ภาคใต้ฟ้ากว้างใหญ่ บทที่ 48 ถูกจับได้ว่าดื่มยาคุมกำเนิด (3)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

ตงฟางเจ๋อสีหน้าชะงักไปนิด รีบกล่าวว่า “เข้ามา!”

เซิ่งจินแต่งกายด้วยชุดสีดำคล่องตัว สภาพสมบุกสมบัน เขาเดินเข้ามาคุกเข่าแล้วกล่าวว่า “กระหม่อมทำตามรับสั่ง พาใต้เท้าหลินกลับมาอย่างปลอดภัยแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่หลินฮูหยิน…โชคไม่ดีเสียชีวิต…”

“ข้ารู้แล้ว เจ้าทำงานหนักมาหลายเดือน กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด” ตงฟางเจ๋อโบกมือเล็กน้อย สายตาจับจ้องไปที่ด้านหลังเขา คิ้วกระบี่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

หลินเทียนเจิ้งจูงมือลูกเดินเข้ามา บุรุษที่เคยหน้าตาหล่อเหลาสะอาดสะอ้าน ยามนี้หนวดเคราเต็มใบหน้า เสื้อผ้าสกปรก ร่างกายผ่ายผอม ซูหลีอดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพอันอบอุ่นที่พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกเคยจูงมือกันภายใต้แสงอาทิตย์ เป็นภาพที่งดงามจนน่าอิจฉา แต่ยามนี้กลับ…

ครอบครัวที่เคยสุขสันต์แตกสลายในชั่วพริบตา สีหน้าของหลินเทียนเจิ้งหมดสภาพ สายตาโศกาอาดูร ไม่ได้อบอุ่นหรือไม่แยแสต่อสิ่งใดดังเช่นแต่ก่อนอีกแล้ว เห็นได้ชัดว่าความเจ็บปวดจากการสูญเสียภรรยากระทบกระเทือนจิตใจเขาอย่างหนัก!

ข้างกายเขามีเด็กคนหนึ่งคุกเข่าอยู่ ยังเป็นวัยที่สดใสไร้เรื่องกังวลใจ แต่กลับต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดจากการสูญเสียมารดาแล้ว นางทำตามผู้เป็นพ่ออย่างว่าง่ายและสงบเงียบ เทียบกับที่เคยเจอก่อนหน้านั้น ราวกับนางได้เติบโตเพียงชั่วข้ามคืน ซูหลีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอก

การทรยศของอวี๋เชียนจีและเสวียนเฟิง แม้ไม่อาจให้อภัย แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการทำเพื่อชีวิตของครอบครัวอันเป็นที่รัก ด้วยสถานการณ์ที่ไร้ทางเลือก ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาสองคนก็ได้ชดใช้ด้วยชีวิตแล้ว คนที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่จำเป็นต้องรับผลกรรมที่พวกเขาก่อไว้

ซูหลีอดไม่ได้ที่จะเดินไปหา ก้มตัวอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยขึ้นมา ลูบพวงแก้มนิ่มๆ ของนางด้วยสายตาสงสารจับใจ

หลังผ่านการสูญเสียครั้งใหญ่มา สายตาของเด็กน้อยยังคงสุกสกาว ครั้นสัมผัสได้ถึงอ้อมกอดอันหวังดีของซูหลี นางก็เอื้อมมือทั้งสองข้างกอดคอซูหลี แล้วมุดหน้าที่ซอกคอนาง หัวใจของซูหลีอ่อนยวบไปทั้งดวง นางตบแผ่นหลังอันผอมแห้งของเด็กน้อย ขอบตาร้อนผ่าว

ตงฟางเจ๋อลุกขึ้น ค่อยๆ สาวเท้ามายืนตรงหน้าหลินเทียนเจิ้ง ประคองเขาให้ลุกขึ้น จ้องมองดวงหน้าอันซูบผอมตรงหน้า ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ลุกขึ้นก่อนเถิด เล่าให้ข้าฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

หลินเทียนเจิ้งใบหน้าเหม่อลอย คล้ายไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงใจเย็น “กระหม่อมกับเชียนจีถูกซุ่มโจมตีทันทีที่ข้ามเข้าไปในเขตเทียนเหมิน เชียนจีชำนาญการใช้พิษ เดิมทีพวกกระหม่อมสองคนเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายวางแผนจับตัวเซี่ยเอ๋อร์ไป…ใช้ชีวิตของลูกบีบบังคับพวกกระหม่อมให้ยอมจำนน…ภายใต้ความจำใจ พวกกระหม่อมสองคนจึงจำต้องพาพวกเขาเข้าไปในลัทธิธิดาเทพ ตอนแรกกระหม่อมคิดจะใช้เส้นทางลับช่วยเซี่ยเอ๋อร์ให้หลุดจากการจับกุม แต่กลับทำไม่สำเร็จ แล้วยังทำให้ท่านพ่อเดือดร้อนไปด้วย…”

เขาหยุดสะอื้นเล็กน้อย ไม่นานก็กล่าวต่อว่า “ครั้นเจอท่านพ่อ กระหม่อมจึงเพิ่งทราบว่า จดหมายฉบับนั้นเป็นของปลอม!”

เป็นดังที่นางคาดไว้ ซูหลีอดถอนหายใจไม่ได้

น้ำเสียงของเขาแหบพร่า ดวงตาเต็มไปด้วยแววตำหนิตนเอง ความเศร้าโศกชัดเจนจนไม่อาจทนดู

ตงฟางเจ๋อเอ่ยปลอบใจ “เจ้ากับเสวียนเฟิงเพิ่งได้กลับมาอยู่ด้วยกันไม่กี่ปี อยู่ห่างมากกว่าอยู่ใกล้ หากจะแยกแยะลายมือเขาไม่ออกก็เป็นเรื่องธรรมดา เหตุใดจึงต้องโทษตนเอง?”

หลินเทียนเจิ้งส่ายหน้า พูดอะไรไม่ออก

ซูหลีถาม “ท่านได้พบจั้นอู๋จี๋หรือไม่?”

ครั้นได้ยินชื่อนี้ สายตาของหลินเทียนเจิ้งก็เต็มไปด้วยแววเคียดแค้น เขาพยักหน้า กล่าวว่า “พบพ่ะย่ะค่ะ เขายังมีชีวิตอยู่จริงๆ อีกทั้งยังติดต่อกับหยางเจิ้นและหยางจิ้นมานานแล้ว เหตุการณ์โกลาหลและความขัดแย้งภายในแคว้นเปี้ยนที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในปีนั้น ล้วนเป็นฝีมือเขาคอยยุยงอยู่เบื้องหลัง การตายของหยางเจิ้นก็เป็นฝีมือเขา เพื่อใส่ร้ายฝ่าบาท ทำให้ทั้งสองพระองค์แตกหักกันเอง และทำให้หยางจิ้นกลายเป็นหุ่นเชิดของเขา…”

“เป็นเช่นนี้ดังคาด!” ใบหน้าของซูหลีขรึมลง น่าเสียดายที่จนกระทั่งป่านนี้ หยางจิ้นก็ยังไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกคนที่สังหารบิดาตนเองหลอกใช้อยู่

หลินเทียนเจิ้งกล่าวเสริมว่า “…เพื่อพวกกระหม่อม ท่านพ่อจำต้องทรยศฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน ฟังคำสั่งของจั้นอู๋จี๋ แสร้งทำเป็นรายงานเรื่องด่วน ครั้นฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนเปิดประตูลับ กำลังคนของจั้นอู๋จี๋ก็บุกเข้าไปในตำหนักของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน ร่วมมือกับกองทัพกบฏของหยางจิ้น…ตอนนั้นสถานการณ์วุ่นวายมาก เชียนจีคิดจะฉวยโอกาสช่วยเซี่ยเอ๋อร์ แต่ถูกจั้นอู๋จี๋จับได้ก่อน จั้นอู๋จี๋ลงมือสังหารทันที เพื่อช่วยเซี่ยเอ๋อร์…เชียนจีถูกกระบี่แทงทะลุอก สิ้นลมเดี๋ยวนั้น…”

ครั้นพูดมาถึงตรงนี้ เสียงของเขาสั่นเครืออย่างไม่อาจควบคุม แทบจะพูดไม่เป็นคำ น้ำตาหลั่งรินไม่ขาดสาย

ตงฟางเจ๋อเข้าใจความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรัก อดไม่ได้ที่จะตบไหล่เขาเบาๆ แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจเสียงเบาว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ระงับความเศร้าแล้วทำใจเสียเถิด”

หลินเทียนเจิ้งก้มหน้า ยังคงเจ็บปวดจนยากจะรับไหว

ซูหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงปวดใจ “ถึงแม้เชียนจีจะไม่อยู่แล้ว แต่ท่านยังมีเซี่ยเอ๋อร์ เพื่อนาง ท่านต้องดูแลตนเอง”

นางอุ้มหลินเยวี่ยเซี่ยเดินไปหาเขา เด็กที่เพิ่งอายุสามขวบเห็นบิดาหลั่งน้ำตา กลับเอื้อมมือออกไปเช็ดน้ำตาให้เขา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแหลมใส “ท่านพ่อ ไม่ร้องเจ้าค่ะ…”

น้ำตาของหลินเทียนเจิ้งยิ่งพรั่งพรู มองดวงหน้าของบุตรสาวที่เหมือนภรรยาตน หัวใจเจ็บปวดเจียนตาย เขากุมมือลูกสาว แล้วอุ้มนางเข้ามากอด กลิ่นอายเศร้าโศกแผ่กำจายรอบกายสองพ่อลูก พาให้หัวใจของซูหลีหนักอึ้งสุดแสน

ผ่านไปครู่หนึ่ง หลินเทียนเจิ้งค่อยๆ สงบใจลง ซูหลีจึงค่อยถามว่า “หลังจากนั้นเล่า?”

หลินเทียนเจิ้งวางเซี่ยเอ๋อร์ลง แล้วตอบว่า “เซิ่งจินฉวยโอกาสตอนศัตรูเผลอ เสี่ยงชีวิตช่วยเซี่ยเอ๋อร์…เพื่อไถ่บาป ท่านพ่อนำกำลังคนในลัทธิธิดาเทพอารักขาฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนหนีเข้าไปในลัทธิธิดาเทพ หลังจากที่พวกกระหม่อมออกจากเส้นทางลับ จู่ๆ เขาก็เปิดกลไกลับ คิดจะตายตกไปตามกันกับพวกจั้นอู๋จี๋…”

ที่แท้เสวียนเฟิงก็ตายอย่างนี้นี่เอง ซูหลีถอนหายใจ “เช่นนั้นจั้นอู๋จี๋…”

“จั้นอู๋จี๋เป็นคนเจ้าเล่ห์ เขาระวังตัวแต่แรกแล้ว ดึงคนของหยางจิ้นบังข้างหน้า ให้ตายแทนตนเอง”

ตงฟางเจ๋อแค่นเสียงเย็นชา “หลังจากนั้นเขาจะต้องพาคนมาล้อมลัทธิธิดาเทพแน่นอน พวกเจ้าหนีออกมาได้อย่างไร? แล้วฮูเอ่อร์ตูเล่า เขารับหน้าที่รักษาเมือง มียอดทหารอยู่ในกำมือกว่าแสนนาย กองทัพกบฏของหยางจิ้นบุกเข้าไปในวังหลวงง่ายๆ ได้เช่นไร?”

หลินเทียนเจิ้งกล่าวว่า “ฝ่าบาทอาจยังไม่ทรงทราบ ก่อนเกิดเรื่องฮูเอ่อร์ตูดื่มสุราเกินขนาด จนป่วยเป็นโรคประหลาดชนิดหนึ่ง หยางจิ้นส่งคนบุกเข้าไปในบ้านเขา ขโมยตราทหารไปและควบคุมกองทัพทหารรักษาเมืองหลวงแคว้นเปี้ยน ในวังหลวงไม่มีผู้ใดคอยรับมือ มีเพียง ‘ปาต๋า’ หัวหน้าหน่วยอวี่หลินเว่ยที่สู้สุดชีวิต แต่สุดท้ายก็ตายอย่างอนาถ ส่วนพวกกระหม่อม…ครั้นท่านพ่อตาย ลัทธิธิดาเทพก็แตกกระเจิงดุจเม็ดทราย ถึงแม้หยางเซียวจะมีแหวนหยกขาวที่เป็นสัญลักษณ์ของลัทธิธิดาเทพ แต่น่าเสียดายที่ทัพศัตรูมีมากกว่า สุดท้ายถูกล้อมแน่นหนา หยางเซียวทำได้เพียงกระโดดทะเลสาบเซิ่งซินอย่างไร้ทางเลือก หากไม่ใช่หวั่นซินกับเซี่ยงหลีพาคนไปช่วยทันเวลา เกรงว่าพวกกระหม่อม คงไม่มีใครรอดมาได้”

ซูหลีจินตนาการได้ว่าเหตุการณ์นั้นโหดร้ายเพียงใด นางครุ่นคิด แล้วขมวดคิ้วถามว่า “ฮูเอ่อร์ตูดื่มสุราเกินขนาดจนป่วยจริงหรือ? บังเอิญเกินไปหรือไม่!”

หลินเทียนเจิ้งกล่าวว่า “ฮ่องเต้แคว้นติ้งตรัสถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีทางที่จะบังเอิญได้ถึงเพียงนี้แน่นอน เขาถูกคนวางยาพิษจริงๆ”

“ท่านได้ไปดูอาการเขาหรือไม่? ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง?” ซูหลีอดถามไม่ได้

หลินเทียนเจิ้งตอบว่า “หยางจิ้นกังวลเรื่องขวัญกำลังใจของทหาร จึงไม่กล้าสังหารเขา เพียงจับเขาขังคุกในจวนเซียวอ๋อง หวั่นซินค่อนข้างคุ้นเคยกับจวนเซียวอ๋อง นางฉวยโอกาสยามวิกาลตอนทหารยามเผลอ พากระหม่อมเข้าไปดู กระหม่อมแก้พิษให้เขาแล้ว และช่วยเขาติดต่อกับลูกน้องที่เชื่อใจได้ เดาว่าตอนนี้เขาคงฉวยโอกาสตอนวุ่นวายหนีออกจากคุก และไปตามหาหยางเซียวแล้ว”

ซูหลีคลายใจลงเล็กน้อย ฮูเอ่อร์ตูเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแคว้นเปี้ยน แล้วยังมีตำแหน่งสูงในกองทัพด้วย ขอเพียงเขายังมีชีวิตอยู่ และตามหาหยางเซียวจนเจอ แคว้นเปี้ยนจะต้องผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้ไปได้แน่

ตงฟางเจ๋อหันไปมองซูหลี แล้วถามอีกว่า “ลัทธิธิดาเทพถูกล้อม หยางเซียวกระโดดทะเลสาบ พวกเจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าเขายังมีชีวิตอยู่?”

…………………………