้องเมืองเท่านั้น ห้ามออกไปโจมตีเด็ดขาด
อวี๋กวงไม่ทำให้นางผิดหวัง ในเวลาหนึ่งเดือน ชนเผ่าหมาป่าทั้งยั่วยุและท้าทายอยู่นอกเมือง อวี๋กวงกลับไม่สะทกสะท้าน ยังคงปกป้องเมืองอย่างหนักแน่น กองทัพชนเผ่าหมาป่าโจมตีเข้ามาอย่างรุนแรงนับสิบครั้ง ก็ยังไม่อาจฝ่าแนวป้องกันเมืองเข้ามาได้
แต่ซูหลีรู้ดี การป้องกันเช่นนี้ ไม่อาจใช้ได้ไปตลอด
“ฝ่าบาท!”
ยามพลบค่ำวันนี้ ซูหลีกับตงฟางเจ๋อกำลังนั่งหารือเกี่ยวกับสถานการณ์สงครามที่เขตชายแดนกันอยู่ โจวหลี่พลันเดินเข้ามารายงาน “ใต้เท้าเซิ่งจินกลับมาพร้อมกับใต้เท้าหลินแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
………………………