บทที่ 647 : ยิ่งกว่าถูกตบหน้า!
หลิงหยุนนั่งนิ่งพร้อมกับรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้า เขาเหลือบมองเหมี่ยวเสี่ยวเหมากับเสี่ยวเม่ยหนิงที่มีสีหน้าเศร้าสร้อย พร้อมกับถามออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย
“อธิบายอะไร?”
หลิงหยุนใช้จิตหยั่งรู้สำรวจดูด้านล่างของคลินิกก็รู้ว่า คนไข้ที่เหลือสิบกว่าคนนั้นได้กลับไปหมดแล้ว ส่วนซันยู่วเจียวนั้นกำลังล้างมือ และเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวออกไปหาอะไรกิน เหมี่ยวเสี่ยวเหมาจึงได้ลากเสี่ยวเม่ยหนิงขึ้นมาชั้นสองเพื่อสะสางปัญหากับหลิงหยุน
เหยาลู่ยังคงจดจ่ออยู่กับการนวดให้กับหลิงหยุน เธอเพียงแค่หลบสายตาลง และไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
เหยาลู่นั้นเป็นผู้หญิงประเภทที่หากหลิงหยุนสั่งให้เธอกระโดดลงไปในกองไฟ แน่นอนว่าเธอจะไม่ลังเล และรีบกระโดดลงไปทันที
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาหมดความอดทน เธอแทบจะทนไม่ได้ และเกือบจะสั่งให้เจ้าทองอ้วนไปกัดหลิงหยุน ตอนนี้ความโกรธของเธอใกล้จะถึงขีดสุดแล้ว! เธอจึงร้องตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด
“นี่นายยังจะถามอีกเหรอว่าอธิบายเรื่องอะไร? นับตั้งแต่วันเปิดคลินิกมา นายเคยโผล่หน้ามาที่คลินิกบ้างมั๊ย? ไม่ใช่ฉันกับหนิงน้อยหรอกเหรอที่คอยมาช่วยทำงานแทนนายทุกวัน? หนิงน้อยตั้งใจทำงานอย่างหนัก วันๆต้องรักษาคนไข้จำนวนมากมาย ถึงแม้นายจะไม่เห็นว่ามันเป็นความดีความชอบอะไร แต่ก็ไม่ควรข่มเหงน้ำใจของหนิงน้อยแบบนี้!”
หลิงหยุนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “อย่าลืมว่าคุณสองคนเป็นคนมาที่คลินิกเอง! ผมจำได้ว่าไม่เคยร้องขอให้พวกคุณมาช่วยด้วยซ้ำไป! แล้วผมไปข่มเหงน้ำใจหนิงน้อยเมื่อไหร่กัน?”
และเมื่อได้ฟังคำตอบของหลิงหยุน เสี่ยวเม่ยหนิงก็ถึงกับร้องไห้ออกมาไม่หยุด และนั่นยิ่งทำให้เหมี่ยวเสี่ยวเหมาทวีความโกรธมากยิ่งขึ้น
“เชอะ.. เปิดคลินิกแต่ไม่มีหมออยู่รักษาคนไข้นี่นะ! ถ้าพวกเราสองคนไม่มาช่วย ป่านนี้ผู้คนคงพากันหัวเราะเยาะไปหมดแล้ว!”
“ส่วนเรื่องข่มเหงน้ำใจหนิงน้อยนั้น นายก็น่าจะรู้อยู่แกใจดีไม่ใช่เหรอ? นายมาถึงที่คลินิก ก็พาสาวๆออกไปกินข้าว กินเสร็จก็ขึ้นมาดื่มชา และมีคนนวดให้อย่างสบาย แต่กลับปล่อยให้เราสองคนพี่น้องทำการรักษาคนไข้จำนวนมากมายอยู่ข้างล่างจนหิวโซ แม้แต่น้ำยังไม่มีเวลาได้ดื่ม! พวกเราติดหนี้นายมากหรือยังไงกัน?”
“นายไปกินข้าวกลับมาจนอิ่มแล้ว แต่กลับไม่สนใจใยดีพวกเราสองคนพี่น้องเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วยังกล้าขึ้นมานั่งเล่นบนชั้นสองอย่างสบายอกสบายใจ แบบนี้ไม่เรียกว่าข่มเหงน้ำใจหนิงน้องอย่างงั้นเหรอ?”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาร้องตะโกนออกมาอย่างโมโห เธอโกรธหลิงหยุนอย่างมาก และคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะเป็นคนไร้ยางอายได้ถึงเพียงนี้!
หลิงหยุนเห็นอารมณ์รุนแรงของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาแล้ว ก็ได้แต่นึกขันอยู่ในใจ จึงได้ตอบกลับไปว่า
“ถ้าหิว.. ก็ควรไปหาอะไรกิน! นี่ก็เกือบจะบ่ายสามโมงแล้ว ทำไมพวกคุณสองคนยังไม่ไปหาอะไรกินกันอีกล่ะ? แล้วการที่ผมพาพนักงานออกไปกินข้าว มันผิดตรงใหน?”
“อีกอย่าง.. เมื่อครู่ผมก็เห็นพวกคุณสองคนตั้งหน้าตั้งตารักษาคนไข้ ก็เลยไม่อยากขัดจังหวะการทำงานของพวกคุณ เพราะเกรงว่าจะทำให้ภาพพจน์ของการเป็นหมอเทวดาของพวกคุณต้องเสียหาย ขอโทษนะ! การที่จะกินหรือไม่กิน พวกคุณควรต้องตัดสินใจเองไม่ใช่เหรอ?”
คำพูดเหน็บแนมถากถางของหลิงหยุนนั้นไม่มีคำหยาบแม้แต่คำเดียว แต่กลับบาดลึกเข้าไปในใจอย่างมาก..
“ผมก็ร้องบอกทุกคนเหมือนกันว่า.. ใครอยากจะกินก็ตามมา แล้วถ้าใครไม่อยากมากิน คุณจะให้ผมทำยังไง? ผมทำแบบนี้เป็นการข่มเหงน้ำใจใครตรงใหน?”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาไม่สามารถโต้เถียงหลิงหยุนได้จึงได้แต่คำรามออกมา “นี่นาย..”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพูดต่อว่า “ผมทำไม..? ผมทำอะไรผิด? ผมแค่พูดความจริง!”
และคำพูดของหลิงหยุนก็ล้วนแล้วแต่เป็นความจริงทั้งสิ้น เหมี่ยวเสี่ยวเหมาจึงไม่สามารถโต้เถียงอะไรได้เลย แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบโต้หลิงหยุนกลับไปว่า
“นายก็เห็นว่ามีคนไข้นั่งรอรับการรักษาอยู่หลายสิบคน นายจะให้พวกเราทิ้งคนไข้ไว้แล้วออกไปกินข้าวอย่างงั้นเหรอ?”
หลิงหยุนยิ้มเหยียด และพูดสวนขึ้นมาทันที “ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลนะครับคุณ! จะต้องให้คลินิกของผมเปิดรักษาคนไข้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยหรือยังไง?”
หลิงหยุนชี้นิ้วลงไปด้านล่างพร้อมกับพูดต่อว่า “พยาบาลทั้งสามคนที่อยู่ข้างล่างเลือกที่จะมาทำงานที่คลินิกของผม ก็เพราไม่อยากทำงานหนักเหมือนอยู่ที่โรงพยาบาล แต่เพราะความอยากเป็นคนดีของพวกคุณ ทำให้พวกเธอต้องทำงานหนักกว่าเดิม คุณเคยคิดบ้างมั๊ยว่าพวกเธอต่างก็เป็นคนเหมือนกัน! ต้องกินและต้องการพักผ่อนเหมือนกัน!”
หลิงหยุนจงใจใช้มังกรคำรามเพื่อให้หลี่จินเหลียนกับชางเสี่ยวเหมิงที่อยู่ข้างล่างได้ยินด้วย ทั้งคู่จึงได้แต่หันไปมองตากันด้วยความซาบซึ้งใจ
เจ้านายดีๆแบบนี้ช่างหาได้ยากนักในโลกใบนี้ คิดไม่ผิดที่เลือกมาทำงานที่นี่!
เป็นอีกหนึ่งครั้งที่เหมี่ยวเสี่ยวเหมาถึงกับอึ้งไป และไม่สามารถโต้เถียงอะไรหลิงหยุนได้เลยแม้แต่น้อย
หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง เธอจึงพูดขึ้นว่า “แต่สิ่งที่พวกเราทำอยู่มันก็ดีกับคลินิกของนายไม่ใช่หรือยังไง? ยิ่งมีคนไข้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีไม่ใช่เหรอ?”
หลิงหยุนตอบยิ้มๆ “คุณอาจจะคิดว่าดีต่อคลินิกของผม แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ!”
“ใช้ยันต์บำบัดของผมรักษาตั้งแต่อาการจับไข้ ปวดหัว ตัวร้อน อาหารเป็นพิษ อาการเจ็บป่วยพื้นๆแบบนี้ คลินิกที่ใหนก็รักษาได้ทั้งนั้น คุณคิดว่ายันต์บำบัดของผมไม่มีต้นทุนหรือยังไง? ถ้าพวกคุณจะทำแบบนี้ สู้ปล่อยให้คลินิกของผมไม่มีคนไข้จะดีกว่า!”
ระหว่างที่ทานอาหารเที่ยงด้วยกันนั้น หลิงหยุนได้ยินชางเสี่ยวเหมิงเล่าว่าเสี่ยวเม่ยหนิงรักษาเด็กถูกมีดบาดมาด้วยยันต์บำบัดที่ปลุกเสกขึ้นจากพลังชี่ของเขา
ยันต์บำบัดที่หลิงหยุนปลุกเสกขึ้นนั้นไม่ใช่แค่เหยวนสองหยวน หรือเพียงแค่มีกระดาษสีเหลืองเขียนยันต์ก็ใช้ได้ และหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป คลินิกของเขาคงต้องขาดทุนยับเยินอย่างแน่นอน!
“พวกคุณสองคนเป็นหมอ เหยาลู่กับพยาบาลอีกสามคน รวมเป็นทั้งหมดหกคน ทุกคนทำงานแทบเป็นแทบตาย ข้าวน้ำไม่ต้องกิน วุ่นวายอยู่กับการรักษาคนไข้ตลอดทั้งวัน แต่กลับมีรายได้เพียงแค่สี่พันหยวน?!”
“ผมเปิดคลินิกแห่งนี้ขึ้นมา ก็เพื่อตั้งใจจะเปิดรักษาให้กับผู้ที่มีกำลังจ่ายค่ารักษาสามแสนหยวนต่อครั้งเท่านั้น การที่พวกคุณกำหนดราคาค่ารักษขึ้นใหม่แบบนี้ คุณคิดว่าผมจะไม่รู้สึกผิดหวังบ้างหรือยังไง?”
หลิงหยุนเริ่มโต้กลับ และก็ปล่อยหมัดหนักขึ้นเรื่อย!
“นี่นายอยากได้เงินจนเป็นบ้าไปแล้วหรือไง? ค่ารักษาครั้งละสามแสน มันไม่ค้ากำไรเกินควรไปหน่อยหรือยังไง?” เหมี่ยวเสี่ยวเหมาร้องตะโกนออกมาอย่างโมโหสุดขีด
หลิงหยุนยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยไร้อารมณ์ใดๆ “ผมว่าคุณสองคนคงจะเข้าใจอะไรผิดไปแล้วล่ะ! ผมเปิดคลินิกแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อทำการรักษาชีวิตผู้คน คุณคิดว่าชีวิตของคนเรามีค่าไม่ถึงสามแสนหยวนเชียวเหรอ? คุณคิดว่าเงินจำนวนสามแสนหยวนมีค่ามากกว่าชีวิตคนหนึ่งคนงั้นเหรอ?”
“คลินิกสามัญชนของผมเปิดขึ้นมาเพื่อทำการรักษาโรคที่หมอคนอื่นไม่สามารถรักษาได้ ผมเปิดคลินิกขึ้นมาเพื่อรักษาเฉพาะโรคที่หนักหนาสาหัส หรือเจียนตาย ไม่ใช่โรคพื้นๆทั่วไปอย่างปวดหัวตัวร้อน!”
เสี่ยวเม่ยหนิงหยุดร้องไห้ทันที ดวงตากลมโตแดงก่ำนั้นจ้องมองหลิงหยุนอย่างน่าสงสาร เธอกัดริมฝีปากแน่นแต่ก็ไม่พูดอะไร..
หลิงหยุนเหลือบมองเสี่ยวเม่ยหนิงเล็กน้อย แล้วจึงพูดต่อว่า “ผมเปิดคลินิกนะ.. ไม่ได้เปิดองค์กรการกุศล! ผมไม่ได้เปิดคลินิกมาเพื่อเก็บค่ารักษาเพียงแค่ครั้งละห้าสิบหยวน เพื่อแลกกลับคำยกย่องสรรเสริญจากผู้คน! นั่นไม่ใช่นิสัยของหลิงหยุน!”
“กำลังกายของมนุษย์ทุกคนมีขีดจำกัด ตัวคุณเองก็เช่นกัน! แต่ต่อให้คุณมีกำลังกายมหาศาลไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่เวลาของคุณก็มีจำกัดไม่ใช่หรือไง?”
“เพื่อชื่อเสียงจอมปลอม และความพอใจเพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าว พวกคุณสองคนถึงกับทุ่มเททำงานได้มากมายขนาดนี้ สำหรับผม.. มันเป็นเรื่องที่โง่มาก โง่ที่สุด!”
หลิงหยุนพูดตรงและแรง เพราะเขากำลังสอนเหมี่ยวเสี่ยวเหมาและเสี่ยวเม่ยหนิงอยู่!
“ถ้าจะต้องทุ่มเทให้กับการรักษามากมายขนาดนี้ หนิงน้อยจะมีเวลาไปฝึกฝน และพัฒนาวิชาเก้าเข็มปลุกชีพได้อย่างไรกัน?”
“และสำหรับคุณ – เหมี่ยวเสี่ยวเหมา! ต่อให้คุณเป็นหมอที่เก่งกาจ แล้วยังไง? ผมจะบอกอะไรให้นะ.. ต่อให้ไม่มีคลินิกสามัญชน โลกและมนุษย์ก็ยังคงดำเนินต่อไปเช่นเดิม!”
มาถึงตอนนี้.. หลิงหยุนนับว่าเป็นผู้ที่เห็นโลกมามาก! เขาไม่เคยทำอะไรที่เกินกำลังของตนเอง เขามองปัญหาพวกนี้เป็นเรื่องธรรมดา
“ในจิงฉูมีโรงพยาบาลและคลินิกอยู่มากมาย และถึงแม้คุณจะทุ่มเททำงานหนักมากมายขนาดใหน คุณก็ไม่มีทางรักษาทุกคนได้หมดหรอก?”
คำพูดของหลิงหยุนทำให้เหมี่ยวเสี่ยวเหมาถึงกับชาทั้งร่าง หลิงหยุนทำเสียงขึ้นจมูกเล็กน้อยขณะที่พูดต่อว่า
“สิ่งสำคัญที่สุดคือ.. คุณไม่เข้าใจคำว่าการรักษา!”
“คนที่เจ็บป่วยทุกคนนั้น แน่นอนว่าล้วนต้องมีสาเหตุบางอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น..”
“สิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความเจ็บป่วยทั้งหลายนั้น ก็คือเรื่องของการบริโภคอาหาร อารมณ์ และอื่นๆอีก..”
หลิงหยุนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง..
“คุณกลับไม่เคยคิดถึงสิ่งเหล่านี้.. ผู้ป่วยที่มาหาหมอด้วยอาการปวดท้อง สาเหตุส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากนิสัยการกินที่ไม่ถูกต้อง จึงส่งผลให้เขาต้องเจ็บป่วยจนต้องมาหาหมอ หลังจากคุณรักษาให้กับพวกเขาไป พวกเขาจะใส่ใจกับนิสัยการกินของตนเองหรือไม่? คำตอบคือ.. ไม่เลย! พวกเขาจะยังคงกินดื่มเหมือนเดิม และเมื่อป่วยก็แค่มารักษาที่นี่ เมื่อหายแล้วก็กลับไปทำเหมือนเดิมอีก!”
“เด็กผู้ชายถูกมีดบาดมา แต่กลับไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย! เขามาที่นี่คุณก็ใช้ยันต์บำบัดรักษาให้ คุณคิดว่าเมื่อกลับไปแล้วเด็กผู้ชายจะยังคงเล่นมีดต่ออีกมั๊ย? หากเขาไม่ระมัดระวัง และมีดแทงเข้าที่ดวงตาล่ะ? ใครจะรับผิดชอบ?”
“หากมนุษย์เราได้รับผลตอบแทนโดยที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย โลกใบนี้ก็คงจะโกลาหลวุ่นวายมากอย่างแน่นอน..”
“เพราะฉะนั้น.. นี่ไม่ใช่ว่าผมใจร้าย หรือว่าโลภมาก! แต่เป็นเพราะผมเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ดีมากต่างหาก ผมจะคิดค่ารักษาแค่ห้าสิบหยวนก็ได้ แต่คุณเชื่อหรือไม่ว่า.. ถ้าผมทำเช่นนั้นจริงๆ จะมีบางคนที่ตั้งใจมาให้คุณรักษาเล่นๆสนุกๆ เพียงเพราะค่ารักษาถูก!?”
“ยันต์บำบัดที่ผมให้พวกคุณไว้นั้น ผมไม่ได้ให้ไว้เพื่อใช้รักษาแผลที่ถูกมีดบาดมา..”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาถึงกับพูดไม่ออก เธอจ้องมองไปทางเสี่ยวเม่ยหนิงที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรออกมา และในที่สุดพวกเธอก็รู้ว่าความผิดอยู่ที่ตรงใหน?
เมื่อหลิงหยุนเห็นว่าสาวน้อยทั้งสองคนเริ่มเข้าใจอะไรบ้างแล้ว เขาจึงเอนกายพิงโซฟาพร้อมกับประกาศว่า
“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ไม่ว่าใครก็ตามที่จะมารักษาที่คลินิกสามัญชนแห่งนี้ จะต้องจ่ายค่ารักษาสามแสนหยวนต่อครั้ง!”
แม้ว่าเหมี่ยวเสี่ยวเหมาจะไม่สามารถโต้เถียงอะไรหลิงหยุนได้ เธอก็ยังรู้สึกว่าคำพูดของหลิงหยุนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ก็ยังไม่สามารถคิดหาเหตุผลมาโต้แย้งได้
แต่หลังจากที่ครุ่นคิดไปได้ครู่หนึ่ง เหมี่ยวเสี่ยวเหมาจึงร้องถามออกไปว่า “ค่ารักษาสามแสนหยวน จะมีใครโง่มารักษาที่นี่กัน?”
หลิงหยุนหัวเราะ แต่ไม่พูดอะไร..
ยังไม่ทันสิ้นเสียงของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาดี ชางเสี่ยวเหมิงก็วิ่งหน้าตั้งขึ้นมาจนหน้าอกใหญ่โตสั่นไปมาอย่างรุนแรง เธอหายใจหอบถี่พร้อมกับร้องบอกว่า..
“เจ้านายคะ.. มีคนไข้มาค่ะ!”
“คุณบอกค่ารักษาของที่นี่ให้เขาทราบหรือยัง?”
“บอกค่ะ.. สามแสนหยวน! แต่เขาก็ไม่พูดอะไร..” ชางเสี่ยวเหมิงเสียงสั่นด้วยความตื่นเต้น
“คนไข้รายแรกของผมมาแล้ว.. ไปรักษาคนไข้กัน!”
หลิงหยุนพูดอย่างภาคภูมิใจพร้อมกับลุกขึ้นยืน เขาไม่แม้แต่จะหันไปมองเหมี่ยวเสี่ยวเหมา และรีบเดินลงไปด้านล่างทันที
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาถึงกับอ้าปากค้าง และอึ้งไปจนพูดอะไรไม่ออก
หลังจากนั้นครู่ใหญ่จึงได้แต่พึมพำออกมาว่า “สามแสนหยวน.. ยังมีคนอยากรักษากับเขาอีกหรือนี่?!”
แต่จู่ๆ ใบหน้าของเธอก็ร้อนผ่าว เพราะเริ่มรู้สึกตัวว่านี่ยิ่งกว่าการถูกหลิงหยุนตบหน้าเสียอีก!