ตอนที่ 635 กลับสู่สำนักเต๋อซั่น / ตอนที่ 636 มาก่อกวน

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 635 กลับสู่สำนักเต๋อซั่น

 

 

หากอิงจากข้อเท็จจริงแล้ว ซูหลีสอบติดขุนนางแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมาที่สำนักเต๋อซั่นอีก

 

 

ตั้งแต่สำนักเต๋อซั่นก่อตั้งมาก นางเป็นคนแรกที่สอบผ่านการสอบเคอจวี่

 

 

ซึ่งทำให้คนทั้งสำนักเต๋อซั่นล้วนดีใจโดยแท้

 

 

ทว่านี่มีความนัยว่า ซูหลีจะหลุดพ้นจากสำนักเต๋อซั่นและกลับไปอยู่ที่จวนแล้ว

 

 

นางพลันฉุกคิดได้ว่า อยากจะถือโอกาสใช้เวลาไม่กี่วันนี้ไปที่สำนักเต๋อซั่นสักครั้งหนึ่ง เพื่อนำของที่เหลืออยู่ที่นั่นกลับมา และดูสถานที่ที่นางอาศัยจนใกล้จะครบปีปราดหนึ่ง

 

 

หากพูดอย่างจริงจัง เวลาที่ซูหลีอยู่ในสำนักเต๋อซั่น ส่วนใหญ่ล้วนมีแต่ความสุข

 

 

ได้รู้จักสหายจำนวนไม่น้อย

 

 

แม้คนเหล่านั้นจะเป็นคุณชายเจ้าสำราญมีชื่อเสียงในเมืองหลวง ทว่าหลังจากใกล้ชิดกับพวกเขาแล้ว ก็ทำให้รู้สึกว่าพวกเขานั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกสำนักฉยงสือที่โอ้อวดว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถเลย อีกทั้งยังเที่ยงตรงกว่าคนเหล่านั้นเสียด้วย

 

 

ซูหลีรู้สึกชื่นชอบสำนักเต๋อซั่น

 

 

แม้ในตอนแรกนางจะมาที่นี่เพราะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงก็ตาม

 

 

“เอ๋!” เมื่อรถม้าหยุดเคลื่อนตัว ซูหลีจึงเดินลงจากรถม้าและเข้าไปภายในสำนัก

 

 

เวลานี้สีท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว ทั่วทุกสารทิศนั้นปกคลุมไปด้วยความมืด ภายในสำนักเต๋อซั่นนั้นดูเงียบสงัดมาก

 

 

ซูหลีมาเยือนอย่างเงียบเชียบเช่นนี้ ก็ไม่สร้างความตกใจและรบกวนผู้อื่น นางมองสำนักเต๋อซั่นที่เงียบสงัดในยามค่ำคืนครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินกลับเรือนขาวของตนเองไป

 

 

วันนี้นางเหนื่อยเหลือเกิน นางถูกฉินเย่หานกระทำเช่นนั้นหลายต่อหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของนางเพิ่งจะเคยได้รับเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรก จะทนรับกับเรื่องแบบนี้ได้ที่ไหนกัน ทันทีที่กลับถึงเรือนขาว ซูหลีก็เอนศีรษะหลับไปอีกทันที

 

 

การนอนหลับในครั้งนี้เป็นการหลับค่อนข้างลึก อีกทั้งยังหลับสนิทเป็นพิเศษ

 

 

 

 

ทันทีที่นางตื่นขึ้น ดวงตะวันที่อยู่นอกหน้าต่างก็เพิ่งเริ่มขึ้น ซูหลีหรี่ตาลงอย่างไม่คุ้นชิน เมื่อไม่มีไป๋ฉินและเย่ว์ลั่วติดตามอยู่ข้างกาย การรู้สึกตื่นนี้ถึงเป็นไปตามธรรมชาติ เป็นสิ่งที่นางไม่ได้ทำมานานแล้ว

 

 

นางลุกขึ้นนั่งบนเตียงคิดอะไรเรื่อยเปื่อย หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ถึงได้ลุกขึ้นแต่งตัวและมัดผม จากนั้นก็เดินไปที่สำนักเต๋อซั่น

 

 

“เอ๋ นี่เป็นเรื่องจริงหรือ ซูหลีถูกแต่งตั้งเป็นเซ่าซือขั้นหนึ่งระดับล่างอย่างนั้นหรือ”

 

 

“นี่ยังสามารถจะเป็นเรื่องเท็จได้อีกหรือ ข้าได้ยินมาว่าเช้าวันนี้มีคนในวัง นำของกำนัลไปส่งที่จวนสกุลซูแล้ว”

 

 

“เฮ้อ ซูหลีมีอนาคตกว้างไกลโดยแท้ วันก่อนยังถูกฮ่องเต้ลงโทษอยู่เลย หลังจากนั้นอีกวันเขาก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางเสียแล้ว…”

 

 

ซูหลีเดินไปถึงด้านนอกของห้องเรียนก็ได้ยินเสียงคนคุยกัน เมื่อฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เนื้อหาในบทสนทนาทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องของนาง

 

 

นางเลิกคิ้วขึ้นทันใด และฉีกยิ้มออกมาบางๆ ดูเหมือนว่านางไม่อยู่ที่สำนักเต๋อซั่น สหายร่วมห้องเรียนของนางก็ยังคิดถึงนางเป็นอย่างมาก!

 

 

“พูดอะไรกันอยู่ มัวสุมหัวกันกระซิบกระซาบกันอยู่ได้!” เมื่อซูหลีคิดได้เช่นนี้ จึงตวัดพัดในมือของตนให้คลี่ออก และเดินเข้าไปในห้องเรียนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

 

 

“ไม่มีอะไรขอรับ ท่านอาจารย์…” คนที่จับกลุ่มคุยกันเมื่อครู่ ทันใดนั้นก็คล้ายกับนกที่แตกรังมิปาน รีบกระจายออกจากกลุ่มสนทนา

 

 

ที่สำคัญก็คืออาจารย์ผู้สอนในสำนักเต๋อซั่น มีอาจารย์คนหนึ่งที่เป็นคนหัวสมัยเก่าเป็นอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่เห็นพวกเขาพูดคุยกัน คำพูดประโยคแรกที่เขาพูดจะเป็นคำพูดที่ซูหลีเอ่ยเมื่อครู่นี้

 

 

ทันทีที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ ทุกคนก็ไม่ได้คิดอะไรมาก และคิดว่าอาจารย์ท่านนั้นมาแล้ว ใครจะคิดว่าทันทีที่แหงนศีรษะจะพบซูหลียืนอยู่ตรงหน้าทุกคน

 

 

“ซูหลี!” หวงฮ่าวเอ่ยอย่างตกใจ “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร!? เจ้ายังกล้าสวมรวยเป็นอาจารย์ จิ๊!”

 

 

“สวมรอยเป็นอาจารย์อะไรกัน ใครสวมรอยเป็นอาจารย์กัน พูดจาส่งเดช!” เมื่อซูหลีเลิกคิ้วขึ้น นางก็เอ่ยด้วยความโกรธอย่างไม่ลังเล “หูข้างไหนของเจ้าได้ยินข้าสวมรอยเป็นอาจารย์กัน”

 

 

หากพูดเรื่องการปะทะฝีปากกัน ทั้งสำนักเต๋อซั่นยากจะมีคนต่อกรกับซูหลีได้ หวงฮ่าวรีบหยุดพูด ไม่เอ่ยกับซูหลีให้มากความ

 

 

“ไยจู่ๆ เจ้าถึงโผล่มาที่นี่ได้” จี้ฉินหยุดชะงักไปวูบหนึ่ง จากนั้นเดินเข้าไปหาอยู่ข้างกายซูหลีด้วยรอยยิ้ม และเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา

 

 

“ข้ามาไม่ได้รึ” ซูหลีกวาดตามองเขาปราดหนึ่งและเอ่ยว่า “จะพูดอย่างไร ข้าก็เป็นศิษย์ของสำนักเต๋อซั่นนะ!”

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 636 มาก่อกวน

 

 

“มาได้สิ เพียงแต่เจ้าเพิ่งถูกแต่งตั้งเป็นขุนนางมิใช่หรือ เดินทางมาที่นี่ในเวลานี้คงจะไม่เหมาะสมกระมัง” เจียงไห่ที่อยู่ด้านข้างเอ่ยต่อ

 

 

“ใช่ พวกเรายังคิดว่าเจ้าจะไม่กลับมาแล้ว” แม้แต่คนที่พูดน้อยที่สุดอย่างเซี่ยเสียน ก็ยังพูดเอ่ยเสริมอย่างอดไม่ได้

 

 

ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงโบกมือไปมา และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “จะไม่กลับมาได้อย่างไร แม้ว่าจะออกไปแล้ว เช่นนั้นก็ควรจะเลี้ยงสุราทุกคนเสียก่อน ต้องสนุกกันก่อนถึงจะออกไปได้ มิเช่นนั้นที่ข้าคิดถึงสำนักเต๋อซั่นอยู่ตั้งนาน นั่นมิใช่คิดถึงอย่างเปล่าประโยชน์หรือ”

 

 

ทันทีที่นางเอ่ยเช่นนี้ คนที่อยู่ด้านล่างต่างพากันหัวเราะ

 

 

เดิมทีนางหายหน้าหายตาไปหลายเดือน ทั้งยังสอบผ่านการสอบเคอจวี่อย่างรวดเร็ว มิหนำซ้ำบัดนี้ยังถูกแต่งตั้งเป็นขุนนางอีก นี่จึงทำให้ผู้คนเกิดความห่างเหิน

 

 

เพียงแต่หลังจากนางมีอนาคตที่เจิดจรัสแล้ว คำพูดเพียงไม่กี่ปะโยคของนางก็เหมือนกับกลับมาเป็นดังแต่ก่อน ตอนที่ทุกคนนั้นมีสถานภาพที่เหมือนกัน

 

 

คนในสำนักเต๋อซั่นจึงผ่อนคลายลง และกลับมาหัวเราะเสียงดังอย่างเป็นธรรมชาติ

 

 

“ดังนั้นเจ้าจะพาพวกเราไปเที่ยวเตร่เมื่อไหร่กัน” ฉินมู่ปิงมองนางและเอ่ยกับนางด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

 

 

“ถือโอกาสเอาฤกษ์ดีตอนนี้ ก็คือวันนี้” ซูหลีเป็นคนที่ไม่หวั่นเกรงเรื่องใด นางเลิกคิ้วขึ้น ทันทีที่ตบมือก็กำหนดวันเวลาไว้เรียบร้อยแล้ว

 

 

ทว่าเมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ คนที่อยู่โดยรอบต่างมองหน้ากัน

 

 

นางไม่ต้องเรียนหนังสือที่นี่ต่อไปแล้ว ทว่าพวกเขาไม่ใช่เช่นนั้นเสียหน่อย หากไม่ใช่เพราะมีเรียน พวกเขาจะปรากฏตัวที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่ขนาดนี้ทำไม

 

 

“ทำไมรึ ไม่กล้าหรือ” ซูหลีชำเลืองมองพวกเขาที่ไม่พูดไม่จา จากนั้นจึงยิ้มบางและเอ่ยอย่างเยาะเย้ย

 

 

“มีอะไรที่ไม่กล้ากัน!”

 

 

“เช่นนั้นก็ไปเถอะ!”

 

 

“พวกเราปีนกำแพงออกไปเที่ยวก็ไม่ใช่ครั้งสองครั้งแรก!” คนในสำนักล้วนเป็นคุณชายที่ใช้เงินอย่างสนุกสนาน จะกลัวเรื่องเสียเงินที่ไหนกัน ทุกคนต่างพากันเคาะโต๊ะตกลงในทันที

 

 

“ได้ ข้ารู้แล้วว่าทุกคนไม่รู้สึกกลัว ไปกันเถอะ พวกเราออกไปเที่ยวกัน เรื่องวันนี้เป็นซูหลีที่เป็นคนต้นคิด หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าจะเป็นคนรับผิดชอบเอง!” ซูหลีตบอกตัวเอง แสดงท่าทีที่กล้าหาญ

 

 

“พอเถิด ไม่ใช่เพิ่งจะถูกลงโทษหรือ”

 

 

“วันไหนเขาไม่ถูกลงโทษ ในใจคงจะคันยิบๆ!”

 

 

“ฮ่าๆๆๆ!”

 

 

ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะซูหลี ทว่ากลับเคลื่อนไหวกันไม่หยุดหย่อน ต่างฝ่ายต่างเก็บข้าวของของตนเอง กลุ่มคนเดินอย่างทะนงองอาจตามหลังซูหลีไป และเดินไปนอกห้องเรียน

 

 

“เจ้า! พวกเจ้า!” คิดไม่ถึงว่าทันทีที่เดินออกจากประตูก็พบกับอาจารย์ซึ่งเป็นผู้สอนในวันนี้ อาจารย์ท่านนั้นถูกหมู่คณะของพวกเขาทำให้ตกใจ อาจารย์ชี้ที่พวกเขาอยู่นาน ทว่ากลับไม่เอ่ยอะไรออกมาสักประโยค

 

 

“อาจารย์ วันนี้ทุกคนกำลังอารมณ์ดี ก็ไม่ต้องเรียนอะไรแล้ว พวกเราจะออกไปเที่ยวเล่น อาจารย์ก็พักผ่อนก่อนเถิด ลาก่อนขอรับ!” ซูหลีเดินหยุดอยู่ด้านข้างของอาจารย์ท่านนั้นด้วยใบหน้าทะเล้น จากนั้นพูดอธิบาย…ไม่สิ ควรจะบอกว่านางแจ้งเรื่องนี้กับอาจารย์ท่านนี้ จากนั้นพาทุกคนเดินออกนอกประตูไป

 

 

“เจ้า! ซูหลี! พวกเจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้นะ!” พวกเขาเดินออกไปแล้ว เหลือเพียงอาจารย์ท่านนั้นไว้ด้านหลัง เมื่อร่างของพวกเขาค่อยๆ หายไป จึงโมโหจนล้มพับไป

 

 

โดยปกติยามซูหลีอยู่ในสำนักเต๋อซั่นถือว่าเป็นคนดื้อรั้น คิดไม่ถึงว่าแม้คนผู้นี้จะไม่ใช่คนของสำนักเต๋อซั่นแล้ว ก็ยังสามารถนำผู้อื่นก่อเรื่องเช่นนี้ได้

 

 

พวกซูหลีเพิ่งจะเดินออกไป ส่วนทางด้านอาจารย์ผู้สอนในสำนักเต๋อซั่นก็พาอาจารย์ผู้ดูแลไปรายงานเรื่องทั้งหมดนี้กับฮ่องเต้

 

 

เขารายงานว่าซูหลีผู้นั้นไม่แยแสกฎเกณฑ์ของสำนักเต๋อซั่น โดยการนำนักเรียนทุกคนมุ่งออกจากสำนักเต๋อซั่นยามกลางวันแสกๆ พวกเขาจะขัดขวาง ก็ขัดขวางเอาไว้ไม่ได้!

 

 

หลายปีมานี้ไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้สักครั้งหนึ่ง เหล่าผู้เฝ้ายามของสำนักเต๋อซั่นยังไม่ทันจะมีกิริยาโต้ตอบ พวกซูหลีก็เดินออกไปเสียแล้ว