บทที่ 62 พรทั้งห้า

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 62
พรทั้งห้า

มู่หรงเสวี่ยพูดกับพนักงานที่ร้านขายหินพนันให้ช่วยเธอขนหินหยกไปเก็บที่โกดังส่วนตัวเธอแล้วจึงกลับไปที่ห้อง

ชางกวรโม่กำลังทำงานอยู่ในห้องทำงาน มู่หรงเสวี่ยจึงไม่ได้เข้าไปรบกวนเขาหรือบอกเรื่องฉินเมิ่งหยาฝากความคิดถึงมาถึงเขา เขายุ่งพออยู่แล้วเธอไม่อยากจะกวนเขาด้วยเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ อีกอย่างวันนี้เธออารมณ์ดีด้วยเพราะได้เจอหยกหลากสีแสนแปลกแบบนั้น เธอจึงรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างมาก

มู่หรงเสวี่ยอารมณ์ดีมากจนอยากที่จะทำอาหารหรูๆสักมื้อ จึงรีบลงมือทำเพราะไม่รู้ว่าชางกวนโม่จะออกมาตอนไหน

หลังจากทานอาหารค่ำเสร็จ ชางกวนโม่ก็เดินกลับไปทำงานต่อ เขาต้องทำเป็นไม่สนใจท่าทางน่ารักของเสี่ยวเสวี่ยเพราะยังมีงานอีกเยอะที่จะต้องทำ อย่างไรก็ตามเสี่ยวเสวี่ยเข้าไปอยู่ข้างๆเขาด้วย ในเวลานี้เธอรู้สึกว่าเขาใจดีและเป็นมิตรอย่างมาก

หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ มู่หรงเสวี่ยก็นั่งอ่านหนังสือเพื่อรอชางกวนโม่อยู่บนเตียง เวลาผ่านไปนานแต่ไฟในห้องทำงานก็ยังเปิดอยู่และก็ยังได้ยินน้ำเสียงเย็นชาของเขาที่กำลังคุยโทรศัพท์ด้วย เธออดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าคนที่พิเศษมากแบบชางกวนโม่จะมาชอบเธอได้ยังไง

หลังจากที่คิดเรื่องนี้อยู่นาน มู่หรงเสวี่ยก็ได้ข้อสรุปว่าสมองของชางกวนโม่ต้องมีปัญหาแน่ๆ!

นี่มันก็ดึกมากแล้วแต่ชางกวนโม่ก็ยังไม่กลับมาที่ห้อง จนในที่สุดมู่หรงเสวี่ยก็เผลอหลับไป

สุดท้ายในที่สุดชางกวนโม่ก็ทำงานเสร็จ เขากลับมาที่ห้องและเห็นมู่หรงเสวี่ยที่เผลอนั่งหลับอยู่ที่ฝั่งของเขา

เขาอดที่จะรู้สึกอบอุ่นในหัวใจไม่ได้ มันช่างดีเหลือเกินที่มีเธอคอยนั่งรอเขาทำงานแบบนี้
ชางกวนโม่หยิบหนังสือในมือเธอออก ค่อยๆอุ้มเธอขึ้น วางเธอนอนราบไปที่เตียงและจึงค่อยๆห่มผ้าให้เธอ ชางกวนโม่เข้าไปอาบน้ำ แล้วทั้งสองก็นอนกอดกันจนหลับไปโดยไม่มีเรื่องอื่นใด

เช้าวันต่อมา มู่หรงเสวี่ยบอกกับชางกวนโม่ที่กำลังยุ่งว่าเธอจะไปดูหินหยก แล้วจึงรีบไปที่ห้องรับรองทนายความ

ผู้คนมากมายมารวมกันอยู่ที่ห้องรับรองแล้ว ซึ่งต่างก็พร้อมที่จะลงพนันกันหมด
ฉินเมิ่งหยาที่รีบไปที่ห้องรับรองทนายความตั้งแต่เช้าตรู่พูดออกมาว่า
“โอ้ เธอที่กล้ามากจริงๆนะที่มา ฉันคิดว่าเธอหนีไปแล้วซะอีก!” เธอมองด้วยสายตาเกลียดชังมาที่มู่หรงเสวี่ย ผู้หญิงคนนี้ขนาดใส่ชุดขาวธรรมดาก็ยังดูดีได้ขนาดนี้เลย

“เดี๋ยวก็ได้เงินพันล้านแล้ว แล้วฉันจะไม่มาได้ยังไงล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยเองก็ตอบไปอย่างเย็นชาเช่นกัน

เธอไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้มั่นใจมาจากไหนแต่เมื่อคิดถึง ชางกวนโม่ ฉินเมิ่งหยาก็ยิ่งเกลียดเธอมากขึ้นไปอีก ผู้ชายที่ดีเลิศขนาดนั้นชอบเธอไปได้ยังไงกัน

“ฮ่า! ก็หวังว่าต่อไปเธอจะยังหัวเราะต่อได้อยู่นะ”

“คุณฉินเมิ่งหยาและคุณมู่หรงเสวี่ยกรุณาเตรียมหินหยกให้พร้อมที่โต๊ะรับรองด้วยนะครับ!” ในเวลานี้มีเสียงประกาศดังออกมา

ฉินเมิ่งหยาและมู่หรงเสวี่ยพูดกับพนักงานที่อยู่ข้างหลังพวกเธอให้นำหินหยกไปที่โต๊ะรับรอง

ผู้ประเมินระดับนานาชาติทั้งสามคนและผู้ประเมินอีกสองคนต่างก็ยืนพร้อมที่เวทีเรียบร้อยแล้ว ที่ปลายทั้งสองของโต๊ะรับรองจะมีผู้อธิบายสองคนและปรมาจารย์ด้านการแกะหินอีกสองคนประจำอยู่ในแต่ละฝั่ง

เพื่อที่จะป้องกันผู้ชมที่จะเข้ามารบกวนผู้ตรวจสอบ รอบๆเวทีจึงล้อมรอบไปด้วยกระจกใสเพื่อที่เหล่าผู้ชมจะได้เห็นผลของการแข่งขันจากด้านนอกเท่านั้น
ในเวลานี้ ผู้ชมเริ่มที่จะถกเถียงกันบ้างแล้ว

“คุณหนูที่อยู่ด้านนั้นคือคุณหนูใหญ่ของตระกูลฉิน ส่วนอีกฝั่งนี่ไม่แน่ใจเลยนะ…”
“ฉันไม่เคยเห็นคนที่สวมชุดขาวมาก่อนเลยเหมือนกัน”

“เห็นที่กระดานประกาศหรือยัง? พวกเขาพนันกันด้วยเงิน 1 พันล้านเลยนะ…”
“ใช่แล้ว พันล้านไม่ใช่เงินน้อยๆเลยนะ ถ้านี่เป็นลูกสาวฉันนะแล้วแข่งแพ้นะฉันจะจับเธอหักขาเลยทีเดียว…”

“แต่ได้ยินมาว่าตระกูลฉินเคยชนะเลิศเรื่องหารพนันหินมาก่อนนะ ส่วนของอีกฝ่ายไม่ค่อยรู้เรื่องเลย”

“จะบ้าเหรอ แค่ดูที่หินหยกก็บอกได้แล้ว สายตาของตระกูลฉินน่ะแหลมคมจะตายไป พื้นผิวของหินหยกที่เลือกมาก็ดีมากๆ แต่ดูของเด็กสาวที่ใส่ชุดขาวสิ เธอกลับเลือกหินหยกที่มีตำหนิสีดำซึ่งต้องไม่ดีแน่ๆ ถ้าหยกที่มีตำหนิดำลึกลงไปที่ผิวแบบนี้ หยกทั้งก้อนก็จะต้องถูกทำลาย…”
“ใช่แล้ว ใครจะชนะน่ะ?”
“ไม่เห็นต้องถามเลย ต้องเป็นสายตาแหลมคมของตระกูลฉินอยู่แล้ว ฉันไม่ได้โง่นะ จะไปชนะด้วยหินหยกที่มีตำหนิดำได้ยังไงกัน…”
“เฮ้ๆ ฉันเห็นด้วย…”
“……”

ฉินเมิ่งหยาที่อยู่บนเวทีหัวเราะให้กับหินหยกของ มู่หรงเสวี่ย โง่อะไรขนาดนี้ถึงได้เลือกหินหยกที่มีตำหนิดำมาเนี่ย “มู่หรงเสวี่ย เธอต้องเรียนรู้ที่จะเห่าเหมือนหมาแล้วนะ กล้าดียังไงเอาหินหยกที่มีตำหนิดำมาแข่งกับฉันเนี่ย?”

มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจเธอ เธอเพิ่งใช้สายตาวิเศษมองเข้าไปในหินหยกของฉินเมิ่งหยา อ๊า มันมีหลากสีจริงๆแต่สีน้อยกว่าของเธอนิดหน่อย ชิ้นที่ฉินเมิ่งหยาเลือกมามีสามสีซึ่งก็เป็นหยกที่หาได้ยากมากเหมือนกัน เธอไม่นึกเลยว่าฉินเมิ่งหยาคนนี้จะไม่ธรรมดาจริงๆ
ไม่ช้าพนักงานก็ยกหินหยกของทั้งสองไปให้ปรมาจารย์ด้านการแกะทั้งสองคนที่ได้รับแต่งตั้งมาอย่างเป็นทางการ

เจ้าแห่งการแกะหินทั้งสองของห้องรับรองทนายความเป็นมือหนึ่งในวงการนี้ ทักษะของพวกเขายอดเยี่ยมมากและก็มากประสบการณ์ด้วย ในการเริ่มต้นของการตัด หินหยกของทั้งสองไม่ได้เป็นสีเขียวแต่เป็นสีขาวของดอกไม้

เพียงแค่มีดแรกยังไม่มีใครตื่นเต้นอะไรแต่เมื่อลงมีดครั้งที่สอง
ผู้ชมต่างก็พูดออกมา “มันเป็นสีเขียว เจอสีเขียวเร็วจัง”
“ตระกูลฉินนี่สมควรที่จะได้เหรียญทองจริงๆ อายุยังน้อยอยู่เลย เธอต้องมีอนาคตไกลแน่ๆแบบนี้”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ฉันพนันข้างตระกูลฉินไปแล้วด้วย”
“ใครจะไม่พนันข้างตระกูลฉินบ้างล่ะ? ไม่ว่ายังไงตระกูลฉินก็ต้องชนะอยู่แล้ว”
“…”

ฉินเมิ่งหยาก็ได้ยินเสียงที่พูดคุยของผู้ชมเช่นกันและเธอก็พอใจเป็นอย่างมาก ถึงแม้สีเขียวจากการตัดหินหยกของเธอจะไม่มากแต่มันก็พอมองออกว่าเป็นหยกสีเขียวใสที่มีพื้นผิวที่ดีมาก มันสวยงามมากๆ ก่อนหน้านี้เธอกังวลนิดหน่อยแต่ในตอนนี้เธอกลับมาสงบแล้ว

มองไปที่หินหยกของมู่หรงเสวี่ย ตำหนิดำจากการตัดครั้งที่สองก็ยังเห็นได้ชัดอยู่มาก ซึ่งเดาได้ว่าตำหนิดำนี้คงจะลงลึกเข้าไปมากเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามสีหน้าของมู่หรงเสวี่ยก็ไม่มีร่องรอยความตื่นตระหนกอะไรเลยซึ่งทำให้ฉินเมิ่งหยาที่ฝันว่าจะได้เห็นความอับอายของเธอไม่ค่อยพอใจเท่าไร

มู่หรงเสวี่ยเพียงแค่รู้สึกเบื่อและไม่กังวลเลยสักนิดเพราะรู้ผลลัพธ์อยู่แล้วงั้นจะกังวลไปเพื่ออะไร
ครั้งที่สามหลังจากการตัดก็ยังมีเสียงฮือฮาจากด้านล่างเพิ่มขึ้นมาอีก
เหตุผลก็เพราะมีสีเขียวและสีแดงปรากฏออกมาจากหินหยกของฉินเมิ่งหยา ซึ่งคนด้านล่างจะมองไม่ออกว่ามันเป็นลายหินอ่อนได้ยังไง? ที่สำคัญที่สุดคือพื้นผิวของหยกก็ยังดีเยี่ยมซึ่งเทียบได้กับกระจกเลยก็ว่าได้
“พระเจ้า มันเป็นมรกตสองสี”
“สีสวยมากเลยจริงๆ”
“ครั้งนี้คุณหนูตระกูลฉินชนะขาดลอยแน่ๆ ดูของแม่หนูที่อยู่ฝั่งโน้นสิ ยังไม่เจอสีเขียวเลยด้วยซ้ำ”

“ใช่ นี่ครั้งที่สามแล้วนะ…”

ฉินเมิ่งหยาอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจจนต้องยิ้มอย่างมีความสุขออกมา มันเป็นหยกสองสีจริงๆด้วย ครั้งนี้คุณปู่จะต้องภูมิใจในตัวเธอมากแน่ๆ ฮ่าฮ่า!”

และชิ้นของมู่หรงเสวี่ยหลังจากการตัดครั้งที่สาม ตำหนิสีดำดูจางลงมากแต่ก็ยังมีตำหนิสีดำอยู่ถึงแม้จะเห็นไม่ชัดเท่าไรแต่ก็ยังไม่เจอสีเขียวเลย อาจารย์ตัดหินก็กังวลนิดหน่อยแล้วเหมือนกัน ยังไงซะหินที่เขากำลังแกะอยู่ในมือก็จะต้องเป็นสีเขียว ถ้าเขาจัดการไม่ได้เร็วกว่านี้จะต้องมีผลกับชื่อเสียงปรมาจารย์ตัดหินของเขาแน่ๆ ชื่อเสียงเขาจะต้องเสียหาย คงไม่มีใครกล้ามาขอให้เขาแกะหินให้อีกแน่ๆ
ลงมีดครั้งที่สีก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
และทางฝั่งของฉินเมิ่งหยาก็เริ่มที่จะเจียระไนหินแล้ว การเจียระไนหินก็เพื่อป้องกันความเสียหายของหยก จึงต้องค่อยๆขัดทีละนิดๆ
ลงมีดครั้งที่ห้า หินหยกของมู่หรงเสวี่ยเริ่มที่จะเป็นสีเขียวแล้ว

มีเสียงฮือฮาดังขึ้นมาจากด้านล่างแต่สาเหตุไม่ใช่เพราะหินหยกที่เป็นสีเขียวของมู่หรงเสวี่ย แต่เป็นเพราะหินหยกของฉินเมิ่งหยาที่มีสีเหลืองปรากฏออกมาซึ่งกลายเป็นหยกสามสีไปแล้วจริงๆ

“โอ้ พระเจ้า สวยเหลือเกิน”
“ฉันไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสได้เห็นสามเซียนแบบนี้”
“งั้นเหรอ? ถึงแม้จะมีหยกสองสีอยู่น้อยแต่ก็ยังพอหาได้ตามท้องตลาด แต่หยกสามสีมันไม่เหมือนกัน ปกติแล้วพวกมันจะไม่ถูกเอามาขายตามท้องตลาด ถึงแม้จะมีคนมาขอซื้อแต่ก็ไม่ได้ซื้อกันได้ง่ายๆ”

“นี่คงจะเป็นสมบัติของตระกูลฉิน”

“ตอนนี้ดูเหมือนว่าเกือบจะชัดเจนแล้วนะว่าใครชนะหรือใครแพ้ และทุกอย่างก็กระจ่างแล้วด้วย ถึงแม้หินหยกของเด็กสาวในชุดขาวจะมีเขียวเหมือนกัน, พื้นผิวของทั้งสองจะเหมือนกัน ทั้งสองต่างก็ใสเหมือนกันและถ้าเป็นการแข่งในร้านหินพนันทั่วไป ก็คงจะเป็นผู้ชนะแต่วันนี้มีสามเซียน…”
“…”
การที่ตัดออกมาแล้วเจอหยกสองสีก็ทำให้ฉินเมิ่งหยาประหลาดใจพออยู่แล้ว แต่แล้วก็ได้เห็นหินหยกที่มีสามสี นี่ราวกับได้ตั๋วรางวัลชนะเลิศเลย เธอมองตรงไปที่มู่หรงเสวี่ยด้วยสายตาดูถูกอีกครั้ง

แต่เพียงไม่นานเธอก็ขำไม่ออก เมื่อได้เห็นว่าหินหยกของมู่หรงเสวี่ยที่ตัดออกมาก็มีสามสีเช่นกัน มันเป็นไปได้ยังไง…เมื่อคิดถึงเงินพันล้านหยวน ฉินเมิ่งหยาก็เริ่มรู้สึกแย่ขึ้นมาเลย…ไม่นะ ถึงแม้มู่หรงเสวี่ยจะมีสามสีเหมือนกันแต่ก็เท่ากับเสมอ…ไม่ได้แพ้ซะหน่อย

เสียงพูดคุยของผู้ชมเริ่มจะดังมากขึ้น พระเจ้า หินสามเซียนสองชิ้นช่างเปิดโลกของพวกเขาจริงๆ แม้แต่มือของปรมาจารย์ด้านการแกะหินทั้งสองก็ยังสั่นเล็กน้อยไปด้วย พวกเขาไม่คิดเลยว่าในชีวิตนี้จะมีโอกาสได้แกะหินสามเซียนด้วยมือพวกเขาเองและชีวิตนี้พวกเขาก็ไม่เสียดายแล้ว
หลังจากเวลาผ่านไปนาน ทั้งหมดก็ต้องเงียบลงหลังจากที่หินหยกทั้งสองถูกแกะเสร็จเรียบร้อย หินหยกของมู่หรงเสวี่ยผสานกันเป็นห้าสี มันสวยงามมากจนแม้แต่มู่หรงเสวี่ยเองที่รู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วก็ยังอดที่จะตาพร่ามัวไปเพราะความสวยของหยกไม่ได้
ทันใดนั้นก็มีเสียงฮือฮาดังขึ้นมาอีกครั้ง
“พระเจ้า นี่มันพรทั้งห้าเลยนะเนี่ย!”
“มันเป็นพรทั้งห้าในตำนานเลยนะ ถ้าเป็นฉันที่แพ้แต่มันก็คุ้มค่ามาก”
สิ่งที่เรียกว่า “พรทั้งห้า” ถูกอ้างอิงมาจากจีนโบราณที่พูดกันถึงพรทั้งห้า คือ ความสุข, ความมั่งคั่ง, ความอายุยืน, แข็งแรงและร่ำรวย ซึ่งต่างก็เป็นตัวหลักของพรห้าประการแบบดั้งเดิม

ในโลกของอัญมณีและหยกต่างก็เชื่อมหยกที่สีสวยที่สุดทั้งห้าสีกับพรทั้งห้าด้วย ซึ่งสีเฉพาะจะมีดังนั้น สีแดงเป็นตัวแทนของความมั่งคั่ง นั่นคือ “ความมั่งคั่ง”
สีเขียวหมายถึงเงินทอง นั่นคือ “ลู่” สีขาวหมายถึงอายุยืน นั่นคือ “ความอายุยืน” สีเหลืองหมายถึงความร่ำรวย “นั่นคือความร่ำรวย” สีม่วงหมายถึงงานรื่นเริง นั่นคือ “ความสุข”
หยกหวู่ฟู่ หลินหมินคือหยกที่มีห้าสีที่แตกต่างกัน ซึ่งยากที่จะนึกภาพห้าสีที่แตกต่างกันได้ (การรวมกันของสี: แดง, เหลือง, เขียว, ม่วงและขาว) ที่จะมาปรากฏพร้อมกันอยู่บนหยกชิ้นเดียวได้ ดังนั้นหยกหวู่ฟู่ หลินหมินจึงเกือบจะถูกจัดอยู่ในระดับทฤษฎีและมันยากมากที่จะเห็นมันถูกประมูลขายอยู่ในตลาดได้ ดังนั้นหยกหวู่ฟู่ หลินหมินจึงเป็นคอลเล็กชั่นที่มีค่าอย่างมาก