วันนั้น เขาเห็นยาคุมกำเนิดอยู่ในตำหนักซีหวา ราวกับถูกไม้หน้าสามตีแสกหน้า เดิมทีนึกว่าหลังผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน พวกเขาสองคนจะเชื่อใจและซื่อสัตย์ต่อกันทุกเรื่อง ไม่มีสิ่งใดปิดบังกันอีก แต่ยาคุมกำเนิดถ้วยนั้น ทำให้หัวใจของเขาหนาวเหน็บอย่างไม่อาจบรรยายได้เลยจริงๆ
ความผิดหวังที่ไม่อาจพรรณนาเป็นคำพูด ทำให้ความรักอันหวานชื่นในช่วงที่ผ่านมา กลายเป็นเพียงฟองสบู่หอมหวานที่แยกไม่ออกว่าเป็นความจริงหรือภาพลวงตา สองเดือนกว่าที่ผ่านมา นางดื่มยาคุมกำเนิดทุกวัน เขากลับไม่รู้เลยแม้แต่น้อย เป็นเพราะนางปิดบังเขาได้แนบเนียน หรือเพราะเขาโง่เขลากันแน่?
หยวนเซี่ยงบาดเจ็บสาหัส สถานการณ์สงครามชายแดนเสียเปรียบ ต้องถอยทัพร่นมาเรื่อยๆ ยังไม่ทำให้เขารู้สึกล้มเหลวได้เท่าการกระทำเล็กๆ ของคนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
เขาไม่เคยระแวงนางเลยแม้สักนิด ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อนาง รักนาง ช่วยนาง และเชื่อนาง อย่างไม่มีอะไรมาห้ามเขาได้ แม้กระทั่งความตาย แต่นาง…กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ เขาคาดเดาไม่ออกเลยจริงๆ
รอยยิ้มอันขมขื่นผุดขึ้นที่มุมปากของตงฟางเจ๋อ เขาต้องทำอย่างไรอีก จึงจะสามารถทำให้นางเชื่อใจเขาได้อย่างไร้ข้อแม้
รถม้าเคลื่อนผ่านหลุมขรุขระบนถนน ตัวรถพลันสั่นสะเทือน สตรีที่กำลังหลับใหลไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย ร่างบางลื่นไถลลงไป เขารีบดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน
สตรีในอ้อมแขนขยับตัวเล็กน้อย นางเอื้อมมือโอบเอวเขาอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนเขา จากนั้นก็พึมพำเรียกเขาด้วยน้ำเสียงงัวเงีย “เจ๋อ…”
เดิมจิตใจของเขาสับสนวุ่นวาย แต่เพราะเสียงละเมอเพียงคำเดียวของนาง กลับทำให้เขาใจอ่อนไปทั้งดวง สีหน้าอ่อนโยนลงหลายส่วนโดยไม่รู้ตัว แขนแกร่งทั้งสองข้างกระชับแน่นขึ้นเล็กน้อย
ไม่รู้หลับไปนานเท่าใดแล้ว ครั้นลืมตาตื่นขึ้นมา ซูหลีพบว่ารอบด้านมืดสนิท จึงเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองถูกคนกอดไว้ นางยกมือขึ้นลูบคลำ ก็สัมผัสได้ถึงสันกรามอันคุ้นเคย
นางขานเรียกโดยสัญชาตญาณ “ตงฟางเจ๋อ?”
บุรุษที่อยู่ในความมืดนิ่งเฉยคาดเดาอารมณ์ไม่ถูก เพียงขานรับเบาๆ ว่า “อืม” จากนั้นก็คลายอ้อมแขน
ซูหลีลุกขึ้นนั่ง กะพริบตาหลายครั้ง ยังคงสะลืมสะลือเพราะเพิ่งตื่นนอน “ที่นี่ที่ไหนหรือ?”
ตงฟางเจ๋อไม่พูดอะไร เดินไปเปิดม่านรถ แล้วกระโดดลงจากรถลำพัง ขณะเท้าแตะพื้น เขากลับเซไปเล็กน้อย
ซูหลีเองก็เดินตามลงมาด้วย ภายใต้โคมไฟในวังอันสว่างจ้า อักษรคำว่า ‘ตำหนักตงหวา’ สีทองเด่นตระหง่านอยู่บนป้ายสีน้ำเงิน ซูหลีเงยหน้ามองป้าย จากนั้นก็ค่อยๆ หันกลับไปมองที่รถม้า นางชะงักงัน หลายชั่วยามที่ผ่านมา เขากลับนั่งอยู่ในรถม้าตลอด รอจนนางตื่น?
นางมองแผ่นหลังของบุรุษที่กำลังเดินเข้าไปในตำหนักตงหวาช้าๆ ฝีเท้าดูไม่มั่นคงนัก คาดว่าคงนั่งท่าเดิมเป็นเวลานาน เลือดลมจึงเดินไม่สะดวก ส่งผลให้รู้สึกเมื่อยชากระมัง ซูหลีเห็นเช่นนั้นก็อดนึกขำไม่ได้ ลึกๆ ในใจกลับบังเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา นางรีบเดินตามไป
ทั้งสองเดินตามกันเข้าไปในตำหนักบรรทม ตงฟางเจ๋อปลดสายรัดเอวและถอดเสื้อผ้าด้วยตนเอง จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปในห้องอาบน้ำทันที
ซูหลีถอนหายใจเบาๆ จริงๆ นางจะเดินหน้าอธิบายความจริงให้เขาฟังก็ได้ แต่นางรู้ดี สิ่งที่ทำให้เขาเสียความรู้สึกจริงๆ อาจไม่ใช่การที่นางแอบดื่มยาคุมกำเนิด แต่เป็นเรื่องที่นางปิดบังเขามาถึงสองเดือนกว่า ไม่ยอมบอกความจริงกับเขาต่างหาก
เขาไม่สนใจไยดีมาหลายวันแล้ว ดูท่าคงจะโกรธเข้าแล้วจริงๆ หากต้องการคืนดีกับเขา เกรงว่าจะต้องใช้เวลาสักหน่อย
ซูหลีครุ่นคิด สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ
ไอน้ำลอยปะทะใบหน้า ครรลองสายตาเลือนรางไม่ชัดเจน ซูหลียืนนิ่งครู่หนึ่ง จึงค่อยมองเห็นภาพตรงหน้าชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ยามนี้ตงฟางเจ๋อมีสีหน้าเฉยชา เขากำลังหลับตาเบาๆ อ้าแขนทั้งสองข้างออกอย่างผ่อนคลาย หันหลังพิงขอบอ่างทำสมาธิเงียบๆ
ไข่มุกราตรีที่อยู่ตรงมุมทั้งสี่ของห้องอาบน้ำส่องแสงนวลตา กอปรกับห้องที่เต็มไปด้วยไอหมอก ก่อให้เกิดบรรยากาศคลุมเครือ
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังใกล้เข้ามา กลิ่นหอมจางๆ อันคุ้นเคยลอยโชยมาแตะจมูก แต่ตงฟางเจ๋อยังคงนิ่งเฉย ราวกับไม่รับรู้อะไร สัมผัสได้ว่านางคล้ายลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็ได้ยินเสียงอาภรณ์ตกพื้นเบาๆ แพขนตาของเขากระเพื่อมเล็กน้อย
ซูหลีรวบรวมความกล้า เดินเข้าไปนั่งคุกเข่าด้านหลังเขา สองมือกุมไหล่เขาเบาๆ คิ้วของตงฟางเจ๋อกระตุกเล็กน้อย ไม่นานเขาก็ค่อยๆ ลืมตา
ซูหลีพยายามนึกวิธีนวดที่เหล่าข้ารับใช้ในวังนวดให้นาง มือเรียวนวดคลึงเบาๆ ครั้นสัมผัสได้ว่าหัวไหล่ของเขาตึงเกร็ง นางก็รีบหยุดทันที
นางกระดกคิ้วเล็กน้อย ย้อนนึกไปถึงตอนที่หยางเซียวนวดให้นาง ทำให้นางรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัวไม่เป็นตัวของตัวเอง บางทีฝีมือการนวดของนางในตอนนี้…อาจสู้หยางเซียวไม่ได้เสียด้วยซ้ำ?
นิ้วบางนวดคลึงแรงขึ้นเล็กน้อย กลับไม่รู้ว่าสำหรับเขา เรี่ยวแรงของนางทำได้เพียงทำให้เขารู้สึกจั๊กจี้เท่านั้น ตงฟางเจ๋อลอบกัดฟันแน่น
ซูหลีตั้งหน้าตั้งตานวด และสังเกตปฏิกิริยาของเขาเป็นระยะ น่าเสียดายที่ใบหน้าหล่อเหลายังคงเรียบนิ่งไม่อาจคาดเดา ไร้คลื่นอารมณ์ใดๆ
ตงฟางเจ๋อหรี่ตาครึ่งเดียว สายตาที่หลุบต่ำดูสับสนวุ่นวาย ลึกๆ ข้างในเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย รู้จักกันมาหลายปี เขารู้ดีว่านางเป็นสตรีเย่อหยิ่งเพียงใด ไม่มีทางยอมก้มหัวง่ายๆ ยิ่งไม่เคยประจบเอาใจผู้ใด วันนี้เพื่อเอาใจเขา นางกลับลดตัวถึงเพียงนี้ ความขุ่นเคืองที่เกิดจากยาคุมกำเนิดก่อนหน้านี้พลันจางหายไปในพริบตา เขารู้ดี ในเมื่อนางเลือกปิดบังและไม่กล่าวถึง ย่อมมีเหตุผลแน่นอน
ตาชั่งที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจอดไม่ได้ที่จะเริ่มคำนวณ เพื่อเขาแล้ว นางสามารถทำได้ถึงขั้นไหนกัน? ฉะนั้นเขาจึงข่มกลั้นต่อความรู้สึกที่ผุดขึ้นมา แล้วรอดูอย่างเงียบงัน
ซูหลีนวดคลึงอยู่นานชั่วหนึ่งถ้วยชา เสื้อผ้าบนกายถูกไอร้อนทำให้เปียกชุ่ม จนแนบติดร่างกายพาให้รู้สึกอึดอัด นางตัดสินใจเดินลงไปในอ่าง ลอบสังเกตสีหน้าเขาอย่างเงียบๆ ครั้นเห็นใบหน้าเขาไร้อารมณ์ ดุจขุนเขาที่ไม่สะทกสะท้าน นางกัดเม้มกลีบปาก เอื้อมมือไปบีบที่ขาเขา
ตงฟางเจ๋อหน้าเปลี่ยนสี รีบคว้ามือนาง จ้องหน้านางด้วยสายตาสับสน แต่กลับไม่พูดอะไร
ซูหลีแสร้งทำเป็นตกใจ “ที่แท้ท่านก็ไม่ได้หลับอยู่หรือ?!”
ตงฟางเจ๋อเงียบงันไม่พูดจา สีหน้าตึงเครียดสุดขีด จ้องหน้านางนิ่ง ไม่นานก็ค่อยๆ ปล่อยมือนาง
นางแหวกน้ำเข้าไปใกล้เขา ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน เขาก้มหน้ามองนาง สายตาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นลึกซึ้ง แต่กลับยังคงแน่นิ่งไม่ไหวติง
ซูหลีอับจนหนทาง ทำได้เพียงหงายไพ่ใบสุดท้าย พยายามโน้มใบหน้าเข้าไปจูบเขา
ทว่าในขณะที่กลีบปากของนางใกล้ประชิดถึงเขา เขาก็รีบแหงนหน้าขึ้น พยายามหลบนาง
ซูหลีตะลึงงัน นางทำถึงขั้นนี้แล้ว เขากลับยังปฏิเสธนางได้ลงคออีกหรือ?! ตั้งแต่เล็กจนโต ใช้ชีวิตมาถึงสองครั้ง นางไม่เคยเอาใจผู้อื่นถึงขั้นนี้ แต่บุรุษตรงหน้ากลับไม่เห็นคุณค่าของมัน! ซูหลีพลันขุ่นเคือง ช่างเถิด ในเมื่อเขาไม่ยอมรับการก้มหัวของนาง เช่นนั้นก็รอให้เขาหายโกรธก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่ นางคิดได้เช่นนั้น ก็ลุกขึ้นเดินจากไป
ยอมแพ้แค่นี้แล้วหรือ?! สายตาของตงฟางเจ๋อหม่นลง พลันเอื้อมมือไปดึง ซูหลีรู้สึกโลกหมุนคว้าง พริบตาเดียวก็ล้มลงมาอยู่ในอ้อมแขนเขา หยดน้ำสาดกระเซ็นเต็มใบหน้าของทั้งสอง
ค่ำคืนอันเงียบสงัด แสงไฟในตำหนักตงหวานวลสลัว บรรยากาศในห้องสงบไร้เสียง
ซูหลียังคงอยู่ในอ้อมแขนของตงฟางเจ๋อ ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวของตงฟางเจ๋อค่อยๆ สงบลง สีหน้ากลับไปสงบราบเรียบดังเดิม เขากอดนางแล้วหลับตาทำสมาธิ ไม่เอ่ยปากพูดอะไรเลยแม้แต่ประโยคเดียว ซูหลีหมายจะอ้าปากพูดหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็พูดไม่ออกสักที
แสงรุ่งอรุณสาดส่องเข้ามาผ่านทางหน้าต่าง ซูหลีค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วสวมเสื้อผ้า นางหยิบเทียบยาไปวางไว้บนโต๊ะ ยืนเหม่ออยู่ครู่หนึ่ง
ตงฟางเจ๋อหันหลังให้นาง ท่ามกลางความมืด เขาลืมตาขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงไม่ขยับตัว
ซูหลีถอนหายใจ จากนั้นก็เดินจากไป ไม่นานตงฟางเจ๋อจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปที่โต๊ะ มองดูเทียบยาแผ่นนั้นเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วตะโกนสั่ง “ผู้ใดอยู่ข้างนอก จงไปเรียกตัวหลินเทียนเจิ้งเข้าวัง”
……………………