หลินเทียนเจิ้งกล่าว “ตอนที่ท่านพ่อผลักกระหม่อมออกจากเส้นทางลับ ท่านพ่อบอกกระหม่อมว่า ใต้ศาลามู่เยวี่ยมีเส้นทางลับสุดยอดที่มุ่งหน้าออกจากเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนได้ โดยต้องใช้แหวนหยกเปิดกลไก นอกจากผู้ที่เป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเปี้ยนในทุกยุคสมัย ก็ไม่มีใครรู้อีกแล้ว ท่านพ่อเองก็รู้ตอนที่แอบฟังบทสนทนาของอดีตฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนกับหยางเซียวในอดีต เขาอยากให้กระหม่อมหนีไปพร้อมกับหยางเซียว แต่เซี่ยเอ๋อร์ยังเด็กเกินไป กระหม่อมไม่กล้าเสี่ยง จึงไม่ได้กระโดดตามหยางเซียวลงไปในทะเลสาบพ่ะย่ะค่ะ”
ถึงแม้ซูหลีจะเดาได้แต่แรกแล้ว แต่ครั้นได้รับการยืนยันจากปากหลินเทียนเจิ้ง ในที่สุดก็เบาใจได้อย่างแท้จริง
ตงฟางเจ๋อถามต่อว่า “ระหว่างที่ถูกจั้นอู๋จี๋จับกุมตัว เจ้าค้นพบอะไรอย่างอื่นบ้างหรือไม่?”
สายตาของหลินเทียนเจิ้งแน่นิ่งไปคล้ายกำลังครุ่นคิด แล้วเขาก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้จริงๆ เขารีบกล่าวว่า “คนของจั้นอู๋จี๋ล้วนสวมชุดดำปิดบังใบหน้า วรยุทธ์แข็งแกร่ง ดูผิวเผินคล้ายไม่มีลักษณะเด่นอะไร แต่บนแขนพวกเขา ล้วนมีรอยสักพิเศษอยู่!”
ซูหลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “รอยสักรูปปลา!”
คนที่ลอบโจมตีหลางฉ่าง และวางแผนทำลายความร่วมมือของทั้งสองแคว้นในอดีต ล้วนมีรอยสักนั้นอยู่บนแขนทั้งนั้น! หลายปีมานี้ ซูหลีสั่งคนให้ระวังเป็นพิเศษ ขอเพียงพบผู้ใดมีรอยสักรูปปลา ก็ให้รีบจับตัวทันที แต่หลายปีผ่านไป นางกลับไม่เคยเห็นรอยสักนั้นอีกเลย
“ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” สายตาของหลินเทียนเจิ้งเองก็เย็นชาไม่ต่างกัน “วันนั้น ในสงครามที่เกิดขึ้นในลัทธิธิดาเทพ มีหลายคนที่พลัดตกน้ำ ขณะปีนขึ้นฝั่ง คนผู้หนึ่งถูกกระชากแขนเสื้อจนขาด บนแขนเขาไม่เพียงมีรอยสักรูปปลา แต่ยังมีอักษรสองตัวปรากฏขึ้นเมื่อโดนน้ำ แต่น่าเสียดายที่กระหม่อมมองเห็นไม่ชัดว่าเป็นคำว่าอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
ซูหลีรีบเรียกกู้เซี่ยงเทียนมาเข้าพบ สั่งให้เขาไปสืบหาเบาะแสตามคำให้การของหลินเทียนเจิ้ง ตงฟางเจ๋อเองก็เรียกเซิ่งฉินมาถ่ายทอดคำสั่งคล้ายๆ กัน ทั้งภายนอกและภายในของวังหลวงทั้งสองแห่งดูเงียบสงบเหมือนปกติ แท้จริงแล้วบรรยากาศตึงเครียดสุดแสน
อาจเพราะเมื่อกลางวันได้พบหน้าหลินเยวี่ยเซี่ย คืนวันนั้นซูหลีฝันประหลาดมาก นางฝันเห็นตงฟางเจ๋อมีลูก เด็กคนนั้นหน้าตาเหมือนเขามาก คิ้วและดวงตาประณีต มือเล็กๆ ที่นุ่มนิ่มกระตุกแขนเสื้อของซูหลีไม่หยุด ซูหลีหันกลับไปมองเขา เขาก็แหงนดวงหน้านิ่มนวลขึ้น แล้วเรียกนางเบาๆ ‘ท่านแม่ ท่านแม่…’
ซูหลีกำลังจะโน้มตัวเพื่ออุ้มเขาขึ้นมา แต่จู่ๆ กลับตื่นเสียก่อน
หลังตื่นขึ้นมา ทั้งที่รู้ว่าเป็นเพียงความฝัน หัวใจของนางก็ยังอบอุ่นจนรู้สึกเลอะเลือนไปชั่วขณะ ความสุขของผู้เป็นแม่ในความฝัน ราวกับได้สลักลึกลงในใจนาง ทำอย่างไรก็ไม่อาจลืมเลือน
ซูหลีอดหันไปมองคนที่นอนอยู่ข้างกายไม่ได้ ตงฟางเจ๋อตื่นแล้ว มือข้างหนึ่งกำลังลูบไล้ท้องนางเบาๆ ทำหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่
ซูหลีรีบจับนิ้วมือซุกซนของเขา แล้วซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดเขา พลางถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่?”
น้ำเสียงของนางที่เพิ่งตื่น มีความเกียจคร้านสามส่วนผสมกับความอ่อนโยนอีกเจ็ดส่วน ชวนให้ผู้ได้ยินลุ่มหลง ตงฟางเจ๋อจ้องมองท้องอันแบนราบของนาง แล้วเอ่ยด้วยความคับข้องใจว่า “ข้ากำลังคิดว่า…เพราะข้ายังพยายามไม่พอหรือเปล่า? ไม่เช่นนั้นนานขนาดนี้แล้ว เหตุใดยังไม่มีความคืบหน้าใดเลย?”
ใบหน้าของซูหลีพลันร้อนผ่าว นางกล่าวเสียงเบา “เรื่องอย่างนี้ใครจะไปคาดเดาได้เล่า…”
เขาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ซูหลีพลันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา วันนั้นนางฝืนร่างกายตนเองเพื่อช่วยเขาขับพิษเย็นออกจากร่างกาย หลังจากนั้นต้องกินยารักษาอาการอย่างต่อเนื่องจึงไม่อาจตั้งครรภ์ได้ชั่วคราว จนตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้เรื่อง เพราะเรื่องการให้กำเนิดทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์ของทั้งสองแคว้นนั้นเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมาก! เดิมทีนางตั้งใจจะบอกหลังจากหยุดยา และมั่นใจว่าร่างกายไม่มีปัญหา แต่ดูเหมือนคงต้องพูดกับเขาให้รู้เรื่องตั้งแต่ตอนนี้แล้ว เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องเข้าใจผิดกันในภายหลัง
ถ้าหาก…นางไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้จริงๆ สองแคว้นล้วนต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ไร้ทายาทสืบทอดบัลลังก์ นางกับเขาควรรับมืออย่างไรดี?
นางเงยหน้ามองเขา สายตาสะท้อนแววกังวล “เรื่องลูก…”
นางกำลังจะอธิบาย จู่ๆ เสียงรายงานเร่งด่วนของโจวหลี่ก็ดังมาจากข้างนอก “ฝ่าบาท! รายงานสถานการณ์สงครามชายแดน เร่งด่วนมากพ่ะย่ะค่ะ!”
ตงฟางเจ๋อรีบสวมเสื้อคลุมลงจากเตียง แล้วเดินไปที่ประตู “เอาเข้ามา!”
โจวหลี่น้อมส่งรายงาน ตงฟางเจ๋ออ่านเสร็จสีหน้าพลันเปลี่ยน เขาถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “คนที่ส่งจดหมายมาอยู่ที่ใด?”
โจวหลี่รีบตอบ “กำลังรอฝ่าบาทเรียกเข้าเฝ้าอยู่ข้างนอกพ่ะย่ะค่ะ”
“รีบพาเขาไปที่ห้องทรงอักษรเดี๋ยวนี้เลย!”
โจวหลี่รับคำสั่งแล้วจากไปทันที
ยามนี้ฟ้ายังไม่สาง ยังมีเวลาเหลือก่อนออกว่าราชการช่วงเช้าครึ่งชั่วยาม ซูหลีเห็นเขาทำหน้าหนักใจ อดลุกขึ้นถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
ตงฟางเจ๋อม้วนฎีกาเก็บ เดินมาที่ข้างเตียง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เกิดเรื่องขึ้นกับหยวนเซี่ยงแล้ว ข้าไปถามรายละเอียดดูก่อน” ครั้นเห็นสีหน้ากังวลของนาง ก็อดลูบหน้านาง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไม่ได้ “ยังไม่เช้า เจ้านอนต่ออีกหน่อยเถิด”
ซูหลีมองดูแผ่นหลังของเขาที่เดินจากไป จะให้นางนอนต่อได้อย่างไรเล่า ยามนี้ในแคว้นเฉิง นอกจากเซ่อเจิ้งอ๋องแล้ว ก็มีเพียงหยวนเซี่ยงที่เป็นนักรบผู้ทรงอานุภาพที่สุด หากเกิดเรื่องใดกับเขา เกรงว่าชายแดนของแคว้นเฉิงคงจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก
ซูหลีลุกขึ้นแล้วเดินกลับตำหนักซีหวา โม่เซียงนำยาคุมกำเนิดมาถวายตามปกติ ซูหลีหันมอง เนิ่นนานก็ยังไม่ยอมขยับ ใบหน้ายิ้มแย้มของเด็กในความฝันผุดขึ้นมาในสมองอีกครั้ง ทำให้หัวใจนางอ่อนยวบ มือเรียวลูบท้องน้อยเบาๆ คำนวณเวลาดูแล้ว นางดื่มยาตามเทียบยาที่เจียงหยวนจ่ายให้เป็นเวลาสองเดือนแล้ว วรยุทธ์ฟื้นคืนกลับมาได้ไม่ถึงสองส่วน แต่ร่างกายนางดีขึ้นมากแล้ว ไม่รู้ว่าหากหยุดยาเวลานี้ จะมีผลกระทบใดหรือไม่?
ซูหลียกถ้วยยาขึ้นมาแล้วเขย่าเบาๆ ยาน้ำสีน้ำตาลเข้มทิ้งรอยไว้ตรงขอบชามกระเบื้องสีขาว สายตามุ่งมั่น ตัดสินใจจะไปถามเจียงหยวนด้วยตนเอง
ตั้งแต่กลับมาถึงเมืองหลวงซวงตู เจียงหยวนเข้าวังทุกวัน และรอซูหลีเรียกเข้าพบอยู่ที่สำนักหมอหลวงตลอดเวลา
ครั้นซูหลีไปถึงสำนักหมอหลวง ก็เห็นเขากำลังเปิดอ่านตำราแพทย์ที่มีเพียงเล่มเดียวในโลก ครั้นเห็นซูหลีมาด้วยตนเอง เขาก็รู้ทันทีว่าต้องมีเรื่องสำคัญแน่นอน จึงรีบไล่คนอื่นออกไป
ซูหลีนั่งลงบนเก้าอี้ เอื้อมมือออกไป แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “เจ้าตรวจดูที อาการข้าตอนนี้ตั้งครรภ์ได้หรือยัง?”
เจียงหยวนสีหน้าสะดุดเล็กน้อย หลังจากตรวจชีพจรอย่างละเอียด ก็บอกว่า “พิษเย็นที่หลงเหลือในพระวรกายของฝ่าบาทถูกกำจัดออกไปหมดแล้ว น่าจะไม่มีปัญหาต่อการตั้งครรภ์ เพียงแต่หากหยุดยาในเวลานี้ ภายในสามปีห้าปีนี้วรยุทธ์ของฝ่าบาทคงยากจะฟื้นคืนกลับมาได้…”
ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ซูหลีก็คลายใจ นางดึงมือกลับ แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “วรยุทธ์นั้นค่อยๆ ฟื้นตัวภายหน้าก็ได้ ยามนี้สถานการณ์สงครามที่ชายแดนคับขัน ต้องรีบปลอบขวัญเหล่าขุนนาง เรื่องให้กำเนิดทายาทไม่อาจรั้งรอได้อีกต่อไป”
เจียงหยวนเอ่ยด้วยสีหน้าสับสน “ฝ่าบาททรงไตร่ตรองถี่ถ้วนแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ? หากดื่มยาต่อ อีกเพียงแค่หนึ่งเดือน ก็สามารถฟื้นฟูวรยุทธ์ให้กลับมาเป็นเช่นเดิมได้แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
ซูหลีไม่ตอบ เพียงยิ้มอย่างอ่อนโยน รอยยิ้มในดวงตาอบอุ่นดุจแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิ พาให้ผู้พบเห็นมิอาจละสายตาออกไปได้ สายตาของนางบ่งบอกถึงคำตอบอย่างชัดเจน
เจียงหยวนถอนหายใจเบาๆ ไม่พูดอะไรอีก เขาติดตามนางมานาน รู้ดีว่าหากนางตัดสินใจเรื่องใดแล้ว ก็จะไม่มีทางเปลี่ยนใจง่ายๆ อีก
ครั้นกลับมาถึงตำหนักซีหวา ซูหลีก็สั่งให้โม่เซียงเทยาทิ้งเสีย โม่เซียงยกถ้วยยาขึ้นมา แล้วถามด้วยความแปลกใจ “เหตุใดยาจึงเหลือน้อยลงเล่า?”
ซูหลีหันมอง พบว่ายาเหลือเพียงครึ่งถ้วยจริงๆ สายตาพลันแปรเปลี่ยนเล็กน้อย รีบเรียกนางกำนัลที่ยืนเฝ้าหน้าประตูมาถามไถ่ “เมื่อครู่ใครมาที่นี่?”
นางกำนัลรีบตอบ “ทูลฝ่าบาท เป็นฮ่องเต้แคว้นเฉิงเพคะ พอเห็นยาก็ถามว่ายานี่สำหรับพระองค์ใช่หรือไม่ บ่าวจึงทูลตอบไปตามความจริง ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ พระพักตร์ฮ่องเต้แคว้นเฉิงก็ดูแย่ลงทันที ยามเดินออกไปยังเดินชนยาจนหก…”
……………………………