บทที่ 61 การเลือกหินหยก

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 61
การเลือกหินหยก

ไม่ช้าทั้งสองก็มาถึงสำนักทนายความซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของฮอลล์การจัดงานที่ชั้นแรก ที่ทางเข้าของฮอลล์จะมีป้ายหยกขนาดใหญ่อยู่ที่สำนักทนายความ ที่ประตูมีหยกแกะสลักรูปสิงโตพร้อมด้วยกระจกหยกเกรดดี หยกสิงโตสูงพอๆกับคนทั่วๆไป เป็นหินที่ใหญ่มากๆ เธอไม่รู้เลยว่าจะไปหาหยกกระจกขนาดใหญ่แบบนี้มาจากไหน

นอกจากหยกสิงโตสองตัวที่ประตู ก็ยังมีกระดานกว้างประมาณ 3 เมตรอยู่ข้างในอีก กระดานข่าวระบุเวลาเปิดไว้ การจะเข้าได้ต้องมีตั๋วนอกจากนี้ถ้ามีการพนัน ผู้ชมสามารถวางเงินพนันที่สำนักทนายความได้เพื่อพนันว่าใครจะชนะหรือใครจะแพ้

หลังจากที่พวกเธอซื้อตั๋วแล้ว พวกเธอก็เดินเข้าไปข้างใน หลังจากที่เดินเข้าประตูไปพวกเธอก็เห็นผู้คนมากมายยืนอยู่ที่เวทีการแข่งขัน ก็พอจะนึกได้ว่าตอนนี้พวกเขาเข้ามาเล่นหินการพนันกัน เมื่อมีเสียงดังขึ้นมาบางครั้งบางคราวก็จะมีผู้ชมเข้าไปล้อมรอบ ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะร้อนแรงอย่างมาก

มีกระบวนการบางอย่างในห้องรับรองเอกสาร อันดับแรกจะมีคนเอาเอกสารมาให้ เจ้าหน้าที่ของสำนักงานทนายจะจัดเวลาให้กับผู้แข่งขันและอธิบายถึงรายละเอียดของผู้แข่งขันแต่ละคน ซึ่งโดยปกติแล้วผู้แข่งขันจะจัดการในวันต่อมา ไม่เหมือนนักพนันคนอื่นๆ ที่ต้องสงวนเวลาไว้สำหรับวัตถุดิบของนักพนันหิน อยู่ระหว่างรอจัดการพิธีการ ฉินเมิ่งหยาจ้องไปที่มู่หรงเสวี่ย

ช่วงหลายวันที่ผ่านมา เธอสั่งให้คนอื่นไปเช็กประวัติของมู่หรงเสวี่ยแต่เธอไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอถึงหาข้อมูลไม่เจอเลย ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าน่าจะเป็นเพราะการเข้ามาแทรกแซงของพี่โม่ เธอไม่คิดเลยว่าพี่โม่จะเข้ามายุ่งกับเรื่องเล็กๆแบบนี้ด้วย ไม่งั้นเธอคงได้เห็นตัวตนของผู้หญิงชั้นต่ำคนนี้แล้ว

มีเพียงแค่ตอนนี้เธอที่มองไปที่สัญญา เธอจึงได้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ชื่อมู่หรงเสวี่ย ซึ่งก็เพราะดีแต่ทำไมเธอถึงมีชื่อเพราะแบบนี้ ตระกูลโบราณทั้งหมดในเมืองหลวงไม่มีนามสกุลมู่หรงเลย ในตอนนี้เธอมองมู่หรงเสวี่ยด้วยสายตาดูถูก แต่เมื่อตอนนี้เธอได้รู้ชื่อของเธอแล้วมันก็ง่ายที่จะตรวจสอบ บางทีเธออาจจะหาผิดที่ ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้มาจากเมืองหลวงเลย

เธอไม่ได้รีบ ผู้หญิงราคาถูกคนนี้ดูแล้วก็ไม่น่าจะอายุเกิน 16 หรอก เธอยังเด็กไปที่จะแต่งงาน เธอยังมีเวลาที่จะสืบเรื่องผู้หญิงคนนี้ เธอไม่เชื่อว่าพี่โม่จะไร้เดียงสา อย่างไรก็ตามถึงแม้พี่โม่จะไร้เดียงสามันก็ไม่เป็นอะไร เธอเข้ามาในตระกูลชางกวนทั้งๆที่เป็นแค่ผู้หญิงราคาถูกและไม่ได้เป็นคุณหนูของตระกูลในเมืองหลวงได้ยังไง อย่างมากพี่โม่ก็คงจะแค่เลี้ยงเธอไว้เพื่อความสนุกและอีกไม่นานก็คงเลิกสนใจไปเอง

“พันล้านหยวน ถ้าเธอแพ้ก็อย่าให้พี่โม่มาช่วยจ่ายให้ก่อนล่ะ!” เธอจะลืมเรื่องนี้ได้ยังไง? พี่โม่มีเงินมากมาย เมื่อตอนนี้แม่ผู้หญิงชั้นต่ำเป็นแฟนของพี่โม่ พี่โม่คงไม่สนใจถึงแม้จะแค่ทำเพื่อรักษาหน้าก็ตาม

เธอมีปัญญาจ่าย นับประสาอะไรกับเงินทุนหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 5 พันล้าน “ฉันว่าคุณควรจะห่วงตัวเองดีกว่านะ คุณหนูฉินเมิ่งหยา…” เธอรู้จักชื่อหญิงสาวคนนี้ก็ตอนที่เธอเซ็นสัญญานี่แหละ
“ลืมไปแล้วเหรอว่าฉันเป็นใครถึงได้กล้าพูดอะไรแบบนั้น ฉันคือคุณหนูของตระกูลฉินแห่งเมืองเมืองหลวงนะ ก็แค่เงินพันล้านเองแล้วฉันจะไม่มีได้ยังไง ไม่สิ ต้องเพิ่มไปในสัญญาด้วยว่าเธอต้องจ่ายคืนด้วยเงินของตัวเอง โดยห้ามใช้เงินของคนอื่นมาจ่ายหนี้พนัน แล้วเธอก็ต้องเห่าสามครั้งต่อหน้าผู้ชมด้วย” ถ้าพี่โม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ไร้ศักดิ์ศรีแบบนี้ เขาก็คงไม่อยากจะคุยกับเธออีก นี่เป็นปัญหาของคนแพ้เธอจึงไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้เลย ถึงแม้สายตาของเธอจะไม่ได้ดีนัก แต่เธอก็เป็นที่โด่งดังในวงการหินการพนันซึ่งเป็นเพราะความสามารถของเธอเอง

ต้องเห่าเหมือนหมางั้นเหรอ?! ความฝันของฉินเมิ่งหยานี่เลวร้ายจริงๆ?! ทุกคนที่เข้ามาที่นี่ต่างก็เป็นพวกคนชั้นสูงกันทั้งนั้น ถ้าพวกเธอต้องมาเสียหน้าที่นี่แล้วจะเอาหน้าตาของวงศ์ตระกูลไปไหวที่ไหน?! เมื่อมองไปที่หน้าของเธอ ก็บอกได้ว่าเธอมีความสามารถแน่นอนแต่เมื่อเทียบกับความสามารถที่ออกแนวโกงของเธอแล้ว แต่ก็เหนือกว่าอยู่เห็นๆ ฮ่า! ในเมื่อเธออยากที่จะตาย แล้วเธอจะไม่ช่วยสงเคราะห์ได้ยังไงล่ะ!!

“ดีเลย! ฉันจะรอชมการเห่าของคุณหนูฉินเมิ่งหยาแล้วกันนะ”
“เธอ…เธอ…เธอจะต้องได้เห็นจุดจบของตัวเองแน่ๆ…อื่ม…” ฉินเมิ่งหยาจ้องมาที่เธออย่างโหดร้าย

จ้องอยู่ได้! จ้องอยู่นั่นแหละ! จ้องเธออย่างกับเธอเป็นเนื้อ ยังไงซะสุดท้ายมู่หรงเสวี่ยก็ไม่สนใจ

ไม่ช้าขั้นตอนก็เสร็จสิ้น เวลาจะเริ่มพรุ่งนี้ตอน 9 โมงเช้า โดยวิธีจะเป็นเรื่องของการพนันหินทั้งหมด ใครที่ได้หยกที่ดีกว่าก็จะเป็นผู้ชนะไป พวกเธอทั้งคู่ต่างก็ไม่มีปัญหา พวกเธอจึงเดินแยกไปเลือกหินหยกคนละทาง นอกจากเวลาที่เธอใช้ในการอยู่ในมิติลับและเวลาที่ใช้อยู่กับชางกวนโม่แล้วเธอก็ไม่ได้ใช้เวลาในการเลือกหินหยกมากนักเลย เธอได้ดูหินหยกก็แค่เพียงเวลาสั้นๆเท่านั้นเองและยังมีหินหยกอีกนับไม่ถ้วนที่เธอยังไม่ได้ดู แน่นอนว่าเธอจะเลือกพวกมันทั้งหมดก็ไม่ได้ เธอต้องทิ้งอันอื่นๆไปให้คนอื่น ชิ้นที่ดีที่สุดที่เธอได้เห็นก็มีเพียงแค่หยกสีเขียวเท่านั้น เธอยังไม่เห็นแม้แต่เงาของหยกจักรพรรดิ หยกที่ดีที่สุดเลยด้วยซ้ำ มู่หรงเสวี่ยเห็นว่าฉินเมิ่งหยาเดินไปที่แผงหินหยกขนาดใหญ่และเลือกอย่างระมัดระวัง รอบๆตัวเธอมีหินหยกอยู่มากมาย หลังจากเฝ้ามองอย่างระวัง เธอก็รู้สึกว่าฉินเมิ่งหยาไม่ได้หยิ่งเท่าไรและดูสวยมากขึ้นด้วย ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอก็เหมาะสมกับตระกูลฉิน อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้น่าประหลาดใจเท่าไร ยังไงซะ เรื่องพวกนี้ก็ต้องถูกสอนกันมาตั้งแต่เด็กๆอยู่แล้ว แต่ไปเอาไอ้นิสัยเสียแบบนี้มาจากไหนกันนะ? ถึงแม้นิสัยส่วนตัวของเธอจะไม่ค่อยดี แต่มันก็ไม่กระทบกับฝีมือของเธอเลย

สายตาของมู่หรงเสวี่ยแวบขึ้นมา เธอไม่ได้จ้องไปที่เธออีกแล้ว ความรู้สึกที่เธอมีต่อฝ่ายตรงข้ามเริ่มจะมีความเคารพมากขึ้นมาแล้วจริงๆ

มู่หรงเสวี่ยค่อยๆขยี้ตาตัวเอง แสงที่ปล่อยออกมาจากกองหินหยกหลายกองใกล้เคียงนั้นเกือบจะเหมือนกัน จากประสบการณ์ก่อนหน้านี้ของเธอ ขนาดของแสงสามารถบ่งบอกได้ถึงคุณภาพของหยก ดูเหมือนแสงจะหลี่ลง โดยทั่วไปจะเกิดขึ้นกับหินหยกคุณภาพธรรมดาๆทั่วไป แต่ในแก้วจะสว่างขึ้นมาหน่อย ถ้าเป็นแสงสว่างขึ้นมามันก็จะเป็นมรกตที่ดีที่สุด เหมือนครั้งล่าสุดที่เธอเห็นหยกจักรพรรดิและหยกไหมทองคำสีแดง แสงมันสวยมากจนอดไม่ได้จริงๆ

ตอนนี้ก็เที่ยงแล้วและยังเหลือเวลาอีกครึ่งวันในการเลือกหินหยก มันสำคัญมากที่ต้องรอจนถึงพรุ่งนี้เพื่อจะเลือกหินหยก เธอต้องเร่งมือหน่อยเพื่อให้ทันพรุ่งนี้เช้า

ไม่มีเหตุผลใดที่เธอมีมุมมองที่สุดยอดแบบนี้ มีอาวุธในการโกงแล้วเธอจะแพ้ งั้นเธอต้องขุดมันขึ้นมา

มู่หรงเสวี่ยรีบเช็กแสงที่แวบออกมาจากหินหยกอย่างระวัง เธอจะหยุดเพื่อตรวจแสงที่เบาบางในกองหินหยกมากมายแต่หลังจากที่ผ่านไปสองหรือสามชั่วโมง เธอก็ยังหาหยกที่พอใจไม่ได้
เมื่อฉินเมิ่งหยาเลือกหินหยก เธอก็จะคอยหันมามองมู่หรงเสวี่ยบ้างเป็นครั้งคราวและหัวเราะไปกับท่าทางไร้หนทางของมู่หรงเสวี่ย

เธอรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก ทันทีที่เธอเดินออกมาจากกองหินหยก เธอก็เห็นชิ้นของหินหยกชิ้นหนึ่งที่ดูค่อนข้างดี ในกรณีที่เธอใช้เครื่องมือเพื่อตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของพื้นผิวหินหยกอย่างละเอียด จากประสบการณ์ก่อนหน้านี้ของเธอ 70% ของเนื้อหินแบบนี้จะมีสีเขียวที่เข้มมากซึ่งทำให้เธอพอใจอย่างมาก หลังจากที่ซื้อหินหยกเสร็จ เธอก็เดินไปดูหินหยกชิ้นอื่นๆต่อ ถ้าไม่เจอที่ดีกว่าเธอก็ตัดสินใจว่าคงจะเลือกชิ้นนี้ไปพนันพรุ่งนี้

มู่หรงเสวี่ยไม่ได้เดินไปดูฉินเมิ่งหยาอีกรอบ ถึงแม้เธออยากที่จะรู้ว่าฉินเมิ่งหยาเลือกหินหยกแบบไหน เธอจะได้เลือกชิ้นที่มีคุณภาพสูงกว่า แต่เธอรู้สึกว่าเพื่อที่จะปกป้องตัวเธอเอง เธอจึงจะเลือกอย่างระวัง เมื่อเธออยากที่จะกลับไปดูฉินเมิ่งหยา เธอก็หายไปแล้ว เธอเลือกได้เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ?!

มู่หรงเสวี่ยส่ายหัวและเลือกหินหยกอย่างระวังมากขึ้น ทันใดนั้นเธอก็เห็นกองหินหยกที่มีแสงสีสันสดใส สีแดง, สีเขียว, สีขาว, สีม่วงและสีเหลืองผสานอยู่ด้วยกัน ซึ่งดูแล้วสวยงามมากจนเกือบจะทำให้เธอตาพร่ามัว

นี่มันหยกอะไรกันเนี่ย?! หรือว่าจะมีหยกที่ดีที่สุดทั้งห้าอยู่ในชิ้นเดียวกันหรือเปล่า? สีทั้งห้ารวมกันมันช่างสวยเหลือเกิน มู่หรงเสวี่ยถึงกับตกตะลึง หลังจากมองไปที่ฝูงชนที่อยู่รอบๆตัวเธอแล้ว เธอก็พยายามที่จะเก็บกดความตื่นเต้นนั้นไว้และไม่ได้รีบเร่งเดินเข้าไปในทันที
มู่หรงเสวี่ยทำเป็นแกล้งๆมองไปทางหินหยกชิ้นที่อยู่ข้างๆและค่อยๆเดินไปที่กองหินหยกหลากสี หลังจากหยิบชิ้นหินหยกขึ้นมาหลายชิ้น เธอก็เจอชิ้นหินหยกหลากสีอยู่ที่ด้านล่าง มู่หรงเสวี่ยรวบรวมพลังของตัวเองและค่อยๆตรวจสอบสถานะภายในอย่างระวัง มันมีห้าสีรวมกันอยู่จริงๆ พื้นผิวใสสะอาดและสวยงามอย่างมาก ขนาดของหินหยกหนักประมาณ 50 จิน เมื่อรวมผิวด้านนอกด้วย หยกห้าสีด้านในก็หนักประมาณ 30 จิน ซึ่งก็มีขนาดใหญ่มาก

แต่เมื่อมู่หรงเสวี่ยเงยหน้ามองไปที่เจ้าของร้านอย่างไม่ตั้งใจ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที เดาว่าคงเป็นเพราะเธอดูหินหยกอยู่นานเกินไป มู่หรงเสวี่ยรู้สึกหนาวขึ้นมาเล็กน้อย เธอค่อยๆวางมือจากหินหยกหยกหลากสีแล้วหันไปหยิบหินหยกที่อยู่ถัดมาอย่างระวัง

เจ้าของของร้านนี้คือเหล่าหลิว เขาอยู่ในวงการหินหยกมานานกว่า 20 ปีแล้ว แต่หน้าที่การงานของเขาก็ไม่ได้หวือหวาอะไรมาก สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับบุคลิกที่พิถีพิถันของเขา เขามักจะได้เห็นพวกผู้ซื้อหน้าใหม่ๆที่มักจะหยิบหินหยกขึ้นมาดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่บ่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปธุรกิจเริ่มจะแย่ลงเรื่อยๆและก็มีลูกค้าใหม่ๆเข้ามาเพียงไม่กี่คน

“เจ้าของร้านคะ หินหยกนี้คุณขายเท่าไรคะ?” มู่หรงเสวี่ยถามถึงราคาของหินหยกที่ดูท่าทางดีชิ้นนี้

“คุณหนู สายตาหลักแหลมจริงๆนะครับ ผิวของหินหยกนี้สีเขียวเข้มมากเลย ดูเหมือนว่าข้างในจะเป็นสีเขียวใสเลยจริงๆนะ ชิ้นนี้ราคา 100,000 หยวนต่อจิน”

100,000 หยวนงั้นเหรอ?! กล้าพูดนะ ปกติหินหยกธรรมดาก็ราคาพันหยวนต่อจิน แม้แต่หินหยกดีๆก็ยังราคาประมาณ 20,000 หยวนเอง เป็นเพราะเธอยังเด็กเขาเลยจะฉวยโอกาส มู่หรงเสวี่ยแสยะ “เจ้าของร้าน โหดไปหรือเปล่า เป็นเพราะฉันยังเด็กหรือเปล่า เมื่อวานฉันซื้อจากร้านอื่น ราคาแค่พันหยวนต่อจินเอง แล้วทำไมคุณถึงคิดราคาตั้ง 100,000 หยวนล่ะ?”
เถ้าแก่หลิวบอกได้เลยว่าเด็กสาวคนนี้ดูยังอายุไม่เยอะเท่าไรเลย แต่ทำไมถึงพูดอะไรอย่างมีความรู้ขนาดนี้ได้ล่ะ? ไม่มีทางที่จะเป็นคุณหนูของตระกูลแล้วได้เรียนรู้เรื่องธุรกิจนี้ตั้งแต่ยังเด็กแน่ๆ เป็นเรื่องใหญ่มากถ้าต้องลดราคาลง ได้เวลาต่อรองแล้วถ้าเธอจะต้องการแบบนี้

“คุณไม่เข้าใจ หินหยกของผมไม่เหมือนของพวกนั้น หินหยกของผมเป็นของชิชาน เหล่าเก็ง ชิชานรู้จักไหม หยกที่มาจากที่นั้นเป็นสินค้าเกรดสูงทั้งหมด ดังนั้นมันก็ไม่แปลกที่ผมจะต้องขายราคาแพง แต่ก็ต่อรองกันได้ ถ้าคุณเลือกพื้นผิวที่ดีๆมันก็จะราคาแพงกว่า 10 ล้านหยวนและมันก็จะช่วยเพิ่มราคาให้คุณได้หลายเท่าตัวเลย”

ใช่เลย! ในหินหยกพวกนี้ไม่มีอะไรเลย! มู่หรงเสวี่ยคิดกับตัวเอง เจ้าของร้านคนนี้กล้ามากเลยจริงๆที่กล้าพูดอะไรแบบนี้ออกมา ถึงแม้จะไม่มีมรกตแต่หินหยกชิ้นนี้ก็ราคาหลายล้านแล้ว “หินหยกทั้งหมดของคุณก็เทียบได้กับราคาหินหยกของคนอื่นๆ ถ้าราคาแพงขนาดนี้ ฉันคิดว่าฉันไปซื้อหินหยกของคนอื่นดีกว่า” มู่หรงเสวี่ยพูดและอยากที่จะเดินออกไป

ทันทีที่เหล่าหลิวเห็นว่าเธอกำลังจะออกไป เขาก็เกิดความกังวล “คุณหนูอย่าเพิ่งเลย ไม่ต่อรองราคากันก่อนเหรอ? ถ้าราคาแพงเกินไป ผมจะช่วยลดให้นิดหน่อย เพื่อที่จะได้ขายให้คุณได้ เอาเป็นว่าจินละ 50,000 ไหวไหม?” จริงๆแล้วราคาเพียงแค่ 1,000 หยวนต่อจิน ถึงแม้เขาจะขายที่ราคา 50,000 หยวน เขาก็ยังได้กำไรอีกหลายเท่า

ถ้าไม่ใช่เพราะหยกหลากสีชิ้นนั้น มู่หรงเสวี่ยก็คงอยากที่จะออกไปแล้วจริงๆ เจ้าของร้านนี้ดูง่ายเกินไป มู่หรงเสวี่ยแสยะ “เถ้าแก่ หินหยกของคุณราคาแพงแบบนั้นหมดเลยเหรอ?”

เขามองออกเลยว่ามู่หรงเสวี่ยไม่พอใจ เหล่าหลิวรู้ด้วยว่าเด็กสาวคนนี้ไม่ได้ไร้เดียงสา หลังจากที่คิดถึงเรื่องนี้แล้ว เขาก็พูดออกมา “คุณหนู นี่ล้อกันเล่นใช่ไหม หินหยกชิ้นนี้ต้องไม่ราคาเท่านั้นแน่อยู่แล้ว ถ้าคุณหนูเลือกอันที่สวยกว่านี้ราคาก็ต้องแพงกว่านี้ ชิ้นที่มีจุดสีดำข้างๆคุณหนูจะราคาถูกกว่ามาก…”

หินหยกที่มีตำหนิสีดำชิ้นที่เถ้าแก่หลิวชี้คือชิ้นที่มีหยกหลากสีที่มู่หรงเสวี่ยอยากจะซื้อ เธอเก็บกดความตื่นเต้นไว้ในหัวใจและพูดออกไปว่า “โอ้ ถูกกว่าเท่าไรเหรอคะ? ฉันเคยเห็นชิ้นที่มีจุดสีดำแบบนี้ที่ร้านอื่นด้วย ซึ่งราคาแค่ 3,000 หยวนเอง ฉันไม่รู้ว่าร้านเถ้าแก่จะขายเท่าไร”
เจ้าของร้านหันไปมองและคิดว่าหินหยกที่มีตำหนิสีดำคงจะขายไม่ออก งั้นขายไปราคาถูกๆดีกว่าเพื่อจะได้ใจลูกค้า “ราคาที่นี้สมเหตุสมผลมากกว่า ชิ้นที่มีตำหนิสีดำร้านเราขายเพียง 2,500 หยวนต่อจิน

“งั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยหยิบหินหยกขึ้นมาสองชิ้นและมองซ้าย มองขวา

เถ้าแก่หลิวซินบอกไว้แล้ว ซึ่งเธอรีบเลือกชิ้นที่ดีๆทันที
มู่หรงหยิบชิ้นที่มีมรกตหลากสีขึ้นมาและพูดออกมาว่า “งั้นฉันจะซื้อชิ้นที่ถูกนี่ก่อนแล้วกันนะเถ้าแก่ งั้นช่วยคิดราคาทีนะว่าทั้งหมดเท่าไร?”

เหล่าหลิวจ้อง นี่เลือกชิ้นที่แย่ที่สุดเลยงั้นเหรอ?! เป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย? เมื่อคิดอย่างรอบคอบ เด็กสาวคนนี้เห็นชิ้นที่มีตำหนิดำเป็นชิ้นแรก ชิ้นนี้มันมีอะไรพิเศษเนี่ย?! “คุณหนู แน่ใจเหรอว่าอยากได้ชิ้นนี้?”

มู่หรงเสวี่ยมีท่าทางอึดอัดที่จะพูด “ฉันเพิ่งจะฝึกเรื่องการผ่าหยก เลยอยากจะซื้อชิ้นถูกๆไปฝึกดูก่อนและเมื่อมีเทคนิคที่ดีขึ้นแล้วค่อยมาซื้อชิ้นที่แพงๆ”

เหล่าหลิวคิดว่าเธอเป็นเด็กสาว ถ้าขายให้เธอ 2,500 หยวนเขาก็ยังทำกำไรได้อยู่ดี ตอนนี้เขาหยิบชิ้นหินหยกขึ้นมาแล้วเอามาช่างซึ่งหนักประมาณ 53 จิน “คุณหนู หินหยกนี้หนักทั้งหมด 53 จินนะและราคาทั้งหมดก็ 132,000 หยวน อยากจ่ายด้วยเงินสดหรือเครดิตการ์ดดีครับ?”

“โอนธนาคารแล้วกันค่ะ ขอเลขบัญชีด้วยค่ะ” มู่หรงเสวี่ยถาม
หลังจากนั้นสักพัก โทรศัพท์ของเหล่าหลิวก็แสดงข้อมูลว่ามีเงินเข้าบัญชี