บทที่ 63 เหรียญแห่งชัยชนะ

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 63
เหรียญแห่งชัยชนะ

ฉินเมิ่งหยายืนอย่างไร้สติอยู่ที่อีกฝั่ง เป็นไปได้ยังไง? นี่เธอเพิ่งเจอหยกที่ดีมากอย่างสามเซียนแล้วนะ แต่ก็ยังแพ้

เธอไม่ได้ยินเสียงดังที่อยู่รอบๆเลย ตอนนี้เธอคิดแต่เพียงว่าเธอแพ้ให้กับผู้หญิงชั้นต่ำคนนี้ แล้วเธอจะประนีประนอมได้ยังไงบ้าง?!!! เรื่องนี้จะต้องกระจายไปทั่วแน่ๆ! สายตาแห่งความชื่นชมของทุกคนจะต้องเป็นของเธอสิ เป็นไปได้ยังไงกัน?! ทำไมถึงไม่เป็นเธอ?!

เมื่อมู่หรงเสวี่ยเห็นสีหน้าที่ซีดเผือดของฉินเมิ่งหยา เธอไม่รู้สึกสงสารเลยสักนิด ความรู้สึกสงสารของเธอหายไปตั้งแต่ชีวิตที่แล้วแล้ว

หลังจากที่กรรมการประกาศผู้ชนะ มู่หรงเสวี่ยก็เดินช้าๆไปที่ฉินเมิ่งหยา “คุณฉินเมิ่งหยา ได้เวลาที่คุณจะต้องทำตามสิ่งที่พนันไว้แล้วนะคะ”

สีหน้าของฉินเมิ่งหยาเปลี่ยนจากซีดเป็นดำ สลับไปสลับมาและริมฝีปากของเธอก็สั่นรัว “…” แต่กลับไม่มีเสียงอะไรดังออกมา

มู่หรงเสวี่ยไม่กลัวว่าเธอจะเบี้ยว ห้องรับรองทนายความไม่ใช่แค่ที่ตัดสินผู้ชนะหรือผู้แพ้เท่านั้น ถ้ามีใครปฏิเสธที่จะรับรู้ความพ่ายแพ้ ทางสำนักทนายความจะประกาศผลของการแข่งขันนี้ให้ทั้งโลกได้รู้พรุ่งนี้ แล้วจะประกาศรายละเอียดทั้งหมดทั้งทางสื่อและอินเทอร์เน็ตด้วย

สำนักทนายความไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของตระกูลไหน และไม่ไว้หน้าใครแค่เพราะฉินเมิ่งหยาเป็นลูกสาวของตระกูลเก่าแก่ด้วย จึงเป็นเรื่องที่ยากที่จะเบี้ยว

“ทำไมคะ คุณอยากที่จะเบี้ยวงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยไม่ใจดี ถ้าเป็นเธอที่แพ้ ฉินเมิ่งหยาคงจะรุนแรงกับเธอกว่านี้แน่
ผู้บริหารระดับสูงของห้องรับรองเอกสารได้ยินเรื่องนี้จึงเดินเข้ามาร่วมด้วย “คุณฉินเมิ่งหยา กรุณาทำตามข้อตกลงการพนันด้วย ไม่งั้นคุณจะได้รู้ความน่ากลัวของพวกเรา”

“ฉัน…แน่นอน ฉันไม่เบี้ยวหรอกน่า…ฉันมีเวลาเตรียมตัวอีก 10 วันไม่ใช่เหรอ?! จะเร่งอะไรกันเล่า?” ยังปากเก่งอยู่นิดหน่อยแต่ก็ขาดความมั่นใจไปมาก

มู่หรงเสวี่ยพอใจกับหน้าซีดๆของเธออยู่นานก่อนที่จะพูดว่า “เอาเป็นว่าถ้าคุณไม่มีเงินมาจ่ายหนึ่งพันล้าน คุณจะเอาหยกมาจ่ายค่าพนันก็ได้นะ ฉันยอมรับได้เหมือนกัน”

หยกสามเซียนมีขนาดประมาณ 10 จินและถ้าเอาไปเจียระไนดีๆให้เป็นสร้อยข้อมือน่าจะมีค่าหลายสิบล้านเลย นอกจากนี้จากที่มองด้วยสายตา หยกนี่น่าจะเอาไปทำสร้อยข้อมือได้อย่างน้อยก็ 20 เส้นเลย นี่ยังไม่รวมส่วนที่เหลืออีกนะที่สามารถเอาไปทำเป็นจานหยกกับจี้ได้อีกหลายชิ้น ราคา 1 พันล้านก็ไม่น่าจะมากหรือน้อยเกินไป

“เธอไปแล้ว นี่เธอยังอยากได้สมบัติของฉันอีกเหรอ หยกของฉันมีค่ามากกว่า 1 พันล้านนะ!” ฉินเมิ่งหยาเบิกตากว้างและจ้องอย่างไม่พอใจไปที่มู่หรงเสวี่ย ถ้าเธอกลับบ้านไปพร้อมหยกสามเซียนนี้ บางทีที่บ้านอาจจะไม่ด่าเธอเรื่องที่เธอพนันด้วยเงินพันล้านหยวนก็ได้ แต่ถ้าเธอไม่เอากลับไปด้วย เธอต้องโดนด่าแน่ๆ

“ในเมื่อคุณไม่ต้องการแบบนั้น ฉันก็ไม่ชอบบังคับใครด้วย แต่ดูเหมือนคุณจะลืมไปเรื่องหนึ่งนะคะ”

หน้าของฉินเมิ่งหยาซีดลงกว่าเดิมอีก
มู่หรงเสวี่ยแสยะและพยายามที่จะนิ่งไว้ เป็นไปได้ยังไง “อย่าลืมที่จะเห่าสามครั้งต่อหน้าผู้คนด้วยนะคะ…คุณฉิน…”

“แก…แก…”
“ทำไมคะ คุณจะไม่ทำงั้นเหรอ?! งั้นฉันคงต้องปล่อยให้เป็นปัญหาของทางห้องรับรองแล้ว…”

ตัวของฉินเมิ่งหยาสั่นไปหมดและมองไปที่ผู้คนที่อยู่ด้านล่างเวที หลายคนมาจากตระกูลเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง ถ้าวันนี้เธอเห่าที่นี่ เธอคงไม่มีหน้าที่จะเข้าไปในตระกูลไหนแน่ๆ นี่ไม่ต้องพูดถึงการเข้างานสังคมเลยด้วย

“เธอ…เธอ…เธอจะให้ฉันทำแบบนั้นได้ยังไง…” ในเวลานี้ ฉินเมิ่งหยายังโมโหและอวดดีเหมือนกับตอนแรกไม่มีผิด น้ำตาเอ่อล้นในตาและน้ำตาที่ไม่สามารถจะปล่อยให้ไหลออกมาได้ยิ่งเจ็บปวดมากกว่า ในตอนนี้ราชสีห์กลับกลายเป็นหนูน้อยในทันที
ที่เวทีผู้คนเริ่มที่จะซุบซิบกันแล้ว

“จะให้เห่าเหมือนหมาได้ยังไง? ใครเป็นคนตั้งกฎนี้เนี่ย?”
“ไม่รู้สิ เดาว่าพวกเธอสองคนคงเกลียดกันมาก ฉันไม่ชอบเลยเวลาที่พวกคนชั้นสูงต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้”

“แต่คุณหนูตระกูลฉินคงจะอับอายน่าดูเลย”
“ในความคิดฉันนะ มันเกินไปหรือเปล่าที่จะให้เห่าเหมือนหมาน่ะ…”
“เอ๊ะ ฉันคิดว่าชื่อมู่หรงเสวี่ยก็ฟังดูคุ้นๆเหมือนกันนะ…”
“ไม่นะ ฉันไม่เคยได้ยินเลย…”
“ฉันก็เหมือนกัน ไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลย…”
“…”
จริงๆแล้วมู่หรงเสวี่ยไม่ได้มีเจตนาที่จะให้เธอเห่าจริงๆหรอก เธอไม่ได้อยากที่จะเข้าไปยุ่งกับตระกูลฉินแห่งเมืองหลวง ทางสำนักทนายความไม่ได้กลัวเรื่องการแก้แค้น ถ้าเป็นเธอคนเดียว เธอก็คงไม่กลัว เหตุผลเดียวที่เธอกลัวก็คือตระกูลฉินจะเอาความโกรธไปลงกับมู่หรงกรุ๊ป แบบนั้นคงจะแย่แน่ๆ หลังจากที่คิดเรื่องนี้ เธอจึงพูดออกไปว่า “งั้น ถ้าคุณยอมที่จะใช้หยกสามเซียนมาจ่ายแทนเงินหนึ่งพันล้านหยวน ฉันก็จะไม่สนใจเรื่องการเห่า”

“เธอ…เธอ…” ฉินเมิ่งหยากัดฟันกรอด อันที่จริงเธอไม่มีเงินพันล้านหยวนแต่เธออยากที่จะใช้หยกสามเซียนนี้มาเป็นหน้าเป็นตาของเธอ

ตอนนี้เธอไม่มีเงินพันล้านและก็ไม่กล้าที่จะพูดเรื่องนี้กับครอบครัวด้วย ดูเหมือนว่าทางเลือกที่ดีที่สุดคือการใช้หยกสามเซียนนี้เพื่อจ่ายหนี้

มู่หรงเสวี่ยไม่ได้เร่งรีบ แต่ค่อยๆเพลิดเพลินอยู่กับความกังวลของฉินเมิ่งหยา
หลังจากเวลาผ่านไปนาน ฉินเมิ่งหยาก็ตัดสินใจและพูดออกไปด้วยความเกลียด “งั้นหยกแห่งความมั่งคั่งและอายุยืนก็เป็นของเธอแล้ว” แล้วเธอก็รีบวิ่งหนีออกไป วันนี้ช่างเป็นวันที่เสียศักดิ์ศรีจริงๆ

“คุณมู่หรง จะขายหินหยกทั้งสองชิ้นนี้ไหมครับ?”
“ใช่ ราคาต่อรองกันได้นะ”
“ฉันขอซื้อชิ้นมั่งคั่งกับอายุยืนในราคา 1.5 พันล้าน”
“1.6 พันล้าน…”
“…”
มีเสียงการเสนอราคาของผู้คนดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่องแล้วมู่หรงเสวี่ยก็พูดขัดขึ้นมา “ขอโทษนะคะทุกคน ฉันไม่ได้คิดว่าจะขายหยกทั้งสองชิ้นนี้ค่ะ!” หลังจากนั้นเธอก็คิดว่าจะบอกให้พนักงานขนหยกกลับไปที่ห้องเธอ
“น่าเสียดายนะที่ไม่ขาย”
“มันไม่ใช่ของที่จะขายกันทั่วไป ใครกันอยากจะขายหยกที่ดีมากขนาดนั้น…”
“ก็จริงอ่ะนะ”
“อ่า? ฉันจำได้แล้วว่าเธอเป็นใคร”
“ใครเหรอ? ใครกัน”
“เธอคือเจ้าแห่งการพนันของเมือง A ไง เธอเคยเจอหยกจักรพรรดิตั้งสองครั้งแน่ะ”
“จริงเหรอ?! หยกจักรพรรดิเลยเหรอ?! คิดว่าเป็นผักกาดขาวหรือไง…”
“เรื่องจริงนะ ชิ้นหนึ่งถูกคุณชายของตระกูลชางกวนซื้อไปด้วย…”
“พระเจ้า เจ้าแห่งการพนัน”
“เห็นไหม ครั้งนี้เธอแกะได้พรทั้งห้าเลยนะ มันหายากกว่าตายอีกนะ ทำไมฉันไม่โชคดีแบบนี้บ้างนะ?”

“อย่าพูดแบบนั้นสิ คุณมู่หรงคนนี้เหมาะกับคุณชายหลิน คุณชายเล็กมากเลยนะ”
“…”
ในตอนนี้ มู่หรงเสวี่ยที่กลับมาที่ห้องแล้วซึ่งไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองสร้างเรื่องอะไรไว้ ในไม่ช้าในวงสังคมของเมืองหลวง มู่หรงเสวี่ยชื่อของเจ้าแห่งการพนันหินก็ดังไปทั่วแล้ว

มู่หรงเสวี่ยกำลังมีความสุขอยู่กับมรกตหลากสีที่อยู่บนโต๊ะในห้องนั่งเล่น
ชางกวนโม่เดินกลับเข้ามา แตะที่หัวของมู่หรงเสวี่ยและถามด้วยรอยยิ้ม “นี่คือหยกสองชิ้นที่ทำให้เธอดังวันนี้น่ะเหรอ?”

อะ?! “กลับมาแล้วเหรอ? ดูสิ สวยไหมคะ?” มู่หรงเสวี่ยมีท่าทางตื่นเต้นกับชัยชนะของตัวเองมาก

“ฮ่าฮ่า สวยสิ! แต่ทำไมไม่บอกฉันล่ะว่าวันนี้เธอจะไปพนัน” เขาไม่พอใจเล็กน้อยเพราะถ้าเขารู้ก็จะได้ไปกับเธอด้วย ฉินเมิ่งหยาเป็นพวกชอบเอาชนะ เขากลัวว่ามู่หรงเสวี่ยจะโดนรังแก

มู่หรงเสวี่ยนวดที่ฝ่ามือของเขาซึ่งทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก “คุณยุ่งไม่ใช่เหรอ? ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ฉันจัดการได้…”

ชางกวนโม่อุ้มมู่หรงเสวี่ยขึ้นมานั่งบนขาเขา เอามือกอดรอบเอวเธอ “ฉันอยากรู้ทุกเรื่องของเธอไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่นะเสี่ยวเสวี่ย!”

“อ่า! ตกใจหมดเลย…งั้นต่อไปฉันจะเล่าให้คุณฟังทุกเรื่อง ฉันเบื่อจะตาย…” มู่หรงเสวี่ยกลอกตา

น่ารักอะไรขนาดนี้! ท่าทางการกลอกตาของเธอก็น่ารักมากเหมือนกัน ชางกวนโม่ที่กำลังอยู่ในตำแหน่งที่พอเหมาะก็อดไม่ได้ที่จะจูบลงที่ริมฝีปากแดงของเธอ

หลังจากเวลาผ่านไปนานกว่าที่ชางกวนโม่จะปล่อยเธอ แล้วก็มองไปที่หยกสองชิ้นที่อยู่บนโต๊ะและพูดออกมาช้าๆ “ขายสองชิ้นนี้ให้ฉันได้ไหม?”

“มีอะไรเหรอ? ครั้งที่แล้วคุณก็ซื้อหยกจักรพรรดิจากฉันไปสองชิ้นแล้วนะ คุณจะเอาหยกดีๆไปทำอะไรเยอะแยะ?” มู่หรงเสวี่ยไม่เชื่อว่าเขาโลภจนอยากจะได้หยกดีๆของเธอ เวลาที่เธอพูดถึงเรื่องหยก ชางกวนโม่มักจะมีสีหน้าเศร้าเสมอ

ชางกวนโม่เงียบไปนาน แล้วก็ค่อยเปิดปากพูด “เอามันไปช่วยคน…”
ช่วยคนงั้นเหรอ?! เธอไม่รู้ได้ยังไงว่าหยกดีๆสามารถช่วยคนได้… “พี่โม่ นี่ล้อฉันเล่นหรือเปล่า? หยกจะช่วยคนได้ยังไงคะ?”

ชางกวนโม่ถอนหายใจแล้วพูดต่อว่า “ฉันไม่ได้ล้อเล่น ฉันมีหุ้นส่วนที่เป็นเหมือนน้องสาว ในตอนนั้นฉันสนิทกับเธอมาก เธอเคยโคม่า เคยไปหาหมอดังๆมาทั่วแล้วแต่ต่างก็บอกว่าช่วยอะไรไม่ได้ แล้วก็มีหมอจีนโบราณบอกว่าสามารถรักษาสัญญาณหัวใจเธอไว้ได้ด้วยหยกดีๆรอจนกว่าจะเจอวิธีรักษา ฉันไม่เชื่อเรื่องนี้ หลังจากที่ฉันซื้อหยกจักรพรรดิที่เธอขายให้ในตอนนั้นมาแล้วก็เอาไปวางข้างๆเตียงเธอ สีหน้าของเธอก็ดีขึ้นมาก…”

ช่างเป็นโรคที่แปลกจริงๆ “พี่โม่ พาฉันไปหาเธอได้ไหม ฉันพอจะมีทักษะเรื่องการรักษาอยู่บ้าง”

ชางกวนโม่รู้ว่าเธอมีความสามารถมาก ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถรักษาผู้เฒ่าโม่ได้ แต่เขากลัวว่าเธอจะเข้าใจเขาผิด ว่าที่เขาเข้าหาเธอเพราะสนใจเรื่องทักษะการรักษาของเธอ อันที่จริงในตอนแรกเขาไม่ได้สนใจอะไรเธอเลย แต่ยิ่งเขาอยู่กับเธอมากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งสนใจเธอมากขึ้นเท่านั้น

จนตอนนี้เป้าหมายหลักในตอนแรกไม่สำคัญอีกแล้ว เขาเพียงแค่อยากให้เธออยู่ข้างๆเขาทั้งตัวและหัวใจ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว

“ขอบคุณนะเสี่ยวเสวี่ย…และฉันรักเธอนะ…”
“ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก ด้วยความสัมพันธ์ของเราในตอนนี้ ฉันยินดีจะช่วยคุณ” มู่หรงเสวี่ยเองที่ยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ที่อกของชางกวนโม่