ตอนที่ 639 มีอะไรก็เอ่ยตามตรง
หลังจากเสี่ยวเอ้อร์ยกกาน้ำชาและจอกชาสองใบที่มีความงดงามประณีตวางลง จากนั้นหมุนกายเดินออกไป ตอนก้าวออกนอกประตูจึงใช้มือจับประตูห้องรับรองและปิดลง
ทันทีที่ประตูห้องปิด ฉินมู่ปิงก็เปิดปากเอ่ย เพียงแต่การพูดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ ดูเหมือนกับเป็นคำพูดที่ไม่มีความสลักสำคัญอะไร
ซูหลีได้ยินดังนั้นสีหน้ากลับสงบเยือกเย็น เพียงแต่เหลือบตาเห็นริมฝีปากของฉินมู่ปิงที่ยิ้มแย้ม เขารินชาจอกหนึ่งให้ซูหลีอย่างไม่สะทกสะท้าน จากนั้นจึงดันจอกชาจอกนั้นไปทางซูหลี
“ลองชิมดูสิ” เขายกมือขึ้น ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม
ฉินมู่ปิงในเวลานี้กลับดูสง่าผ่าเผย ไม่เหมือนกับกิริยาท่าทางที่ไม่เอาถ่านในยามปกตินั้นเลย ช่างดูแตกต่างกันมาก นี่กลับทำให้เขามีกลิ่นอายของผู้สืบสายราชนิกุลขึ้นมาหลายส่วนโดยแท้ เพียงแค่เวลาในพริบตาเดียวกลับเต็มไปด้วยความสูงศักดิ์
ในเวลานี้หากมีผู้อื่นอยู่ละก็ เกรงว่าคงจะตกใจจนแม้แต่คางก็ยังร่วงหล่นลงมา
อย่างไรยามที่ฉินเย่หานอยู่ภายนอก เขาก็มักจะใช้กิริยาท่าทางเยาะเย้ยถากถางสังคมปฏิบัติต่อทุกคน
ทว่ายังดีที่แม้ซูหลีจะรู้สึกตกใจ ทว่าเป็นเพราะก่อนหน้านี้มีการคาดคะเนต่างๆ นานา ดังนั้นใบหน้าของนางจึงยังนิ่งเฉย นางเพียงมองไม่ออกเท่านั้นว่า ฉินมู่ปิงกระทำเช่นนี้มีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่
เมื่อซูหลีครุ่นคิดได้เช่นนี้จึงหวนสติกลับมาได้ นางเหลือบตาชำเลืองมองจอกชาครู่หนึ่ง ใบชาสีเขียวอ่อนลอยอยู่ในจอกชา พร้อมกับน้ำชาสีเหลืองอ่อนโชยกลิ่นหอมสะอาด
เป็นอย่างฉินมู่ปิงเอ่ยไว้มิผิด นี่เป็นชาคุณภาพชั้นเลิศกาหนึ่ง
นางเปิดปากไม่เอ่ยอะไรออกมา เพียงค่อยๆ รับน้ำชาจอกนั้นมา ก้มหน้าจิบเบาๆ อึกหนึ่ง
“วันนี้คนค่อนข้างเยอะ อีกทั้งข้ายังไม่ได้แสดงความยินดีกับเจ้าเลย ตำแหน่งเซ่าซือขั้นหนึ่งระดับล่าง นี่เป็นตำแหน่งขุนนางที่ยิ่งใหญ่เชียวนะ” ทางซูหลีเพิ่งจะดื่มชาไปหนึ่งอึก ก็ได้ยินฉินมู่ปิงเปิดปากเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา
นางผงะไปเล็กน้อยแล้วเหลือบตามองที่ฉินมู่ปิงครู่หนึ่ง ทว่ากลับเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วความลุ่มลึก และในเวลานี้เองซูหลีถึงพบว่า ฉินมู่ปิงกับฉินเย่หานมีบางส่วนที่คล้ายคลึงกัน
ก่อนหน้านี้ยามเขายังทำตัวไม่เอาถ่าน ยังมองไม่ออกมามากนัก ทว่าบัดนี้เขาอยู่ในอากัปกิริยาจริงจังซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก นับประสาอะไรกับรูปลักษณ์ที่ยังมีเงาของฉินเย่หานบางส่วนทับซ้อนอยู่บ้าง
มีเพียงนิสัยเฉพาะตัวของพวกเขาทั้งสองคนเท่านั้นที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ฉินเย่หานนั้นมีความเย็นชา และมาพร้อมกับรังสีอำนาจอันน่าเกรงขามขององค์จักรพรรดิ
ส่วนฉินมู่ปิง แม้ผู้คนจะอ่านความคิดเขาไม่ออก ทว่าใบหน้าของเขาก็มีรอยยิ้มอยู่เสมอ เหมือนจะมีแรงดึงดูดเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังพูดจาพาทีมากกว่าฉินเย่หาน
“ซื่อจื่อเอาคำพูดที่ไหนมาพูดกัน นี่เป็นเพราะฮ่องเต้ทรงเอ็นดูเท่านั้น จะว่าไปแล้ว บัดนี้ฮ่องเต้ไม่มีแม้แต่พระโอรสสักพระองค์เดียว ตำแหน่งเซ่าชือนี้ก็แค่เป็นตำแหน่งว่างๆ เท่านั้น”
เขาพูดจาอ้อมค้อม ซูหลีก็แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจและเอ่ยกับเขาอย่างถ่อมตน
ทั้งสองคนพูดตอบโต้กันไปมา การแสดงของพวกเขาแตกต่างจากในยามปกติโดยสิ้นเชิง
ฉินมู่ปิงกวาดตามองซูหลีอย่างห้ามไม่ได้ มีประกายจับผิดพาดผ่านในดวงตาของเขา
“หากผู้อื่นได้ตำแหน่งขุนนางนี้ไปละก็ ไม่แน่อาจจะเป็นเพียงตำแหน่งปลอมๆ จริงๆ ทว่าหากใต้เท้าซูนั่งบนตำแหน่งนี้ คงจะไม่ง่ายดายเช่นนั้น” ฉินมู่ปิงวางจอกชาในมือ จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
หลังจากซูหลีได้ยินดังนั้น รอยยิ้มบนใบหน้านางค่อยๆ เลือนรางหายไป ที่เรียกนางมาที่นี้ก็เพื่อพูดวาจาคลุ่มเครือเช่นนี้หรือ แท้จริงแล้วฉินมู่ปิงต้องการกระทำสิ่งใดกันแน่
ไม่ใช่เพราะนางมีนิสัยไม่อดทน ในทางกลับกันผู้ที่ไม่มีความอดทนคือฉินมู่ปิงต่างหาก ซูหลีก็แค่พูดตามคำพูดของฉินมู่ปิงเท่านั้น
“ใต้เท้าซูเป็นผู้มีอุปนิสัยตรงไปตรงมาโดยแท้”
ตอนที่ 640 ช่างเป็นคนพิเศษโดยแท้
หลังจากฉินมู่ปิงได้ยินคำพูดประโยคนี้ จากนั้นจึงหัวเราะขึ้นเสียงเบา
ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงขมวดคิ้วขึ้นอย่างห้ามไม่ได้
ฉินมู่ปิงปกปิดตัวตนของตนเองมานานขนาดนี้ จนถึงบัดนี้มีเรื่องก็มาหานาง และยังจะไม่แสดงกิริยาท่าทางอะไรออกมาเช่นนี้ นี่จึงสามารถบอกได้ว่าจิตใจของฉินมู่ปิงลุ่มลึกมาก ไม่ใช่สิ่งที่ซูหลีจะอ่านใจได้ง่ายๆ
ทว่าซูหลีก็ไม่ได้คิดที่จะไปเข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง บัดนี้นางแค่ลองหยั่งเชิงเขาก็เท่านั้น หากอันตรายเกินไป ต่อไปก็ไม่ต้องไปมาหาสู่กันแล้วก็เท่านั้น อย่างไรต่อไปนางก็ไม่อยู่ที่สำนักเต๋อซั่นแล้ว คงยากที่จะพบเขาได้
“ใต้เท้าซูอุปนิสัยตรงไปตรงมาโดยแท้ เช่นนั้นข้าก็ไม่พูดอ้อมค้อมแล้ว” ฉินมู่ปิงพลันวางจอกชาในมือของตนลง แล้วจ้องมองนางตาไม่กะพริบ
สายตามีพลังอำนาจบางอย่างพาดผ่านในดวงตาดุจเหยี่ยวเรียวยาวของเขา กลิ่นอายทรงอำนาจบนร่างกายเปลี่ยนเป็นมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้อื่นไม่กล้าจ้องมอง
“ขอเพียงซื่อจื่อพูดออกมา” ซูหลีค่อยๆ ปรือเปลือกตาขึ้น ทว่ากลับไม่มีความหวั่นเกรง
การพูดคุยเจรจากับผู้อื่น จำเป็นต้องใช้ความทรงอำนาจเช่นนี้มาถูกแล้ว ทว่าลูกไม้เหล่านี้นางเห็นจนชินแล้ว ดังนั้นจึงไม่รู้สึกหวาดหวั่นถือเป็นธรรมดา
“คราก่อนเก้าอี้รถเข็นที่ใต้เท้าซูวาดภาพให้นั้น เสด็จพ่อนั้นทรงโปรดเป็นอย่างมาก” ทางด้านฉินมู่ปิงทันทีเปิดปากพูด กลับเอ่ยถึงฉินเฮ่า
เขาจ้องที่ซูหลี อีกทั้งในดวงตายังฉายแววที่ซับซ้อน ทว่ากลับมีประกายความน่าสนใจเป็นอย่างมากและเอ่ยว่า “เสด็จพ่อทรงสั่งให้ข้ามาขอบคุณเจ้าอยู่เลย!”
พูดจบเขาก็ยกมือขึ้นปรบครู่หนึ่ง จู๋ซย่าเดินเข้ามาจากข้างนอกในทันที ในมือของเขาถือกล่องยาว
ฉินมู่ปิงดันกล่องๆ นั้นมาที่ด้านหน้าของซูหลีแล้วยิ้มและเอ่ยว่า “นี่เป็นเพียงน้ำใจเล็กน้อย หวังว่าใต้เท้าซูโปรดรับไว้ด้วย”
น้ำเสียงเขาเปลี่ยนมาเป็นกันเองมากขึ้น ทันทีที่ปริปากพูดก็มอบของสิ่งหนึ่งให้แก่นาง อากัปกิริยาเช่นนี้ช่างเก่งกาจโดยแท้
ซูหลีฉีกยิ้ม ทว่าไม่พูดอะไรออกมา นางชำเลืองมองกล่องที่ถูกดันมาตรงหน้า แล้วยื่นมือเปิดฝากล่องขึ้น
ทันทีที่เส้นสายตาจับจ้องไปที่ของสิ่งนั้น ใบหน้าของซูหลีผงะไปเล็กน้อย ในใจกลับมีความประหลาดใจเกิดขึ้นเล็กน้อย
เสวี่ยหลิงหลง!
เสวี่ยหลิงหลงเป็นพืชสมุนไพรที่ล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง หากนำของสิ่งนี้ผสมกับยาจะสามารถชุบชีวิตคนตายขึ้นมาได้ ถือเป็นพืชสมุนไพรที่มีราคาสูงในตลาดยา
ในโรงยาทั่วไปไม่มีของสิ่งนี้ ได้ยินมาว่าภายในวังหลวงได้เก็บสะสมเสวี่ยหลิงหลงไว้ ทว่าเพียงแค่เก็บรากของพืชชนิดนี้ไว้เท่านั้น แต่สิ่งที่ฉินมู่ปิงมอบให้นั้นกลับเป็นเสวี่ยหลิงหลงต้นที่สมบูรณ์!
เสวี่ยหลิงหลงถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีทั้งที่มีขนาดที่ใหญ่โตมาก หากนำออกมาขายเกรงว่าจะสามารถซื้อสระน้ำในเมืองได้!
“ซื่อจื่อมีเงินมากนัก” ซูหลีมองที่แท่งเสวี่ยหลิงหลงปราดหนึ่ง จากนั้นปิดฝากล่องลงด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม และเหลือบสบตากับฉินมู่ปิง
นี่เป็นของที่หายากยิ่ง ซูหลีกลับมองเพียงปราดเดียวจากนั้นก็เคาะที่กล่องในทันที ท่าทีตอบโต้เช่นนี้ทำให้ฉินมู่ปิงอดชื่นชมนางมิได้
แน่นอนว่าเขารู้สึกอยู่ลึกๆ ในใจเท่านั้น ทว่าใบหน้ากลับยังคงนิ่งเฉย
“ใต้เท้าซูไม่ชอบหรือ?” เขาดูคล้ายกับไม่ค่อยเข้าใจจึงถามออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา
“ไม่ได้ทำคุณประโยชน์ก็ไม่รับรางวัลตอบแทน ของสิ่งนี้ล้ำค่าเป็นอย่างมาก ซื่อจื่อเอ่ยว่าจะให้ก็จะมอบให้ ซูหลีรับเอาไว้ไม่ได้” เขาฉีกยิ้ม ซูหลีก็ฉีกยิ้มเช่นกัน
“ใต้เท้าซูช่างเป็นคนพิเศษโดยแท้!” ฉินมู่ปิงผงะไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นเอ่ยชื่นชมซูหลีเบาๆ
ซูหลีได้ยินดังนั้น เพียงเลิกคิ้วขึ้น ทว่ากลับไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
“เพียงแต่ไม่ทราบว่าใต้เท้าซูจะสมัครใจช่วยเหลือเรื่องบางเรื่องหรือไม่” ฉินมู่ปิงพูดถึงตรงนี้ ก็ปรับสีหน้าและไม่คิดจะสร้างความสงสัยให้กับผู้อื่น แล้วเอ่ยด้วยจริงจังอย่างกะทันหัน
“บัดนี้ใต้เท้าซูเป็นขุนนางที่อยู่ใกล้กับโอรสสวรรค์ แนวโน้มความก้าวหน้านั้นดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เสด็จพ่อทรงได้ยินว่าใต้เท้าซูเป็นผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้ จึงทรงเกิดความคิดอยากคบหากับใต้เท้าซู”