ตอนที่ 637 มีเรื่องในใจหรือ / ตอนที่ 638 เชิญไปดื่มชา

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 637 มีเรื่องในใจหรือ

 

 

ในห้องเรียนที่ระเกะระกะเหลือเพียงอาจารย์ที่กำลังโมโหเท่านั้น

 

 

ยามอาจารย์ของสำนักเต๋อซั่นไปรายงานเรื่องนี้ ฉินเย่หานอยู่ในห้องทรงอักษรพอดี ส่วนด้านข้างยังมีขุนนางจำนวนไม่น้อย พวกเขากำลังยืนหารือเรื่องราชการอยู่

 

 

ทันทีที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ ใบหน้าของทุกคนก็กระตุกอย่างห้ามไม่ได้

 

 

คนที่กล้าบ้าบิ่นมากที่สุดเช่นนี้ทั้งใต้หล้ามีเพียงซูหลีเท่านั้น!

 

 

ก่อนหน้านี้พวกเขายังชมนางอยู่เลย กล่าวว่านางสร้างคุณงามความดีให้กับราชวงศ์ต้าโจว โดยการควบคุมยับยั้งโรคระบาดเอาไว้ได้

 

 

ในเวลานี้กลับก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่เอ่ยชมซูหลีเหล่านั้นแทบจะตบปากตนเองสักสองฉาด

 

 

ใครใช้ให้เจ้าปากมาก!

 

 

ฉินเย่หานคิดอย่างไร ซูหลีไม่รู้ เพียงนำคนกลุ่มนี้ในสำนักเต๋อซั่นไปที่หอหร่วนเซียง

 

 

วันนี้พวกเขาไม่ได้ขี้ขลาดถึงขนาดนั้น ในเมื่อชื่นชอบแม่นางทั้งหลาย นางก็พาพวกเขามาหาแม่นาง

 

 

เพราะยังเป็นช่วงกลางวัน หอหร่วนเซียงยังไม่เปิดร้านก็ถูกเคาะประตูเสียแล้ว

 

 

คนที่มาเยือนเป็นคนกลุ่มหนึ่ง

 

 

เด็กรับใช้ที่เปิดประตูเดิมที่ดวงตาทั้งสองข้างแทบจะลืมตาไม่ขึ้นแล้ว เมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินมุ่งเข้ามา เขายังคิดว่าร้านของพวกเขาทำเรื่องอะไรผิดแล้ว เขาจึงรู้สึกตกใจไปครู่หนึ่ง

 

 

คิดไม่ถึงว่าเหล่าคุณชายในสำนักเต๋อซั่นจะออกมาหาความสุขใส่ตัวกันในเวลาเช้าเช่นนี้

 

 

ในเวลานั้นเด็กรับใช้ถึงอ้ำอึ้งตาค้างไป ทว่าเขาอ้ำอึ้งได้ไม่นาน ถูกแท่งทองคำของซูหลีดึงสติกลับมา

 

 

“ไปสิ ไปเรียกแม่นางในหอหร่วนเซียงของพวกเจ้าออกมาให้หมด วันนี้ข้าจะเหมาทั้งหมดนี่เอง!” ทันทีที่ใบหน้าเล็กของซูหลีเชิดขึ้น ก็เปิดปากเอ่ยทันทีว่าจะเหมาหอหร่วนเซียง

 

 

“ขอรับๆๆ” มีเงินหารายได้ ใครไม่ทำก็คือเป็นคนเขลาแล้ว เด็กรับใช้ผู้นั้นขานรับติดต่อกันทันที จากนั้นจึงเข้าไปด้านในและตะโกนปลุกแม่นางในหอหร่วนเซียงทั้งหมดให้ตื่นขึ้น

 

 

ทันใดนั้นหอโคมเขียวที่ไม่เคยเปิดยามกลางวันก็คึกคักขึ้นเป็นอย่างมาก

 

 

ความคึกคักทางด้านนี้ยาวนานต่อเนื่องไปตลอดทั้งวัน เหล่าแม่นางในหอบุปผาก็ต้องใช้ลูกไม้ทั้งหมดที่มี ทั้งขับร้องทั้งเต้นระบำก็ยังไม่รื่นเริง จนถึงช่วงสุดท้ายซูหลีคว้าแม่นางผู้หนึ่งเข้ามาในอ้อมกอด เตรียมหยิบสุราป้อนแม่นางผู้นั้น

 

 

นางที่ถูกคนโดยรอบหัวเราะเยาะและกล่าวว่า ใบหน้าของนางนั้นมีกลิ่นอายของสตรีมากกว่าแม่นางผู้นั้นเสียอีก พฤติกรรมเช่นนี้มากระทำออกมากลับให้ความรู้สึกถึงความขัดแย้งไม่เข้ากัน

 

 

ซูหลีหาได้สนใจแม้แต่น้อย นางเพียงคิดว่าคนเหล่านี้กำลังชื่นชมนาง และฉีกยิ้มแต่ไม่พูดไม่จา

 

 

ในมือฉินมู่ปิงที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลถือจอกชาเอาไว้อยู่ เขาจ้องมองซูหลีตาไม่กะพริบ

 

 

ซูหลีนั้นอยู่ในความฮึกเหิมเช่นนี้ตลอดทั้งวัน เห็นได้ชัดว่านางไม่แตะสุราแม้แต่หยดเดียว ทว่ากลับบ้าคลั่งยิ่งกว่าคนที่ดื่มสุราเสียอีก

 

 

แม้ในยามปกตินางชอบก่อเรื่องวุ่นวาย ทว่าก็ไม่เคยถึงจุดนี้

 

 

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดฉินมู่ปิงมองกิริยาท่าทางของนางแล้ว กลับรู้สึกได้ว่านางไม่มีความสุขมากนัก อีกทั้งยังดูเหมือนอารมณ์หดหู่

 

 

ซูหลีในเวลานี้ทั้งกระโดดโลดเต้น ทำให้ทุกคนดูแล้วล้วนรู้สึกว่าฉินมู่ปิงคิดมากเกินไป ทว่าน่าแปลกมากที่เขารู้สึกเช่นนี้

 

 

รอยยิ้มของนางดูเหมือนจะไม่ถึงดวงตา

 

 

ตำแหน่งเซ่าซือขั้นหนึ่งระดับล่าง มีขุนนางจำนวนมากที่คลุกคลีอยู่ในสนามขุนนางเป็นเวลาหลายสิบปีก็ยังไปไม่ถึงระดับสูงนี้ได้ ได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางแล้ว นางก็ยังไม่มีความสุขหรือ นี่เป็นเพราะเหตุใดกัน

 

 

ที่จริงแล้วฉินมู่ปิงรู้สึกว่าเมื่อวานต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน ทว่ารายละเอียดของเรื่องเป็นอย่างนั้น เขาก็มองไม่ออกเช่นกัน

 

 

จนกระทั่งตกดึกคนภายในหอหร่วนเซียงต่างพากันแยกย้ายกลับไปแล้ว วันนี้แม้แต่จี้ฉินกับเซี่ยเสียนก็ยังเมาสุราแล้ว ซูหลีสั่งให้คนไปส่งพวกเขาที่สำนักเต๋อซั่น ทำให้ภายในที่นี่เงียบสงบลง

 

 

เมื่อตกอยู่ในความเงียบ รอยยิ้มบนใบหน้าของซูหลีก็ค่อยๆ เลือนหายไป

 

 

“เป็นอะไรรึ มีเรื่องในใจหรือ” มีเสียงที่เต็มไปด้วยความทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านหลัง ซูหลีผงะไปเล็กน้อย นางหันศีรษะกลับมองก็พบกับฉินมู่ปิงที่ยืนอยู่ด้านหลังนาง

 

 

ในดวงตาของเขามีความคลุมเครือ ดวงตาคู่หนึ่งวูบไหวเมื่อเขายืนอยู่ในความมืด จึงกลมกลืนเหมือนเป็นสิ่งเดียวกัน

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 638 เชิญไปดื่มชา

 

 

ซูหลีมองเขาอยู่นาน จากนั้นจึงหรี่ตาของตนลง

 

 

ฉินมู่ปิงในเวลานี้กับฉินมู่ปิงที่นางเคยใกล้ชิดเมื่อหนึ่งปีก่อน มีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก

 

 

ที่จริงเขาไม่ได้เอ่ยอะไรมากนัก ทว่าซูหลีเพียงมองที่ดวงตาคู่นั้นของเขา ซึ่งแตกต่างจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิง นี่เป็นสิ่งที่นางรู้สึกได้

 

 

ใบหน้าของนางวูบไหวเล็กน้อย ที่จริงถึงแม้นางจะอารมณ์ไม่ดีนัก แต่ก็แค่รู้สึกหดหู่บ้างก็เท่านั้น

 

 

ข้อแรกคือนางชื่นชอบบรรยายของสำนักเต๋อซั่นมาก แม้บัดนี้จะหลุดพ้นจากสำนักเต๋อซั่นแล้ว ไม่ว่าอย่างไรในใจนางก็รู้สึกผิดหวัง ข้อสอง…ก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลวงก่อนหน้านี้

 

 

ที่จริงแล้วซูหลีทราบดีว่า ฝ่าบาททรงมิได้ลงโทษนาง อีกทั้งยังหลับตาข้างลืมตาข้างต่อเรื่องของนาง ฝ่าบาทยังแต่งตั้งนางเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ไม่ว่าใครก็รู้สึกว่า นี่เป็นเรื่องดีเป็นอย่างยิ่ง

 

 

ทว่าสิ่งที่ซูหลีไม่ทราบอย่างชัดเจนก็คือ นี่เป็นเพราะนางมีความสามารถโดนเด่นกว่าผู้อื่น ถึงได้ตำแหน่งเซ่าซือนี้ หรือ…เป็นเพราะนางใช้ร่างกายของตนเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกัน

 

 

ที่จริงเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องสืบเสาะไปถึงต้นต่อ เพียงแต่บางครั้งเมื่อซูหลีครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ในใจก็ไม่สบายเท่าไรนัก

 

 

ชีวิตของสองชาติก่อนของนางรวมกัน เรื่องที่นางไม่เคยทำที่สุด ก็คงจะเป็นเรื่องกามตัณหาปรนนิบัติผู้อื่น บัดนี้หากเป็นเพราะสาเหตุนี้ จึงทำให้ได้ตำแหน่งเซ่าซือนี้แล้วละก็ อย่างไรในใจนางก็คงรู้สึกเกลียดชังไม่มากก็น้อย

 

 

เพราะว่านี่เป็นเพียงความรู้สึกในใจของนาง นางไม่ได้เอ่ยกับใครทั้งสิ้น แม้แต่สาวใช้ข้างกายทั้งสองที่ใกล้ชิดกับนางที่สุดก็ยังไม่รู้

 

 

ฉินมู่ปิงพลันเอ่ยประโยคเช่นนี้ขึ้น ทำให้ซูหลีตกใจเป็นอย่างมาก

 

 

“เวลาก็ยังเช้าอยู่ ไม่รู้ว่าใต้เท้าซูมีเวลาไปดื่มชากับข้าหรือไม่” ซูหลีไม่พูดอะไรออกมา ฉินมู่ปิงเห็นดังนั้นจึงก้าวเท้าออกมาจากความมืด และถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

 

 

ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงดึงสติกลับมาทันที นางเหลือบตามองไปที่เขา ในดวงตามีความคลุมเครือและเอ่ยว่า “ในเมื่อซื่อจื่อมีความสนใจเช่นนี้ แน่นอนว่าซูหลีไม่ปฏิเสธน้ำใจ”

 

 

ตลอดหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมานี้ ซูหลีมีความสงสัยฉินมู่ปิงบางเรื่องมาโดยตลอด ทว่าพบปะกันนานถึงขนาดนี้แล้ว ฉินมู่ปิงก็ยังไม่หลุดพิรุธอะไรออกมา นางก็ไม่ได้สืบสวนต่อ

 

 

เพียงแต่จู่ๆ ฉินมู่ปิงก็เรียกนางในสถานการณ์เช่นนี้ อีกทั้งยังใช้สีหน้าเช่นนี้ต่อนางอีก ซูหลีอดคิดมากไม่ได้

 

 

ขณะนี้ก็ยังถือว่าเช้าอยู่ อีกทั้งเห็นสีหน้าที่เปิดเผยของฉินมู่ปิง ซูหลีก็ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวอะไร อย่างไรวันนี้นางก็พาชุยตานออกมาด้วย

 

 

“เชิญเถิด” ฉินมู่ปิงเหลือบตาขึ้นมองนางครู่หนึ่ง มีประกายความลุ่มลึกเป็นอย่างมากพาดผ่านในดวงตา

 

 

ซูหลีผงะเล็กน้อย มองที่เขาอยู่พักหนึ่งแล้วผงกศีรษะตามเขาเดินออกจากหอหร่วนเซียงไป

 

 

หลังจากฉินมู่ปิงพาซูหลีออกไปแล้ว กลับไม่ได้พานางไปที่เงียบสงบอะไรนัก ทันทีที่เขาหมุนกายก็ไปที่หอสุยอวิ๋นที่ครึกครื้นที่สุด และสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์หาห้องรับรองส่วนตัวสักห้อง จากนั้นนำซูหลีเข้าไปด้านใน

 

 

“ไปเอาปี้หลัวชุนชั้นดีมาก่อนหนึ่งกา” ฉินมู่ปิงมองไปทางเสี่ยวเอ้อร์คนนั้นด้วยแน่วแน่ กิริยาท่าทางดูสบาย เป็นตัวของตัวเอง คล้ายกับเชิญซูหลีมาดื่มชาเท่านั้นก็มิปาน

 

 

เพียงแต่ในใจของซูหลีทราบดีว่า หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ฉินมู่ปิงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ บัดนี้จู่ๆ กลับมาหานาง ทั้งยังเลือกเวลานี้อีก เขาจักต้องมีอะไรต้องการพูดกับนางแน่

 

 

เพียงแต่เขาไม่ปริปากพูด นางก็ไม่ชิงถามก่อนเช่นกัน

 

 

คนที่ต้องการพูดอะไรบางอย่างคือฉินมู่ปิง ไม่ใช่นางเสียหน่อย

 

 

“จะว่าไปแล้วนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเรามาที่หอสุยอวิ๋น ทว่ากลับไม่เคยลิ้มรสชิมชาของที่นี่ วันนี้ใต้เท้าซูก็มาลิ้มรสเสียหน่อยเถิด แม้หอสุยอวิ๋นจะเป็นหอสุรา ทว่าน้ำชาก็เป็นที่หนึ่ง!”