“น่าขัน ข้าเป็นหมอมานานหลายปี แม้แต่ชีพจรครรภ์ยังตรวจไม่พบได้อย่างไร? ”
ใบหน้าของแม่นมฮวาเต็มไปด้วยความผิดหวัง นางมองเยี่ยโยวเหยาที่ยังคงสงบนิ่ง และเหลือบมองซูจิ่นซีที่มีท่าทีสงบนิ่งเช่นกัน ทั้งยังมองไปที่ใบหน้าจริงจังของหมอเทวดาหวา แม่นมฮวาอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าจะพูดอันใดอีก
นึกไม่ถึงว่าในเวลานี้ คำพูดชวนประหลาดใจของเยี่ยโยวเหยาจะทำลายความเงียบทั้งหมดลง
“ดูเหมือน ข้ายังต้องพยายามต่อไป! ”
???
ซูจิ่นซีพลันหันศีรษะไปมองใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาด้วยความประหลาดใจ แก้มของนางแดงระเรื่อ ทว่าเยี่ยโยวเหยา บุรุษผู้นี้ทำราวกับไม่สนใจ เขาจับมือซูจิ่นซีอย่างเงียบงัน
เดิมทีคำพูดของเขาก็เพียงพอที่จะทำให้แม่นมฮวาและหมอเทวดาหวาจินตนาการไปไกลแล้ว กอปรกับท่าทางกุมมือเช่นนี้ ยิ่งทำให้คิดเลยเถิดไปกันใหญ่
ทันใดนั้นแม่นมฮวาที่มีท่าทางผิดหวังยิ่งนัก ก็รู้สึกตื่นเต้นยินดี
“ถูกต้อง! แหะ แหะ ท่านอ๋องตรัสได้ถูกต้องเพคะ! แหะ แหะ… ”
“แม่นมฮวา! ”
ซูจิ่นซีพูดเสียงต่ำด้วยใบหน้าแดงก่ำ
แม่นมฮวายังคงแย้มยิ้ม
หมอเทวดาหวาชำนาญเรื่องการสังเกตสีหน้า เมื่อรู้ว่าซูจิ่นซีกำลังรู้สึกอึดอัดและขุ่นเคือง จึงรีบฉุดแม่นมฮวาให้เดินออกไป
“ท่านอ๋อง พระชายา กระหม่อมและแม่นมฮวาขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ! ”
แม่นมฮวาด้านหนึ่งถูกหมอเทวดาหวาดึงออกไปด้านนอก อีกด้านหนึ่งก็หันศีรษะกลับมา “เฮ้ หมอเทวดาหวา ท่านดึงข้าทำอันใด? ข้ายังมีเรื่องสำคัญต้องคุยกับท่านอ๋อง! ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ทูลเตือนพระชายา! ท่านอย่าดึง อย่าดึง! เฮ้ ท่านดึงจนข้าเจ็บไปหมดแล้ว ปล่อยมือ ปล่อยมือ รีบปล่อยมือข้า! ”
หมอเทวดาหวากับแม่นมฮวาออกไปแล้ว ลวี่หลีเข้าใจความคิดของซูจิ่นซีดีที่สุด โดยทั่วไปแล้ว นางไม่ควรเข้ามาก้าวก่ายเรื่องเช่นนี้ ดังนั้นลวี่หลีจึงหลบอยู่ในห้องและไม่ออกมา แสงแห่งรุ่งอรุณสาดส่องเข้ามาในเรือน ราวกับเหลือเพียงเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีเท่านั้นที่อยู่ในบรรยากาศอันเงียบสงบซึ่งมีแสงสีเหลืองทองอร่ามทอแสงมายังโลก
ไม่รู้เพราะเหตุใด ตอนนี้ซูจิ่นซีรู้สึกไม่เหมือนเดิม หัวใจของนางเต้นแรง พวงแก้มแดงก่ำ นางลุกขึ้นเดินไปที่เรือนอวิ๋นไคเพื่อปกปิดความเขินอายของตนเอง
“หม่อมฉัน… หม่อมฉันดื่มชาเสร็จแล้ว ขอตัวกลับก่อนนะเพคะ! ”
ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับคว้ามือซูจิ่นซีและดึงรั้งนางไว้ ทำให้เท้าของนางสูญเสียการทรงตัว นางจึงล้มลงไปในอ้อมกอดของเยี่ยโยวเหยา
ทันใดนั้น ดวงตาสดใสงดงามของซูจิ่นซีก็สบเข้ากับดวงตาดำขลับของเยี่ยโยวเหยา ท่ามกลางบรรยากาศคลุมเครือ แสงไฟตกกระทบพวกเขาทั้งสอง
ซูจิ่นซีรีบหันหน้าไปทางอื่น
“เยี่ยโยวเหยา ท่านปล่อยมือ! ”
“ไม่ปล่อย! ”
“ท่าน… หยาบคาย! ”
เยี่ยโยวเหยายกยิ้มมุมปากเล็กน้อย แสดงท่าทีอันแสนอบอุ่นของบุรุษ จากนั้นจึงเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้หูของซูจิ่นซีอย่างเชื่องช้า
“ซีซี หากข้าไม่หยาบคายบ้าง จะแสดงความรักต่อเจ้าได้อย่างไร? ”
ซูจิ่นซียิ่งก้มศีรษะลงต่ำ
“ซีซี เจ้าต้องการหรือไม่? ”
ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปากแน่น ค่อยๆ เงยหน้ามองเยี่ยโยวเหยาพลางขมวดคิ้ว นางกำลังจะพูดอันใดบางอย่าง แต่เยี่ยโยวเหยากลับแย่งพูดก่อนว่า “อยากมีลูกสักคนหรือไม่? ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่นทันที
เยี่ยโยวเหยาเผยรอยยิ้มมุมปาก “จากที่ข้าเห็น ซีซีกับข้าต่างมีใจให้กัน เมื่อครู่… เจ้าหวั่นไหวอย่างชัดเจน”
เมื่อเห็นแววตาเปล่งประกายของซูจิ่นซี กอปรกับพวงแก้มที่แดงระเรื่อ ก็รู้ว่าซูจิ่นซีคิดเกินเลยไปแล้วจริงๆ
“ข้าอยากมีลูกแล้ว ดังนั้น… ซีซี พวกเรามาร่วมหอกันก่อนเถิด! ”
ลมหายใจอันอบอุ่นค่อยๆ ไหลผ่านหัวใจของซูจิ่นซี ทำให้ในใจของนางรู้สึกวาบหวาม ความรู้สึกนั้นเดือดพล่านมาถึงจมูก ดวงตาทั้งคู่พลันเปล่งประกายระยิบระยับ
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็มองเยี่ยโยวเหยาด้วยสายตาลึกซึ้งและประหลาดใจ อย่างไม่รู้ว่าควรพูดอันใดดี
เยี่ยโยวเหยามองซูจิ่นซีด้วยสายตาลึกซึ้งเช่นกัน เขาค่อยๆ ลูบไล้มือไปบนแก้มนุ่มนวลเรียบเนียนของซูจิ่นซี
“เยี่ยโยวเหยา! ”
ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปาก พลางเรียกชื่อเยี่ยโยวเหยาด้วยความรักและเสน่หา
ดวงตาเย็นชาของเยี่ยโยวเหยา ในเวลานี้เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่มีให้ซูจิ่นซีเพียงผู้เดียว “ซีซี เจ้าว่าดีหรือไม่? ”
แววตาของซูจิ่นซีส่องประกาย นางมองลึกเข้าไปในดวงตาของเยี่ยโยวเหยา
ดวงตาคู่นั้นทั้งดำขลับและลึกซึ้ง
ความลึกลับของเขา จิตใจที่สง่าผ่าเผยของเขา ชาติบ้านเมืองในใจของเขา ทั้งความรับผิดชอบต่อหน้าที่และภาระอันหนักอึ้งที่เขาต้องแบกรับ นอกจากนั้น เขายังไม่อาจให้ผู้ใดล่วงรู้ถึงความอดทนและความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ภายใน
ทว่าสิ่งเหล่านี้ ซูจิ่นซีกลับมองไม่ออก และเยี่ยโยวเหยาก็ไม่ต้องการให้นางเข้าใจ
ทุกสิ่งที่นางมองเห็นคือดวงตาดำขลับลึกซึ้งที่อยู่บนใบหน้าหล่อเหลาคมคาย
“ซีซี… ยินดีหรือไม่? ”
เยี่ยโยวเหยาถามอีกครั้ง
“เยี่ยโยวเหยา หม่อมฉัน… ”
ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปากกำลังจะตอบ ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
ซูจิ่นซีตกใจในทันที กระแสเลือดร้อนพลันพุ่งตรงไปที่ศีรษะ นางพูดเสียงเบาว่า “มีคนมา” และผละออกจากอ้อมกอดของเยี่ยโยวเหยา
ผู้ที่เดินเข้ามาคือพ่อบ้าน เมื่อได้เห็นฉากการแสดงความรักอันลึกซึ้งของเจ้านายทั้งสองท่าน ก็ทำให้รู้สึกอึดอัดเขินอายอยู่บ้าง เขากำลังจะเดินจากไป แต่กลับถูกซูจิ่นซีเรียกเอาไว้
“พ่อบ้านมีเรื่องอันใด? ”
พ่อบ้านจึงต้องหันหลังกลับมา
อย่างไรก็ตาม พ่อบ้านรับใช้ข้างกายเยี่ยโยวเหยามาหลายปี ย่อมเข้าใจนิสัยของเยี่ยโยวเหยาดีที่สุด ตอนนี้ใบหน้าเย็นชาของนายท่านต้องแสดงออกอย่างไม่พอใจเป็นแน่ พ่อบ้านทำความเคารพ ก่อนจะเหลือบมองใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาอย่างเงียบงัน และเห็นใบหน้าของเยี่ยโยวเหยากำลังบึ้งตึงจริงๆ
ทว่าเขาทำได้เพียงกัดฟันพูดถึงสาเหตุที่ต้องมารบกวน
“ท่านอ๋อง พระชายา แม่นางเหม่ยเจียมาขอพบพ่ะย่ะค่ะ! ”
เว่ยเหม่ยเจีย?
หากพ่อบ้านไม่ได้กล่าวถึง ซูจิ่นซีก็แทบลืมไปแล้วว่ายังมีบุคคลผู้นี้อยู่
ความทุกข์ภายในใจของเยี่ยโยวเหยาพลันปรากฏบนใบหน้า ทว่าเขาไม่ได้พูดอันใด
ซูจิ่นซีถาม “ลูกผู้น้อง? นางมาทำอันใด? ”
“ทูลพระชายา แม่นางเหม่ยเจียบอกว่าต้องพบท่านอ๋องก่อนจึงจะยอมบอกพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้นางไสหัวไป! ”
หลังสิ้นเสียงพูดของพ่อบ้าน เยี่ยโยวเหยาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน
พ่อบ้านมีท่าทีตกใจ แต่เขารู้ดีว่าเวลานี้เจ้านายของตนกำลังเดือดดาล จึงตอบรับและหันหลังเดินออกไปจากเรือนชิงโยว
หลังจากถูกพ่อบ้านทำเสียเรื่อง แม้เยี่ยโยวเหยาจะรู้สึกขุ่นเคือง ทว่าเขาไม่ได้นำมาระบายอารมณ์กับซูจิ่นซีเหมือนเมื่อก่อน
เยี่ยโยวเหยาลุกขึ้นจูงมือซูจิ่นซี พาเดินไปทางตำหนักฝูอวิ๋น
ซูจิ่นซีพลันรู้สึกประหม่า
“เยี่ยโยวเหยา หม่อมฉัน… หม่อมฉันยังมีเรื่องต้องทำเพคะ”
“เรื่องอันใด? ”
ซูจิ่นซีครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว นางกรอกตาไปมาพลางแต่งเรื่องที่สมเหตุสมผลเรื่องหนึ่ง
“ฝึกฝนระบบถอนพิษ! ใช่ ฝึกฝนระบบถอนพิษ เนื่องจากตอนที่อยู่ในแดนต้องห้ามของสกุลจง ระบบถอนพิษได้รับเมล็ดพันธุ์สมุนไพร มันจึงเพิ่มระดับสูงขึ้น แม้ตอนนี้ระบบถอนพิษจะสามารถปลูกยาสมุนไพรได้เอง ทว่าหม่อมฉันยังใช้งานได้ไม่คล่อง ก่อนหน้านี้ตอนที่ต้องรับมือกับสารพิษของแคว้นไหวเจียง นึกไม่ถึงว่ายังขาดยาสมุนไพรบางชนิด ดังนั้นหม่อมฉันจึงต้องการจัดระเบียบโครงสร้างภายในของระบบถอนพิษสักครั้งเพคะ”
“แค่เรื่องนี้หรือ? ”
ซูจิ่นซีไม่รู้เจตนาของเยี่ยโยวเหยา หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบครู่หนึ่ง จึงตอบว่า “แค่เรื่องนี้เพคะ”
เยี่ยโยวเหยาจึงจูงมือซูจิ่นซีเดินไปยังตำหนักฝูอวิ๋นต่อ
“ฝึกที่ตำหนักฝูอวิ๋นของข้าก็เหมือนกัน ข้าไม่รบกวนเจ้าแน่นอน”
ซูจิ่นซีพูดไม่ออก!
สิ่งที่ทำให้ซูจิ่นซีประหลาดใจคือ เยี่ยโยวเหยาไม่รบกวนนางจริงๆ
เมื่อเข้าไปในตำหนักฝูอวิ๋น เขาก็จัดแจงงานราชสาส์นอยู่ที่โต๊ะทรงอักษร เหลือพื้นที่ว่างทั้งตำหนักให้ซูจิ่นซี
เมื่อครู่ซูจิ่นซีพูดว่าต้องการฝึกฝนระบบถอนพิษ ความจริงแล้วไม่ได้เป็นเพียงข้ออ้าง ระบบถอนพิษจำเป็นต้องให้นางจัดระเบียบสักครั้งจริงๆ ดังนั้นซูจิ่นซีจึงนั่งไขว้ขาอยู่บนตั่ง ตั้งสมาธิเข้าสู่ระบบถอนพิษและเริ่มต้นจัดระเบียบ
อย่างไรก็ตาม พลังจิตของซูจิ่นซีเพิ่งเข้าสู่ระบบถอนพิษ ทันใดนั้น นางก็ถูกสิ่งลึกลับที่ไม่รู้จักบินกระแทกจนเกือบหมดสติ
นี่มัน… เกิดอันใดขึ้นกันแน่?