ภาคใต้ฟ้ากว้างใหญ่ บทที่ 50 พยายามเอาใจเขา (1)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

ซูหลีพลันตึงเครียด นางรู้มาตลอดว่าเขามีความรู้เรื่องยาและสมุนไพรในระดับหนึ่ง ส่วนผสมในยาถ้วยนั้น เขาอาจไม่สามารถแยกแยะได้ทั้งหมด แต่ยาคุมกำเนิดนั้น ไม่ได้เป็นยาที่หาได้ยากในวังหลวง เขาจะต้องพบพิรุธแน่นอน ถึงได้ตกใจจนเดินชนยาอย่างนั้น เขารีบกลับโดยไม่รอนางกลับมา จะต้องเข้าใจนางผิดแน่นอน!

ซูหลีเอ่ยสียงขรึม “โม่เซียง นำเทียบยามาให้ข้า”

โม่เซียงรีบค้นเทียบยาออกมาให้นาง ซูหลีเดินไปที่ประตูกั้น ยังไม่ทันถึง ก็ได้ยินเสียงคนรายงานด้วยความร้อนใจดังมาจากข้างนอก “ฝ่าบาท!”

ซูหลีชะงักเท้า กู้เซี่ยงเทียนสาวเท้ายาวๆ เข้ามาในตำหนัก แล้วกล่าวด้วยสีหน้าหนักใจ “ทูลฝ่าบาท รายงานสถานการณ์สงครามชายแดน จัดส่งโดยม้าเร็วแปดร้อยลี้ แจ้งว่าเมืองชายแดนตะวันตกแตกพ่าย ด่านฉีอวี้ตกอยู่ในภาวะวิกฤต ฝ่าบาทโปรดวินิจฉัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ !”

ซูหลีได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสี “แม่ทัพอวี๋เล่า?”

กู้เซี่ยงเทียนชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาแดงก่ำ กล่าวด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “แม่ทัพอวี๋กวงต่อสู้กับศัตรูด้วยชีวิต ยอมตายแต่ไม่ยอมถอย เขา…ตายในสนามรบแล้ว…”

ซูหลีหน้าเปลี่ยนสี เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? กองทัพเสริมจากแดนใต้ไปถึงแล้ว อย่างน้อยก็สามารถยืนหยัดไปได้อีกช่วงหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าชนเผ่าหมาป่าจะมาถึงด่านฉีอวี้เร็วขนาดนี้! ทันทีที่ด่านฉีอวี้ถูกถล่ม แคว้นติ้งก็จะต้องตกอยู่ในวิกฤติเหมือนในอดีต และความพยายามตลอดสามปีที่ผ่านมาของนางก็จะสูญเปล่า ไม่ นางไม่มีทางยอมเด็ดขาด!

ซูหลีหลับตา หัวใจดวงน้อยหนักอึ้งสุดแสน ยามนี้นางไม่มีเวลาห่วงเรื่องส่วนตัวอีกแล้ว ซูหลีหันไปมองประตูที่กั้นกลางตำหนักบรรทมของสองฮ่องเต้ พยายามบังคับตนเองให้เก็บงำความคิด แล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า “เรียกเหล่าขุนนางมาหารือกันที่ท้องพระโรง”

การหารือกันอย่างตึงเครียดดำเนินติดต่อกันนานถึงสามวัน แต่ก็ยังไม่อาจสรุปแผนการรับมือที่สามารถดำเนินการได้ ซูหลีใคร่ครวญอย่างหนัก จนนอนไม่หลับทุกคืน ส่วนตงฟางเจ๋อก็ไม่ก้าวเข้ามาในตำหนักซีหวาอีกเลยตั้งแต่วันนั้น ได้ยินซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยบอกว่ากองทัพแคว้นเปี้ยนอาศัยประโยชน์จากจุดอ่อนของพิรุณโปรยปราย ตีด่านเทียนเหมินจนพ่าย ยึดเมืองไปได้สี่เมืองแล้ว หยวนเซี่ยงได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่งผลให้เหล่าทหารขวัญหาย เดาว่าหลายวันนี้ตงฟางเจ๋อก็คงกำลังปวดหัวไม่ต่างกัน

“ไปนอนพักสักหน่อยเถิด ตาเจ้าแดงหมดแล้ว!” ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยทนดูไม่ไหวอีกต่อไป

ซูหลียกมือนวดหัวคิ้ว พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหน็ดเหนื่อย “ข้าเองก็อยากนอนเหมือนกัน แต่นอนไม่หลับเลย” นางถอนหายใจ ใช้มือยันเก้าอี้แล้วลุกขึ้น รู้สึกเพียงหัวสมองหนักอึ้งไปหมด ฝีเท้าเองก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยฟังคำสั่งนัก

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยรีบประคองนาง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “หากถึงที่สุดแล้ว ก็ส่งกองทัพนั้นไปเถิด”

ซูหลีส่ายหน้า “ไม่ได้ ต้องรอให้อาวุธวิเศษทั้งสองประกอบกันเสร็จก่อน จึงจะมั่นใจได้ว่าจะสามารถคว้าชัยชนะได้อย่างแน่นอน”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกล่าวด้วยความกังวล “เซี่ยอวิ๋นเซวียนบอกว่า มีกลไกจุดหนึ่งที่เชื่อมต่อกันไม่ได้ ไม่รู้ว่าอาวุธใหม่จะสร้างเสร็จเมื่อใด…”

“แทนที่จะคาดเดาอยู่ตรงนี้ มิสู้ไปดูให้เห็นกับตาดีกว่า” ซูหลีสั่งคนให้เตรียมรถม้า แล้วมุ่งหน้าไปที่คลังแสงพร้อมกับซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย

วันนี้ ในลานกว้างของคลังแสงมีคนมากกว่าครั้งที่แล้วถึงหนึ่งเท่า คนที่ยืนอยู่วงนอกล้วนเพ่งมองเข้ามาด้านในสนามเป็นตาเดียว

ซูหลีไม่ได้ทำให้ผู้ใดแตกตื่น เพียงมองหาตำแหน่งที่ไม่สะดุดตา แล้วยืนอยู่ข้างกลุ่มคนเงียบๆ นางกวาดมองด้วยสายตาเรียบเฉย แล้วพบว่าตงฟางเจ๋อก็อยู่ด้วย เขายืนเอามือไพล่หลัง บุคลิกองอาจผ่าเผยอยู่ด้านหน้าผู้คน

คล้ายรับรู้ได้ว่ามีคนมองมา เขาจึงหันมา สายตาคมปลาบจับจ้องมองนาง สะท้อนให้เห็นคลื่นอารมณ์ที่ป่วนพล่านเล็กน้อย

แม้ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงคนก็ยังหาจนเจอ ซูหลีอดยิ้มไม่ได้ เป็นฝ่ายเดินไปหาเขาก่อน เหล่าขุนนางค้อมกายทำความเคารพ พลางหลีกทางให้นาง ซูหลีเดินไปจนถึงข้างกายเขา แล้วเอ่ยถามเสียงเบา “ท่านมาเมื่อใด?”

ตงฟางเจ๋อไม่ตอบคำถาม ชำเลืองมองมาเล็กน้อย ครั้นเห็นสีหน้าเหน็ดเหนื่อย ดวงตาแดงก่ำของนาง ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ขุนนางผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาเห็นเช่นนั้น ก็รีบตอบ “ทูลฝ่าบาท ฮ่องเต้แคว้นเฉิงเสด็จมาตั้งแต่สามวันที่แล้วแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

ซูหลีพลันเคร่งขรึมลง สถานการณ์ชายแดนของแคว้นเฉิงคับขันถึงเพียงนี้ เขายังมาตรวจสอบความคืบหน้าของการสร้างอาวุธใหม่ด้วยตนเองถึงที่นี่? นางหันไปมองหน้าเขาด้วยสายตาสงสัย แต่เขากลับหันไปมองที่สนามแล้ว

ยามนี้ รถม้าเครื่องกลสิบห้าคันเคลื่อนตัวตัวออกมาพร้อมกันเป็นแถว เซี่ยอวิ๋นเซวียนยืนอยู่บนรถม้าคันที่อยู่ตรงกลาง ควบคุมความเร็วของรถม้า ครั้นเคลื่อนตัวมาถึงกลางสนาม เขาก็ดึงแป้นกลไก เห็นเพียงแผงกะบังหน้ารถม้าเลื่อนเปิดไปด้านข้าง ด้านในหัวรถม้าเครื่องกลทั้งสิบห้าคัน มีพิรุณโปรยปรายพุ่งออกมาพร้อมกันดุจห่าฝน เหล่าอาวุธวิเศษพุ่งแหวกอากาศด้วยความเร็ว และเจาะทะลุกำแพงหินอันแข็งแกร่ง

เซี่ยอวิ๋นเซวียนยังคงไม่หยุด เขาขยับแป้นกลไกต่อไป ธนูเหล็กที่ถูกจัดเก็บไว้ในตู้โดยสารขยับเข้ามาแทนที่โดยอัตโนมัติ ห่าธนูระลอกต่อมาถูกยิงตามมาติดๆ อานุภาพร้ายแรงยิ่งนัก เมื่อกำแพงหินที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้งถูกธนูเหล็กจำนวนมากปักจนไม่เหลือที่ว่าง เขาจึงค่อยหยุด

เสียงโห่ร้องด้วยความชื่นชมยินดีดังระงมไปทั่วสนาม

“สำเร็จแล้ว! ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว!” เหล่าทหารตื้นตันดีใจจนไม่อาจหุบปากลงได้ คราวนี้ชนเผ่าหมาป่าไม่รอดแน่นอน!

ซูหลีเองก็ดีใจจนลืมตัว นางเอื้อมมือไปกุมมือตงฟางเจ๋อ แต่กลับพบว่าเขายังคงสงบเยือกเย็นเช่นในยามปกติ ราวกับเรื่องนี้อยู่ในความคาดหมายของเขาอยู่แล้ว

ตงฟางเจ๋อดึงมือออกอย่างแนบเนียน ก้าวเท้าไปข้างหน้า แล้วกล่าวเสียงขรึมว่า “จงถ่ายทอดคำสั่งของข้า เซี่ยอวิ๋นเซวียนสร้างอาวุธวิเศษสำเร็จ มีผลงานช่วยชาติบ้านเมือง นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จงคืนชื่อเสียง ‘นักสร้างอาวุธอันดับหนึ่งในใต้หล้า’ ให้แก่สกุลเซี่ย และความผิดในอดีตของสกุลเซี่ย นับจากนี้จะไม่สืบสาวเอาเรื่องอีก!”

เขารักษาสัญญาดังคาด ในวันที่อาวุธใหม่สร้างสำเร็จ ก็ได้ประกาศอภัยโทษให้แก่สกุลเซี่ย เซี่ยอวิ๋นเซวียนปลื้มปริ่มอย่างไร้ที่เปรียบ เขารีบก้าวเท้าเข้ามาคุกเข่าแสดงความขอบคุณ ทว่าในใจกลับรู้ดี ว่าที่อาวุธวิเศษชนิดนี้ปรากฏสู่สายตาชาวโลกได้ ไม่ได้เป็นความดีความชอบของเขาแต่เพียงผู้เดียว คำแนะนำของตงฟางเจ๋อในช่วงที่ผ่านมา และการศึกษาร่วมกันของทั้งสองต่างหาก คือกุญแจสำคัญในความสำเร็จครั้งนี้! อีกทั้งการที่เขาสามารถกู้ชื่อเสียงและเกียรติยศของสำนักกระบี่เหล็กกลับมาได้ ต้องขอบคุณการผลักดันอย่างสุดความสามารถของซูหลีในวันนั้นด้วย

เซี่ยอวิ๋นเซวียนรีบลุกขึ้นแล้วหันไปคุกเข่าคำนับซูหลีอย่างซาบซึ้ง เขาตื้นตันใจจนไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้

ซูหลีก้าวเข้าไปประคองเขาให้ลุกขึ้น แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นี่เป็นสิ่งที่ท่านสมควรได้รับ ต่อไปยังต้องรบกวนท่านอีก หากอาวุธชุดนี้ประกอบและติดตั้งเสร็จสมบูรณ์เมื่อใด ท่านก็จะได้รับอิสระอย่างแท้จริงแล้ว”

เซี่ยอวิ๋นเซวียนพยักหน้าอย่างหนักแน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “อวิ๋นเซวียนจะทุ่มเทสุดความสามารถแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ภายในครึ่งเดือน ภารกิจจะต้องลุล่วง ไม่ทำให้ฝ่าบาททั้งสองพระองค์ผิดหวังแน่นอน!”

หลังจากดัดแปลงและปรับปรุงครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดพิรุณโปรยปรายใหม่ก็ประสบความสำเร็จ เพื่อเพิ่มความเร็ว คลังแสงของทั้งสองแคว้นเร่งผลิตลูกธนูจำนวนมากในเวลาเดียวกัน เซี่ยอวิ๋นเซวียนรับหน้าที่ติดตามความคืบหน้าและรายงายผลด้วย เขาจำต้องเร่งมือทั้งสองอย่างไปพร้อมกัน ตอนที่เขากลับไปยังแคว้นเฉิงอย่างสง่าผ่าเผย ไม่เพียงได้รับหนังสือละเว้นโทษที่เป็นลายมือของตงฟางเจ๋อ ซ้ำยังกลายเป็นขุนนางคนสำคัญซึ่งเป็นเสาหลักของบ้านเมืองในชั่วข้ามคืน ชั่วพริบตา เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างพากันประจบประแจงเขากันถ้วนหน้า

ขณะกลับวัง ซูหลีละทิ้งรถม้าของนาง แล้วเดินตามตงฟางเจ๋อไปที่รถม้าของเขา ขณะขึ้นรถ สีหน้าของเขาสับสนวุ่นวาย ยังคงไม่เอ่ยปากสักคำ เพียงประคองนางขึ้นรถด้วยตนเอง จากนั้นก็ก้าวตามขึ้นไป แล้วนั่งพิงพนักหลับตาทำสมาธิ

ซูหลีขานเรียกเขาเบาๆ เขากลับเงียบงัน เหมือนหลับไปแล้ว นางทำได้เพียงถอนหายใจเงียบๆ รู้ว่าเขายังตะขิดตะขวงใจเรื่องยาถ้วยนั้นอยู่

รถม้าเคลื่อนตัวไปข้างหน้าช้าๆ ซูหลีรู้สึกหนังตาหนักอึ้งจนแทบลืมตาไม่ขึ้น ความเหน็ดเหนื่อยจากการนอนไม่หลับติดต่อกันหลายวันถาโถมเข้ามาพร้อมกัน ก่อนหน้านี้นางตึงเครียดมากจึงไม่รู้ตัว ยามนี้เบาใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหว โน้มตัวลงหนุนตักเขาเบาๆ แล้วขยับหาท่าที่สบายตัวอย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นก็หลับไปอย่างรวดเร็ว

ตงฟางเจ๋อลืมตาช้าๆ หลุบตามองใบหน้าของคนตรงหน้าที่ดูเหนื่อยล้าเต็มที จิตใจสับสนวุ่นวาย

………………………